เสียงลมหายใจอย่างนั้นหรือ? เหอตังกุยแหงนมองด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่ามีคนนอนกรนอยู่บนต้นไม้ หากไม่ใช่เกาเจวี๋ยแล้วจะเป็ผู้ใดได้อีก?
เหอตังกุยเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเมื่อวานตอนเช้าที่ตนออกกำลังภายในจึงพบเขา วันนี้ที่ออกมาวิ่งก็ยังพบเขาอีก ที่แท้เขาก็นอนอยู่บนต้นไม้นอกเรือนปีกขวาฝั่งตะวันตกมาโดยตลอด คอยถ้ำมองนางกระนั้นหรือ? ช่างเป็บุรุษที่หยาบคายไร้มารยาทเสียจริง เหอตังกุยโยนหินก้อนเล็กกระแทกจมูกเขาอย่างจัง ใบหน้าของเกาเจวี๋ยที่มองนางนั้นราวกับเขียนไว้ว่า “ข้าอยากจะฆ่าเ้า” ก็ไม่ปาน เหอตังกุยโบกมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ใต้เท้าเกา พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
เหอตังกุย เกาเจวี๋ยและเจินจิ้งเดินไปยังลานนอกเรือนนั่งสมาธิของอาราม เหอตังกุยหยิบพวงกุญแจที่แม่ชีไท่ซีให้ไว้ออกมา ก่อนจะไขห้องทำสมาธิทีละดอก ทว่าเกาเจวี๋ยที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าหงุดหงิดเพราะอดหลับอดนอนทั้งคืนก็เอื้อมมือดึงแม่กุญแจทองเหลืองพร้อมสลักประตูออก เจินจิ้งหดตัวหลบหลังเหอตังกุยด้วยความใ เหอตังกุยกลอกตาให้เกาเจวี๋ยคนป่าเถื่อน ก่อนจะผลักประตูเข้าไปแล้วพบโลงศพเล็ก ๆ วางอยู่กลางห้อง
เหอตังกุยมองโดยรอบ พลางเหลือบเห็นดาบแขวนอยู่ด้านหลังของเกาเจวี๋ย ก่อนจะเอ่ยถาม “คนป่า...เอ่อ ใต้เท้าเกา ข้ายืมใช้ดาบของท่านสักหน่อยได้หรือไม่?”
เกาเจวี๋ยหยิบกริชขนาดเล็กออกจากอกเสื้อ ยื่นไปใกล้จมูกเหอตังกุยด้วยใบหน้าเ็า นางเอ่ยขอบคุณแล้วรับมันไป จากนั้นก็เดินไปที่โลงแล้วเปิดฝาออก ใช้กริชงัดหมอนไม้ที่ทายางไม้ติดกับตัวโลงออกมา ด้ามกริชทำจากเหล็กกล้าสีดำเยือกเย็น สลักลายดอกไม้สีแดงสดใส เหมือนลายบนชุดสีดำของเกาเจวี๋ยในครั้งแรกพบ เป็ความงดงามที่แปลกประหลาดและน่าหวาดกลัว ปลายแหลมสะท้อนแสงเย็นะเืแสดงให้เห็นว่ามันมิใช่ของเล่น แต่เป็อาวุธสังหารที่กระหายเือย่างแท้จริง
เกาเจวี๋ยตวัดสายตาเ็ามองเด็กสาวใช้อาวุธสังหารงัดหมอนไม้อย่างชำนาญจนเกิดเสียงดัง “แกรก ๆ ๆ ” จากนั้นก็หยิบผ้าออกจากเสื้อ ห่อหมอนไม้เมื่อครู่อย่างระมัดระวัง ก่อนจะส่งให้แม่ชีน้อยด้านหลังพลางหัวเราะเ็าราวน้ำแร่ในวสันตฤดู “รับไป นี่คือของล้ำค่าของเรา” ไม่นานเกาเจวี๋ยก็พบว่าแม่นางน้อยใช้กริชสังหารงัดแงะร่องรอยของหมอนไม้จนเกิดเสียงดัง “ฉึกๆๆ” อีกครั้ง
กล่าวกันว่าอาวุธที่ดีคืออาวุธที่เชื่อมต่อจิตใจเ้าของได้ดีที่สุด กริชนั่นเสมือนรับรู้ได้ถึงความโกรธแค้นของผู้ที่ใช้มัน ดังนั้นกริชในมือเรียวเล็กของเด็กสาวจึงตัดยางไม้จนเกิดเสียงดัง “ฉึกๆๆ” ด้วยความเ็ปและดุดัน
เพียงไม่นาน เหอตังกุยที่ทำธุระของตนเสร็จแล้วก็เป่ายางไม้และเศษไม้บนกริชออก ก่อนจะเก็บเข้าฝักแล้วส่งคืนเกาเจวี๋ย นางเอ่ยพลางหัวเราะ “ดี ช่างเป็กริชที่ดีมาก อืม...เมื่อใต้เท้าเกามีน้ำใจช่วยเหลือข้าน้อย ข้าน้อยขอบังอาจสั่งท่านสักครั้ง ใต้เท้าเกา ท่านโปรดหามโลงแล้วตามข้าน้อยมาเ้าค่ะ ”
“เ้าว่าอะไรนะ? จะให้ข้าหามโลงศพหรือ?” เกาเจวี๋ยกำกริชในมือแน่นจนหลังมือเต็มไปด้วยเส้นเืปูดโปน คล้ายสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ เขาแทบจะพุ่งไปฉีกร่างสตรีที่สั่งให้เขาหามโลงศพออกเป็ชิ้น ๆ
เจินจิ้งรู้สึกเสียใจมากที่นางเกิดมาในโลกใบนี้ นางพยายามหดตัวให้เล็กที่สุดพลางภาวนาในใจไม่หยุด “มองไม่เห็นข้า มองไม่เห็นข้า มองไม่เห็นข้า...”
เหอตังกุยถอนหายใจ ก่อนจะเผยใบหน้ารู้สึกผิดที่สั่นไหวหัวใจผู้คนได้ พลางตำหนิตนเอง “ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็เพียงสตรีธรรมดาตัวเล็ก ๆ จะบังอาจใช้แม่ทัพจิ่นอีเว่ยของราชสำนักได้เยี่ยงไร? ทีแรกข้าน้อยควรตามหาลูกหาบสักสองสามคนที่ทำตามคำสั่งได้โดยไม่เอ่ยขัด ทว่าใต้เท้ายืนกรานจะเข้ามารับหน้าที่นี้แทน แต่ดูตอนนี้สิ ใต้เท้ากลับไม่ยอมทำหน้าที่เสียอย่างนั้น... ตะวันโด่งฟ้าแล้ว หากข้าน้อยต้องหาลูกหาบอีกคงจะเสียเวลาเกินไป ช่างเถอะ เจินจิ้ง” เจินจิ้งที่อยู่มุมห้องได้ยินเสียงเรียกก็พลันหดตัวลงอีก เหอตังกุยเข้าไปยกด้านหน้าโลงแล้วหันมองเจินจิ้งพลางเอ่ย “เ้ายกอีกด้านหนึ่งไว้ พวกเราลงเขากันเถอะ ”
เกาเจวี๋ยหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะเก็บกริชเข้าไปในอกช้า ๆ กล้ามเนื้อไหล่ทั้งสองกระตุกไปมา ความเดือดดาลแผ่รังสีอันตรายเป็วงกว้าง ทันใดนั้นเกาเจวี๋ยก็ยกมือไปทางเหอตังกุย เจินจิ้งเห็นดังนั้นจึงปิดหน้าพลางกรีดร้องเสียงแหลมเสียดหู... “พรึ่บ” โลงศพหนักกว่าร้อยจินย้ายมาอยู่บนไหล่ของเกาเจวี๋ยในชั่วพริบตา
เกาเจวี๋ยแบกโลงศพออกจากเรือนนั่งสมาธิ พลางเค้นเสียงห้วนดุดันลอดไรฟันราวกับกำลังเอ่ยชื่อฆาตกรที่สังหารพ่อของตนก็ไม่ปาน “ลงเขา”
เพราะยังเช้าตรู่ ระหว่างเดินออกจากวัดจึงไม่พบใคร ฝีเท้าเกาเจวี๋ยรวดเร็วยิ่งนัก ทิ้งห่างเหอตังกุยและเจินจิ้งที่เดินตามหลังเป็ระยะไกล เหอตังกุยไม่วางใจจึงร้องะโใส่ผู้ที่เดินแบกโลงเบื้องหน้า “ระวังหน่อยสิเ้าคะ โลงศพนั่นมีค่ามาก จะเสียหายไม่ได้เด็ดขาด หากมีตำหนิเพียงเล็กน้อย ท่านต้องชดใช้”
สิ้นเสียง แผ่นหลังของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าพลันหยุดชะงัก ก่อนจะะโขึ้นบนต้นไม้แล้วหายไปพร้อมโลงอย่างฉับพลัน
เจินจิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางเอ่ยถามเหอตังกุยราวกับจะร้องไห้ “เสี่ยวอี้ เหตุใดพวกเราต้องไปกับเขาด้วย? น่ากลัวยิ่งนัก”
เหอตังกุยผายมือไปด้านข้าง “เ้าคิดว่าข้าอยากไปกับเขาหรือ? ไล่กี่ทีก็ไม่ยอมไป ยืนกรานจะช่วยพวกเราให้ได้”
เจินจิ้งอ้าปากกว้างพลางจินตนาการภาพที่น่าตกตะลึงของ “ใต้เท้าเกาที่ไล่เท่าไรก็ไม่ยอมไป อีกทั้งยังยืนกรานจะช่วยให้ได้” ก่อนจะส่ายหัวสลัดความคิดนี้ทิ้ง นางเอ่ยถามเหอตังกุยอีกครั้ง “เมื่อครู่เ้าบอกว่าโลงศพมีค่ามากใช่หรือไม่? แต่เท่าที่ข้ารู้ โลงศพมีค่าเพียงแปดตำลึงไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น โลงศพของเ้าเล็กเพียงนี้จะขายได้กี่ตำลึงกัน”
เหอตังกุยฉีกยิ้มกว้าง “โชคดีที่คนในอาราม รวมถึงแม่ชีไท่ซั่นและแม่ชีไท่ซีไม่รู้ค่าของโลงศพ มิเช่นนั้นข้าจะนำโลงศพออกจากวัดราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ข้าสอบถามแม่ชีเจินจูมา แม่ชีไท่ซั่นเห็นว่าโลงศพนี้สวยงามนัก น่าจะขายได้สักยี่สิบสามสิบตำลึง นางจึงเก็บโลงไว้ในห้องทำสมาธิ วางแผนจะให้คนนำโลงไปขายแลกเงินในอีกสองวัน โชคดีที่แม่ชีไท่ซียอมให้ข้านำโลงศพของข้าออกไป ทั้งยังยอมให้ข้าใช้เงินห้าตำลึงไถ่เ้าออกจากวัดด้วย เร็วเถอะเจินจิ้ง พวกเราลงเขากันเถิด เมื่อได้เงินแล้วก็ไปซื้อหมูสับนึ่งน้ำแดงเสียก่อน จากนั้นค่อยไปไถ่ตัวเ้า”
เจินจิ้งคิดไม่ถึงว่าเหอตังกุยอยากชดใช้หนี้แทนตนมาโดยตลอด ในใจจึงรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก นางพยักหน้าแล้วจับมือเหอตังกุยวิ่งลงเขาด้วยความรวดเร็ว ทว่าเวลาผ่านไปเพียงจิบชาหนึ่งถ้วย[1]เท่านั้น เจินจิ้งก็ไม่สามารถอดทนวิ่งต่อไปได้อีกแล้ว... นี่มันความเร็วอะไรกัน? ช่างอันตรายต่อชีวิตเหลือเกิน เจินจิ้งจับเหอตังกุยที่กำลังห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งให้หยุดชะงัก ลมหายใจนางรัวแรงราวกับวัว พลางโบกมือเป็เชิงว่าตนไม่ไหวแล้ว
เป็เช่นนี้ได้อย่างไร? นางยังจำได้ว่าวันที่สองหลังจากเหอตังกุยฟื้น พวกนางขึ้นเขาไปหาผักป่าด้วยกัน เจินจิ้งยังตำหนิเหอตังกุยว่านางเดินช้าเกินไป “คุณหนูตระกูลร่ำรวยอย่างพวกเ้า เวลาเดินช่างสง่าจริง ๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเดินเล่นชมสวนดอกไม้ หากเ้าเดินช้าจะกลับถึงวัดมืดค่ำได้” ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เหตุใดทั้งสองจึงกลับตาลปัตรเช่นนี้?
เหอตังกุยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าแบกเ้าเอง” กล่าวจบก็ดึงเจินจิ้งขึ้นหลังทันที ก่อนจะขอให้นางกอดคอตนไว้ เจินจิ้งไม่เชื่อว่าเหอตังกุยจะแบกนางได้จึงเอ่ยร้องขอชีวิต “ฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด ข้ายังไม่อยากร่วงลงไปตอนนี้ ข้ายังมีแม่แก่ ๆ อายุสี่สิบปีรออยู่ที่บ้าน...”
เมื่อเหอตังกุยได้ยินคำอ้อนวอนก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจินจิ้งที่มีรูปร่างซูบผอมจะมีน้ำหนักไม่เบาเลย นางใช้มืออุ้มเจินจิ้งไว้ที่หลัง ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วห้อตะบึงลงเขาอย่างรวดเร็ว ความเร็วของนางไม่ได้น้อยกว่าตอนที่วิ่งคนเดียวเลย เจินจิ้งใร้องเสียงหลงไม่หยุด แม้เหอตังกุยจะวิ่งอย่างรวดเร็วทว่านางกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ความโกรธแค้นและความเ็ปทั้งหมดล้วนถูกโยนทิ้งไว้ข้างหลังชั่วคราว...
ในตอนแรกเจินจิ้งยังรู้สึกหวาดกลัว ก่อนจะกลับกลายเป็ความกังวล นางเอ่ยถามเหอตังกุยหลายครั้ง “เสี่ยวอี้ เ้าเหนื่อยหรือไม่?” “เสี่ยวอี้ เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?” “เสี่ยวอี้ เ้าพูดกับข้าสักคำได้หรือไม่?” ทว่าเด็กสาวที่แบกนางไว้บนหลังกลับมีท่าทีผิดแผกไป เหอตังกุยเบิกตากว้างและไม่เอ่ยคำใด นางวิ่งตรงไปเรื่อย ๆ เจินจิ้งรู้สึกว่าต้นไม้ที่เรียงรายสองข้างทางและผืนดินค่อย ๆ ถอยห่างออกไป ในที่สุดต้นไม้ทั้งสองข้างทางก็กลายเป็เงาสีเทาหม่นเลือนราง สิ่งที่เจินจิ้งมองเห็นชัดเจนที่สุดคือมวยผมสีดำขลับของเหอตังกุยที่อยู่เบื้องหน้า
เหอตังกุยลดความเร็วลงขณะใกล้ถึงเนินเขา เมื่อนางเดินต่อไปจนถึงปลายทางของูเาก็หยุดฝีเท้า
เจินจิ้งลงจากหลังของนางพลางเอ่ยถามยาวเหยียด “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดเ้าถึงวิ่งเร็วเพียงนั้น? ข้าถามเ้าตั้งหลายรอบ เหตุใดจึงไม่ตอบข้าเลย?” เจินจิ้งเริ่มพินิจมองเหอตังกุย นางไม่เพียงหายใจเป็ปกติเท่านั้น กระทั่งเหงื่อสักเม็ดก็ยังไม่มี สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือจอนผมที่หลุดลุ่ยจากมวยลงมาแนบแก้มสีชมพูอ่อนของนาง
เหอตังกุยกลอกตาครู่หนึ่ง “ส่วนสำคัญของกำลังภายในคือลมหายใจ เปิดปากก็เท่ากับหายใจ หากวิ่งไม่ดีอาจทำให้เ้าร่วงลงไปได้”
เหอตังกุยใกำลังขาของตนเล็กน้อย นางไม่เหนื่อยเลยสักกระผีกจึงเพิ่มความเร็วอีก หากยังไม่เหนื่อยก็จะเพิ่มความเร็วมากขึ้น เป็เช่นนี้อยู่นาน ในที่สุดก็กลายเป็ความเร็วสุดขีดเสมือนลมพัดผ่านข้างหู การแบกเจินจิ้งวิ่งลงเขากลับไม่ทำให้เหนื่อยแม้แต่น้อย เสมือนนางใช้ขาคนอื่นวิ่งแทนก็ไม่ปาน ทว่าคนที่เหนื่อยกลับเป็คนที่นางแบกไว้บนหลังเสียมากกว่า และสิ่งที่น่าประหลาดใจคือชาติที่แล้วนางไม่รู้ว่ากำลังภายในนั้นดีเพียงใด กำลังภายในของนางตอนนี้มีมากกว่ากำลังภายในที่นางสะสมมาห้าปีในชาติที่แล้วหรือไม่?
เหอตังกุยและเจินจิ้งหยิบกระบอกไม้ไผ่ของตนออกมา ก่อนจะแหงนหน้าดื่มน้ำเสียงดัง “อึก ๆ ” ขณะวางกระบอกไม้ไผ่ก็มองเห็นใบหน้ามืดทะมึนราวกับ “หยุดคนแปลกหน้า” ของเกาเจวี๋ย พร้อมโลงศพที่เขาแบกไว้บนบ่า
เหอตังกุยรีบมองรอบ ๆ ตัวเขาแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “ยังอยู่ดีหรือไม่? คงไม่เสียหายตรงไหนกระมัง?”
ความเ็าแข็งแกร่งแผ่รัศมีทั่วร่างของเกาเจวี๋ย
หลังจากแน่ใจว่าโลงศพของนางไม่ได้รับความเสียหาย เหอตังกุยจึงจูงมือเจินจิ้งที่ร่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวก้าวไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็เอ่ยเร่งเกาเจวี๋ยที่ยืนนิ่งเป็ต้นไม้ “รีบเดินเ้าค่ะ ไปเดินเล่นตลาดเช้าด้วยกัน เมื่อขายโลงศพได้แล้ว ข้าจะเลี้ยงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋”
สีหน้าเ็าของเกาเจวี๋ยลดลงเล็กน้อยทว่าเขายังคงยืนนิ่งไม่ขยับ เหอตังกุยกลุ้มอกกลุ้มใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเขา้าก่อปัญหาอันใดอีก จึงทำได้เพียงเงยหน้าพิจารณาสีหน้าของเขา ก่อนจะพบว่าสายตาคู่นั้นจับจ้องที่มือของตน เมื่อนางขยับมือไปมา สายตาของเกาเจวี๋ยก็ขยับตามไปด้วย นางก้มลงมองจึงพบว่า...ในมือของตนถือกระบอกไม้ไผ่อยู่
“เ้าอยากกินน้ำหรือ?” เหอตังกุยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ อย่างทะนงตน นางจึงส่งกระบอกไม้ไผ่ให้เขา พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “อยากกินก็พูดสิ ไม่พูดข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าท่านกระหาย? เหตุใดท่านจึงไม่พูดออกมาเล่า?”
เกาเจวี๋ยรับกระบอกไม้ไผ่โดยไม่เอ่ยคำใด พลันแหงนหน้าดื่มน้ำจนหมดกระบอก ก่อนจะโยนกระบอกที่ว่างเปล่าไปบนูเา กระบอกไม้ไผ่ลอยสู่ฟ้าก่อนจะเกิดเสียงดัง “ตึง” เมื่อร่วงสู่ผืนป่าบนูเา “พึ่บพั่บพึ่บพั่บ” นกนับไม่ถ้วนบินออกมาด้วยความใ สายตาของเหอตังกุยที่กำลังมองนกเ่าั้หนีตายก็เคลื่อนมามองใบหน้าของเกาเจวี๋ยแทน สีหน้าเขาดีขึ้นไม่น้อย ในใจอดสงสัยมิได้ คนผู้นี้โกรธที่กระบอกไม้ไผ่มีน้ำเพียงครึ่งกระบอกกระนั้นหรือ? ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ
ท้องฟ้าสว่างแล้ว ทั้งสามมุ่งหน้าไปยังเมืองตู้เอ๋อร์ เหอตังกุยเดินเข้าไปในร้านขายของชำข้างถนนแห่งหนึ่ง นางสอบถามชายหนุ่มที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงิน “พี่ชาย ข้าขอถามหน่อย เมืองตู้เอ๋อร์มีร้านโลงศพกี่ร้านหรือ?”
เมื่อชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่อย่างใจจดใจจ่อได้ยินเสียงเอ่ยถาม จึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมแตงกวาอีกครึ่งลูกในปาก ก่อนจะพบว่าเป็เด็กสาวหน้าตาสะสวยที่อายุน้อยกว่าเขา ขณะกำลังจะตอบคำถามก็เห็นสายตาสดใสส่งยิ้มตาหยีให้แก่ตน ใจของเขาพลันเต้นรัวอย่างไม่รู้สาเหตุ แตงกวาที่คาบไว้ ร่วงลงไปในซุปน้ำมันพริกเสียงดัง “จ๋อม” กระเด็นใส่ใบหน้าหลายหยด
น้องสาวใบหน้างดงามคลี่ยิ้มบางพลางเอ่ยขออภัย “ขอโทษเ้าค่ะ ขัดจังหวะท่านกินอาหารเสียแล้ว”
ชายหนุ่มรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนจะวิ่งออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน เขาเอ่ยอธิบายชื่อร้านโลงศพสี่แห่งในเมืองนี้ ร้านตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง ร้านไหนใหญ่ที่สุดและโลงศพร้านไหนคุณภาพแย่ที่สุดให้น้องสาวผู้มีใบหน้างดงามฟังอย่างกระตือรือร้น เหอตังกุยฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าเป็บางครั้ง ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขา
ชายหนุ่มถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครฟังเขาพูดอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฟังเป็สตรีที่มีใบหน้างดงามและมีมารยาทมากอีกด้วย เมื่อก่อนเขาคิดเสมอว่าสตรีที่มีใบหน้าสวยนั้นร้ายกาจ เพราะหลานสาวเ้าของร้านก็มีใบหน้างดงามแต่นิสัยดุร้ายราวหมาป่า เจินลิ่วเหนียง หญิงโสเภณีในถนนถัดไปมีใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่าแต่ก็ดุร้ายเหมือนแม่เสือแก่เช่นกัน แต่น้องสาวผู้นี้งดงามกว่าเจินลิ่วเหนียงมากมายนัก ทว่ากลับไม่มีความร้ายกาจเลยแม้แต่น้อย... เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง ในบ้านของน้องสาวคนสวยมีคนตายหรือ เหตุใดถึงตามหาโลงศพ มีเงินพอซื้อโลงศพหรือไม่ แล้วโลงศพที่แม่นางอยากซื้อราคาเท่าไร
เหอตังกุยยิ้มเตือนเขาว่าบะหมี่ถ้วยนั้นเริ่มเย็นแล้ว นางสังเกตเห็นว่าในถ้วยบะหมี่ไม่ได้มีเพียงน้ำมันพริกลอยอยู่ แต่มีพริกแดงบนผิวน้ำซุปอีกด้วย เมื่อเห็นสีหน้าของเขาก็สามารถบอกได้ว่าเขาน่าจะมีอาการท้องอืด นางจึงเตือนเขาว่าอย่ากินเผ็ดมากเกินไปในตอนเช้า มิเช่นนั้นตกกลางคืนจะหิวบ่อย หลังจากกินมื้อค่ำแล้ว เขาจะมีอาการปวดท้อง หากอยากกินอาหารรสเผ็ดจริง ๆ ควรกินไข่ต้มหรือเต้าหู้สักแผ่นรองท้องเสียก่อนแล้วค่อยกินเผ็ด
ชายหนุ่มซาบซึ้งใจมาก คิดไม่ถึงว่าน้องสาวคนสวยที่เพิ่งพบเจอครั้งแรกจะเป็ห่วงตนถึงเพียงนี้ ่นี้เขามักจะไม่อิ่มท้องอยู่บ่อย ๆ กลางคืนก็มักจะท้องอืดดังที่นางกล่าว เมื่อพูดคุยต่ออีกสองสามประโยคจึงรู้ว่าเหอตังกุยเป็คนหยางโจวเช่นเดียวกับเขา ทว่าสำเนียงคล้ายคนเมืองหลวงเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยถามนางว่าบ้านอยู่ที่ใด ฟังดูไม่ใช่คนในพื้นที่
เหอตังกุยเอ่ยตอบ แม้ตนจะเป็คนหยางโจว ทว่าแม่นมที่สอนนางพูดนั้นมาจากเมืองหลวง ดังนั้นจึงเรียนภาษาทางการของเมืองหลวงมาด้วย
มีแม่นมด้วยหรือ? ที่แท้ก็เป็คุณหนูตระกูลใหญ่ที่มีคนปรนนิบัติรับใช้นี่เอง หาได้ยากยิ่งที่จะเรียบง่ายเป็กันเองเช่นนี้ ชายหนุ่มเอ่ยถามนางว่ามาที่เมืองหลวงด้วยเหตุใด มากับใคร มีที่พักแล้วหรือยัง ชินกับสภาพแวดล้อมของเมืองตู้เอ๋อร์หรือไม่...ไปจนถึงนางจะจัดเตรียมงานศพอย่างไร
เมื่อฟังถึงตรงนี้ เหอตังกุยแทบพูดอะไรไม่ออก นางไม่คิดเลยว่าชาวบ้านในเมืองตู้เอ๋อร์จะอัธยาศัยดีเพียงนี้ ขณะกำลังจะเอ่ยตอบ ชายหนุ่มก็พลันก้าวถอยหลังไปสองก้าว โบกมือกล่าวอย่างใ “ที่แท้พ่อของเ้าก็รออยู่นี่เอง ฮ่า เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาดีกว่า น้องสาวเดินทางปลอดภัยนะ ข้าขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของคนในครอบครัวเ้าด้วย”
เหอตังกุยมองตามสายตาของชายผู้นั้น ก่อนจะเห็น “พ่อ” ของนางกำลังแบกโลงศพขวางทางเข้าออกร้านขายของชำด้วยใบหน้าถมึงทึง นางเห็นดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้พลางกล่าว “ไปกันเถอะ ไปร้านขายโลงศพหลี่จี้ที่อยู่ห่างออกไปห้าถนน”
เจินจิ้งยืนรอเหอตังกุยที่หน้าประตูมาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำแนะนำจากลูกจ้างในร้าน ทั้งที่เขาบอกว่าร้านขายโลงศพจิ้งจี้ที่อยู่ห่างออกไปสองถนนเป็ร้านขายโลงศพที่ใหญ่ที่สุด เจินจิ้งจึงเอ่ยถาม “เหตุใดพวกเราไม่ไปถามร้านขายโลงศพจิ้งจี้สักหน่อยเล่า? หากเป็ร้านใหญ่ก็น่าจะขายได้ราคาสูงไม่ใช่หรือ?”
เหอตังกุยยิ้มพลางเอ่ย “ไม่จำเป็ต้องเข้าไปถามหรอก พวกเราต้องไปร้านขายโลงศพหลี่จี้ที่อยู่ห่างออกไปห้าถนน แต่ระหว่างทางก็ต้อง “ผ่าน” ร้านขายโลงศพจิ้งจี้ ถึงตอนนั้นพวกเราสามารถเดินช้าลงและพักผ่อนสักหน่อยได้” เจินจิ้งได้ฟังก็ยังคงงุนงง ทว่าเกาเจวี๋ยเข้าใจความหมายของนางดี แต่ยังคงทำหน้าเ็าถมึงทึงไม่ตอบสนองใด ๆ
-------------------------------------------------------------------
[1] หนึ่งถ้วยชา หมายถึงเวลาประมาณ 15 นาที