ใบหน้าของเหนียนหงซานบึ้งตึงด้วยความโกรธดวงตาเมล็ดซิ่ง* มองจิกกู้เจิงก่อนจะเดินกระทืบเท้าจากไป
(*เมล็ดของผลแอปริคอต)
กู้เจิงยกมุมปากขึ้นยิ้มตลอดเวลา ดูอารมณ์ดี สายตาของเสิ่นเยี่ยนลอบมองนางเป็ครั้งคราวนางเองก็ไม่ได้ปิดบังรอยยิ้มแห่งความสุขนั้น
ชุนหงไปหยิบฟืนมาเติมลงในเตาเรียบร้อยแล้ว
กู้เจิง เพียงแค่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ มองดูเสิ่นเยี่ยนจัดการกับมันเทศ
กู้เจิงมองไปรอบๆ ลานหลังบ้านมีแปลงผักที่ถูกดูแลอย่างดี นายหญิงเสิ่นเป็คนที่มีความสามารถจัดการงานทุกอย่างภายในบ้านได้อย่างสะอาดไร้ที่ติ
“หอมจัง แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่ามันเผาต้องอร่อยมากแน่ๆ” ชุนหงมองมันเทศอย่างตะกละตะกลาม
ชุนหงไปหยิบจานมาใส่
นายหญิงเสิ่นกับเฝิงซื่อทำความสะอาดปลาเรียบร้อยแล้วกำลังเริ่มย่างปลา เหนียนหงซานที่คอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้างเห็นกู้เจิงและอีกสามคนเดินออกมาจึงพูดอย่างน่าเอ็นดูว่า “พี่ชาย พี่สะใภ้เผามันเทศเสร็จเร็วขนาดนี้เลยหรือเ้าคะ? ข้ากำลังอยากกินอยู่พอดี” พูดไปก็เดินมาหยิบจานจากชุนหง
มันเทศพึ่งเผาเสร็จใหม่ๆ จึงยังร้อนอยู่เหนียนหงซานหยิบโดยไม่ระวัง “ร้อนจัง พี่ชาย ท่านช่วยลอกเปลือกให้ข้าหน่อยได้ไหมเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนมองนางอย่างเฉยเมย กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเองก็กลัวร้อนแหมือนกัน”
กู้เจิง "..."
ส่วนชุนหงแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ
ใบหน้าของเหนียนหงซานแดงก่ำด้วยความอับอายนางคิดไม่ถึงว่าญาติผู้พี่จะไม่ไว้หน้านางต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
เฝิงซื่อเห็นท่าทางของบุตรสาวก็ถอนหายใจ นางหัวเราะเสียงดังว่า “หงซานเ้าเด็กคนนี้ถูกข้าเลี้ยงมาอย่างตามใจ มา แม่ทำให้เ้าเอง”
ชุนหงไปหยิบถ้วยช้อนมาจากในห้องครัวจากนั้นก็มาลอกเปลือกมันเทศใส่ในถ้วย ก่อนจะยกมาให้กู้เจิง "คุณหนูใหญ่นี่เ้าค่ะ ระวังร้อนนะเ้าคะ”
กู้เจิงรับมาด้วยความยินดี "ขอบคุณนะ"
ชุนหงเคยชินกับการขอบคุณของคุณหนูมานานแล้วนางเอามันเทศที่ลอกเปลือกแล้วแบ่งให้ฮูหยินเสิ่นด้วย “ท่านป้าเสิ่น กินมันเผาก่อนเถอะเ้าค่ะ”
“กลิ่นหอมจริงๆ ดูท่าชุนหงจะเผามันเทศได้ไม่เลวเลย” ฮูหยินเสิ่นเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วรับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านน้า หงซาน ข้าขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะขอรับ” เสิ่นเยี่ยนพูดแล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง
กู้เจิงส่งสัญญาณให้ชุนหงแบ่งมันเผาให้เฝิงซื่อด้วยชุนหงไม่เต็มใจแต่ก็ยังยอมส่งให้เฝิงซื่อ
เฝิงซื่อรับมันเผาจากชุนหงพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มกินไปพลางพูดกับนายหญิงเสิ่นว่า “อาเยี่ยนใกล้จะสอบแล้วควรอ่านหนังสือให้มาก” ท่าทีเป็ธรรมชาติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนมื้อเที่ยง ตระกูลเสิ่นกับสองแม่ลูกเฝิงพูดคุยหัวเราะกันเหนียนหงซานเป็เด็กช่างพูดช่างเจรจาจึงมักทำให้นายท่านเสิ่นหัวเราะเสียงดังบ่อยๆแม้สีหน้าของนายหญิงเสิ่นจะไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าสายตาก็แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม เสิ่นเยี่ยนเองก็พยักหน้ารับเป็ครั้งคราว
เมื่อถึงยามบ่ายคล้อย สองแม่ลูกเฝิงก็จากไป
ตอนที่กู้เจิงกลับเข้ามาในห้องเพื่อพักผ่อน ก็พบเสิ่นเยี่ยนกำลังนั่งตัวตรงอ่านหนังสืออยู่ในห้องเขาเหลือบตาขึ้นมองนางแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังสืออีกครั้ง
กู้เจิงชำเลืองมองหนังสือที่เขาอ่าน ตัวอักษรแปลกตาเต็มไปหมด ร่างเดิมของนางน่าจะไม่รู้หนังสือ ใครจะไปคิดว่านางจะกลายเป็คนอ่านหนังสือไม่ออกในยุคนี้?
มีเสิ่นเยี่ยนนังอ่านหนังสืออยู่ในห้องนางก็รู้สึกเกร็งที่จะต้องอยู่กับเขาสองต่อสองนางจึงเดินออกมาจากห้องเพื่อไปหาชุนหง
เรือนพักของชุนหงนั้นเป็ห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดกับเรือนของตระกูลเสิ่นกู้เจิงเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว
“คุณหนูใหญ่ ท่านมาถึงห้องของบ่าวทำไมเ้าคะ?” ชุนหงกำลังกวาดฝุ่นที่มุมห้องอยู่
“เสิ่นเยี่ยนอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ข้าเลยจะมานอนพักในห้องเ้าแทน"กู้เจิงพูดพลางถอดรองเท้าก้าวขึ้นเตียงของชุนหง
ชุนหงคลุมผ้าห่มให้คุณหนูใหญ่แล้วพูดว่า “คุณหนูใหญ่ เหนียนหงซานช่างไร้ยางอายเสียจริงกล้าว่าคุณหนูต่อหน้าท่านบุตรเขยสตรีที่ได้รับการอบรบเลี้ยงดูจะพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร”
กู้เจิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
“โชคดีที่ท่านบุตรเขยเป็คนรู้ความ จึงไม่ยุ่งกับนาง"
กู้เจิงส่งเสียงอืมตอบรับเบาๆ จุดนี้นางเห็นด้วย
“คุณหนูใหญ่ใจอ่อนเกินไป แล้วยังใจดีกับนางอีก หากเป็ภรรยาของบ้านอื่นคงด่านางไปแล้ว”
เห็นชุนหงโกรธแค้นแทนตน กู้เจิงก็อบอุ่นใจ “พวกเราก็ต้องคำนึงถึงหน้าตาของท่านน้าเหมือนกันถึงอย่างไรท่านน้าก็เป็น้องสาวของนายหญิงเสิ่น นอกจากนี้ ข้ามองว่าท่านน้าผู้นั้นนางคงจะกลับไปตักเตือนเหนียนหงซาน”