“เปิดประตูหน่อย มีคนอยู่ไหม? เปิดประตูหน่อย...”
ลมทะเลพัดแรงจนเสียงเรียกของคนขาดๆ หายๆ โชคดีที่แรงมือผู้ชายหนัก เคาะเสียจนประตูสั่น คนของร้านอาหารถึงได้ยินความเคลื่อนไหวอยู่ตรงบริเวณหน้าประตู
เซี่ยเสี่ยวหลานเตรียมพร้อมจะนอนหลับแล้ว แต่ได้ยินว่าด้านนอกมีความเคลื่อนไหว ห้องที่เธอและหลิวเฟินพักอยู่นั้นประจันหน้ากับบริเวณที่ตั้งร้านอาหารพอดี มองออกไปผ่านหน้าต่างก็เห็นชายสองคนที่โดนฝนจนกลายเป็ไก่ตกน้ำร้อนกำลังต่อรองกับเถ้าแก่อยู่
พวกเขา้าพักแรมหนึ่งคืนเช่นเดียวกัน ทว่าเถ้าแก่ค่อนข้างลำบากใจ
ที่ยินยอมให้พวกเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสามคนค้างคืนนั้น เพราะว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินดูไม่มีพิษภัยอะไรนัก และเซี่ยเสี่ยวหลานสวยออกขนาดนั้น ยากที่จะปฏิเสธคำขอร้องของเธอได้ แต่จะให้คนแปลกหน้าสองคนค้างคืน เถ้าแก่ย่อมรู้สึกไม่สบายใจน่ะสิ บ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่ใช้เป็ร้านอาหารสำหรับทำธุรกิจ มันยังเป็ที่อยู่อาศัยของครอบครัวเถ้าแก่ด้วย แปดในสิบของคนลักลอบขนของเถื่อนโเี้ไร้ปรานียิ่งนัก เถ้าแก่จึงไม่อยากต้อนรับคนต่างถิ่นที่ระบุตัวตนไม่ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานเองไม่อยากยุ่งเื่ของคนอื่นเหมือนกัน ทว่าพอเธอมองโดยละเอียด ชายสองคนที่ทั้งตัวเปียกโชกคือทังหงเอินและเสี่ยวหวังคนขับรถนี่นา!
บอกว่าออกไปทำงานนอกสถานที่ไม่ใช่หรือ?
ปรากฏตัวในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
เซี่ยเสี่ยวหลานมีแต่ความสงสัย และทนมองเสี่ยวหวังกับทังหงเอินถูกไล่ออกไปไม่ได้
เธอแต่งตัวเสร็จและลุกจากเตียงมาเปิดประตูห้องทันที
“คุณอาทัง! บังเอิญมากจริงๆ นะคะ นึกไม่ถึงว่าอยู่ที่นี่ก็เจอคุณได้”
แว่นตาของทังหงเอินตกแตก บนแว่นมีรอยร้าวลายพร้อย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยน้ำฝน ทำให้ทัศนวิสัยของเขาเลือนราง
น้ำเสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานคุ้นหูมาก เมื่อเดินเข้ามาใกล้อีกหน่อย ทังหงเอินก็จำอีกฝ่ายได้
“ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ทังหงเอินรู้สึกประหลาดใจ แต่เสี่ยวหวังดีใจเหลือล้น ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการพบคนรู้จักในสถานการณ์อันยากลำบากเช่นนี้ ถ้าเถ้าแก่ร้านอาหารไม่ต้อนรับพวกเขา อย่างไรเสียเสี่ยวหวังก็เป็คนหนุ่มจึงไม่มีปัญหานัก ทว่าปล่อยให้ทังหงเอินเดินทางท่ามกลางลมฝนได้หรือ!
“เสี่ยวเซี่ย เธอช่วยอธิบายกับสหายคนนี้ทีสิ พวกเราไม่ใช่ผู้ร้ายจริงๆ นะ”
ท่าทีการพูดจาของคนขับรถเสี่ยวหวังดูเป็มิตรสนิทสนมเสียยิ่งกว่าอะไร
เถ้าแก่เมียงมองอีกฝ่าย นี่รู้จักกันสินะ?
เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นทั้งสองมีสภาพน่าอเนจอนาถ จึงรีบขอความเมตตาจากเถ้าแก่ “คุณให้พวกเขาพักสักคืนเถอะค่ะ ข้างนอกลมฝนแรงมาก พวกเขาสองคนมองทางไม่ชัดด้วยซ้ำ จะไปที่ไหนได้อีก? ฉันรู้จักทั้งคู่ เป็สหายผู้มีอาชีพและหน่วยงานเป็กิจจะลักษณะ พวกเขาตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก ไม่มีทางลืมน้ำใจที่คุณให้ความช่วยเหลือแน่... แต่ถ้าไม่ได้ คุณหาเสื้อผ้าแห้งๆ สองชุดให้พวกเขา ต้มน้ำแกงร้อนๆ สองถ้วยให้พวกเขากิน น่าจะไม่มีปัญหาสินะคะ?”
เถ้าแก่ละอายใจที่จะปฏิเสธ “แต่บ้านฉันไม่มีห้องว่างแล้วจริงๆ !”
“ไม่เป็ไรค่ะ พวกเราใช้อยู่สองห้องแล้วไม่ใช่หรือ เบียดกันหน่อยก็ได้ค่ะ”
หลี่ต้งเหลียงกับหลิวเฟินเดินออกมา
ทังหงเอินอยู่ในสภาพย่ำแย่ไปทั้งตัว ดูไม่ออกเลยว่าเป็บุคคลมีตำแหน่ง พอเขาเปลี่ยนไปใส่เสื้อที่เถ้าแก่ให้ยืม ออกมาพร้อมสวมแว่นตาเลนส์แตกราวกับลายใยแมงมุม น่าขำก็ส่วนน่าขำ แต่หลี่ต้งเหลียงจะจำอีกฝ่ายไม่ได้เชียวหรือ? ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่กระทั่งนายจ้างซึ่งคือคุณผู้หญิงเซี่ยยังต้องยืนรอข้างทาง ไม่รู้ว่ามี่เวลาน่าอายแบบนี้เหมือนกันได้อย่างไร
น้ำแกงปลากำลังเดือดปุดๆ อยู่บนเตาขนาดเล็ก
ในน้ำแกงปลาใส่แว่นขิงลงไปจำนวนมาก ทังหงเอินกับเสี่ยวหวังรับประทานคนละสองถ้วย ถึงกลับมามีชีวิตชีวาดั่งเดิม
ทังหงเอินไร้ความสงสัยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจงใจ ‘บังเอิญพบ’ ด้วยเจตนาแอบแฝง เนื่องจากมีเพียงเลขาและคนขับรถที่รู้กำหนดการเดินทางของเขา เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้จักกับเลขา จึงเป็ไปไม่ได้ที่จะจงใจมารอที่นี่
เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็ฟ้าลิขิตอย่างแท้จริง
แว่นตาแตกลาย ทำให้ทัศนวิสัยไม่ค่อยชัดเจน ทังหงเอินเหนื่อยล้ารวมถึงตากฝนมาตลอดทาง ในเวลานี้ร่างกายจึงไม่สบายสักเท่าไรแล้ว
เขายังคงฝืนตั้งสติสนทนากับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกเล็กน้อย ถามเธอว่ามาทำอะไรที่หมู่บ้านประมง
“ฉันมาเขตพิเศษเพื่อเยี่ยมเพื่อน และเอาของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากอวี้หนานมาให้คุณ พอต่อสายหาพี่หวัง ทางนั้นกลับบอกว่าคุณไปดูงานนอกสถานที่ นี่แม่ฉันก็มาเขตพิเศษด้วยกัน ฉันเลยอยากพาเธอมาชมทะเลเสียหน่อย ทว่าอากาศเปลี่ยนไวมาก คืนนี้พวกเราทำได้แค่พักที่นี่หนึ่งคืน”
เซี่ยเสี่ยวหลานนำของดีประจำท้องถิ่นมาฝากเขาอีกแล้ว
ทังหงเอินนึกถึงพุทรากับซานเย่าพวกนั้น เขารู้สึกอบอุ่นอยู่ในหัวใจ คนเราอารมณ์อ่อนไหวง่ายใน่เวลาที่ยากลำบาก ปกติทังหงเอินยึดถือหลักการและเหตุผลมากกว่าในขณะนี้
นอกจากนี้เขายังนึกถึงตอนเจอกันที่ห้องอาหารของหยางเฉิงครั้งนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนจะพาสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งไปรับประทานอาหารเช้า เป็มารดาของเธอนั่นเองสินะ
เด็กคนนี้ฉลาดเป็กรด กลิ่นอายความหลักแหลมของพวกพ่อค้าวาณิชแผ่กระจาย ทว่าเป็คนกตัญญู พามารดามาชมทะเลในเขตพิเศษอีกด้วย... ทั้งที่จริงทะเลในเขตพิเศษไม่มีอะไรน่าชมสักเท่าไร หมู่บ้านประมงก็ทั้งเล็กและซอมซ่อ
คนอย่างทังหงเอินนี้ไม่ได้ซาบซึ้งใจกับสิ่งใดง่ายๆ มีคนแย่งชิงกันส่งของกำนัลให้เขาถมเถไป ทว่าทังหงเอินไม่แม้แต่จะรับไว้
ส่วนหนึ่งเป็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานโชคดี ทังหงเอินไม่เชื่อในโชคชะตา กลับรู้สึกอยู่เสมอว่า่เวลาที่เซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏตัวหลายๆ หนช่างเหมาะเจาะยิ่งนัก
ครั้งแรกคือหลังเขาได้รับคำสั่งย้ายงาน และอยู่บนรถไฟจากปักกิ่งถึงหยางเฉิง การที่ต้องย้ายจากทางเหนือลงสู่ทางใต้ ทังหงเอินรับรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการทำงานของตนเองไม่มากนัก เมื่อบังเอิญได้อยู่ในตู้รถไฟเดียวกันกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ทังหงเอินจึงฟครุ่นคิดกับตนเองว่ากระทั่งเด็กสาวชนบทยังกล้าเดินทางลงใต้มาแสวงโชค เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องละล้าละลังเช่นกัน
ครั้งที่สองเกิดขึ้นตอนเขา้ามาทำงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ กำลังอยู่ใน่ลังเล เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานพามารดามารับประทานอาหารเช้า การแต่งกายของสาวชนบทเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ภายในเวลาอันสั้น หมายความว่าขุดทองถังแรกในหยางเฉิงได้เป็ที่เรียบร้อย นี่คือโอกาสสำคัญซึ่งมาจากการปฏิรูปเศรษฐกิจ และเป็โอกาสสำคัญของทังหงเอินด้วยเช่นกัน หยางเฉิงยังถือว่าอนุรักษ์นิยมเกินไป เขายินดีมายังเขตพิเศษ เริ่มต้นจากความว่างเปล่า เติบโตไปพร้อมกับเขตพิเศษ
ครั้งที่สามคือตอนทังหงเอินไปตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้าง เซี่ยเสี่ยวหลานบ้าบิ่นสุดขั้ว อยากสร้างเงินจากพื้นที่ก่อสร้าง
ครั้งที่สี่ คือ ณ ตอนนี้นี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าทังหงเอินกับเสี่ยวหวังคนขับรถจะสามารถพบเซี่ยเสี่ยวหลานในสถานที่ห่างไกลแบบนี้ได้เช่นกัน
อาจเพราะท่ามกลางความงุนงง เซี่ยเสี่ยวหลานจุดประกายสิ่งใหม่ให้เขาได้โดยไม่รู้ตัว
หรืออาจเพราะท่ามกลางสถานการณ์อันยากลำบาก เด็กคนนี้ยังคงใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ราวกับความลำบากใดก็ไม่อยู่ในสายตาของเธอ ทำให้ทังหงเอินประทับใจอย่างสุดซึ้ง
ทังหงเอินไม่ได้อธิบายว่าทำไมถึงมาโผล่ในหมู่บ้านประมงขณะตนเองทำงานนอกสถานที่ เขาสนทนากับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกนิดหน่อย ก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรง จึงขอตัวไปพักผ่อน ทังหงเอิน เสี่ยวหวังคนขับรถ และหลี่ต้งเหลียง ผู้ชายสามคนนี้จำเป็ต้องนอนเบียดกันในห้องเดียว
หลิวเฟินไม่ชำนาญในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนไม่รู้จักมักคุ้น เธอถามว่าทังหงเอินคือใคร เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่ารู้จักกันบนรถไฟ แถมเคยช่วยเธอไว้
สองแม่ลูกนอนหลับจนกระทั่งกลางดึก เซี่ยเสี่ยวหลานได้ยินเสียงคนเคาะประตู เธอจึงตื่นขึ้นมาทันที
“คุณผู้หญิงเซี่ย เขาเป็ไข้”
คือเสียงของหลี่ต้งเหลียง!
ใครเป็ไข้กัน?
หลี่ต้งเหลียงไม่รู้ว่าควรเรียกทังหงเอินว่าอย่างไร ‘ทัง... คุณผู้ชายทังเป็ไข้ ตัวร้อนมาก’
ทังหงเอินไข้ขึ้นสูง
เขากับเสี่ยวหวังเดินทางฝ่าฝนมากไกลมาก กว่าจะเจอที่พักแรมบนท่าเรือ อย่างไรเสียทังหงเอินก็อยู่ในวัยกลางคนแล้ว หน้าที่การงานยุ่งจนละเลยการออกกำลังกาย อ่อนเยาว์แข็งแรงสู้เสี่ยวหวังไม่ได้ ทั้งที่เดินฝ่าสายฝนเหมือนกัน เสี่ยวหวังกลับนอนหลับเป็ตาย ส่วนทังหงเอินไข้ขึ้นสูงกลางดึก
หลี่ต้งเหลียงคือผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ นอนหลับด้วยความระแวดระวัง รวมถึงต้องนอนร่วมห้องกับข้าราชการระดับสูงคนหนึ่ง หลี่ต้งเหลียงจึงนอนหลับไม่สนิทสักเท่าไร
กลางดึกเขาพบว่าจังหวะการหายใจของทังหงเอินไม่ปกติ พอหลี่ต้งเหลียงเปิดโคมไฟสว่างก็เห็นว่าใบหน้าของทังหงเอินแดงจัด... สารถีเสี่ยวหวังพึมพำกับตนเองในสภาวะมึนงงสองสามประโยค ได้ฟังคำพูดของหลี่ต้งเหลียงแล้วก็ใตื่นเช่นกัน
เสี่ยวหวังลนลานอย่างเห็นได้ชัด
หลี่ต้งเหลียงจึงทำได้เพียงไปแจ้งให้เซี่ยเสี่ยวหลานทราบ นายจ้างให้ความสำคัญต่อคุณผู้ชายทังคนนี้ หลี่ต้งเหลียงไม่ได้สมองทึบอยู่แล้ว
สติสัมปชัญญะของทังหงเอินไม่ค่อยชัดเจนแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานถามเถ้าแก่ว่ามียาลดไข้หรือไม่ ต้องหามาเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินก่อน
เถ้าแก่ร้านส่ายศีรษะเหมือนกำลังส่ายกลองป๋องแป๋ง “ไม่มีๆ พวกคุณรีบพาคนไปส่งโรงพยาบาลเถอะ”
ฝนยังไม่หยุดตก แต่ลมเบาบางลงแล้ว
เถ้าแก่ร้านอาหารกลัวว่ายาของตนเองจะทำให้คนกินเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เซี่ยเสี่ยวหลานจะคว้าตัวอีกฝ่ายมาอัดจนน่วมและบังคับให้เถ้าแก่ส่งยาลดไข้ออกมาก็ไม่ได้
“โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนคะ?”