เหอตังกุยฝันเห็นมารดา นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมธรรมดาปักลายดอกไม้ เกล้ามวยพระจันทร์เสี้ยว เอ่ยกับนางด้วยความระทม “ลูกอี้ แม่ติดค้างเ้ามากมายนัก แม่ละอายใจยิ่งเมื่อพบหน้าลูก... แม่มีชีวิตที่ขมขื่นจึงทำให้ลูกมีชีวิตที่ขมขื่นไปด้วย แม่ติดค้างเ้ามากเกินไปจริง ๆ ...”
เมื่อเหอตังกุยตื่นขึ้นมา หมอนหนุนเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำตา นอกหน้าต่างยังคงมืดอยู่
นางพลิกตัวพลันรู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบ ก่อนจะพบว่าผ้าห่มที่ตนห่มนั้นถูกเจินจิ้งเตะลงจากเตียงไปเสียแล้ว เหอตังกุยนอนติดกำแพง เจินจิ้งนอนด้านนอก นางอยากดึงผ้าห่มขึ้นมาแต่ไม่อยากเสียงดังรบกวนเจินจิ้ง จึงนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง หูแนบผิวหน้าท้องของเจินจิ้ง พยายามเอื้อมมือหยิบผ้าห่มถึงสามรอบแต่ก็ไม่สำเร็จ หากทำเช่นนี้ต่อไปคงหยิบไม่ได้เสียที นางจึงตัดสินใจะโลงจากเตียงไปหยิบผ้าห่มด้วยตัวเอง
เหอตังกุยประหลาดใจกับการะโครั้งนี้ยิ่งนัก นางไม่เพียงะโเสียงเบา แต่ยังะโได้ถึงสามสี่ฉื่อ รวมกับความสูงของเตียงอีก...
“ตึง” ศีรษะของนางกระแทกหลังคาเตี้ย ๆ
เหอตังกุยร่วงลงไปนั่งยอง ๆ กับพื้น เ็ปจนต้องยกมือกุมศีรษะ น้ำตาไหลออกมาหนึ่งหยด เจินจิ้งใตื่นเพราะเสียงดังสนั่นเมื่อครู่ นางเงยหน้าพลางเอ่ยถามอย่างสะลึมสะลือ “เสี่ยวอี้ สะโพกเ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่? หิวไหม? ในหม้อยังมีข้าวตังอีกชิ้นหนึ่ง ตอนนี้กี่ยามแล้ว?” เหอตังกุยยังไม่ทันตอบ ศีรษะของเจินจิ้งก็ล้มลงบนหมอนอีกครา
เหอตังกุยนวดท้ายทอยของตน ก่อนจะหยิบผ้าห่มคลุมให้เจินจิ้ง จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินออกจากประตูไป เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดนางจึงะโชนหลังคาได้?
นางยืนนิ่งอยู่กลางลานพลางเขย่าขาทั้งสองข้าง ก่อนจะลองะโอีกครั้ง ครั้งนี้นางใช้กำลังห้าส่วน ร่างทั้งร่างจึงลอยบนอากาศได้ เมื่อลอยสูงขึ้นอีกเล็กน้อยก็จะเริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เส้นสายตาสามารถมองเห็นถังน้ำนอกกำแพงลาน เมื่อร่วงสู่พื้นก็ใช้มือและเท้าในการทรงตัว โชคดีที่นางไม่ได้รับาเ็อันใด
ครั้งนี้เหอตังกุยมั่นใจบ้างแล้วว่า...นางมีกำลังภายในจึงะโได้สูงกว่าเมื่อก่อน
นางนั่งขัดสมาธิบนพื้นพร้อมนำสมาธิเข้าตรวจสอบเส้นลมปราณและจุดตันเถียนของตน พบว่าลมปราณเจินชี่ที่แตกซ่านภายในร่างกายเมื่อวานนี้หายไปแล้ว ไม่รับรู้ถึงลมปราณที่ยุ่งเหยิงในเส้นลมปราณอีก ลมปราณในจุดตันเถียนก็คงที่และหนาแน่น ราวกับที่มาของพละกำลังของนางมาจากที่นี่ แขนขาทั้งสี่เสมือนไม่มีวันหมดแรง แม้จะวิ่งรอบอารามสามรอบก็ไม่มีปัญหา
เหอตังกุยคิดได้ดังนั้นจึงวิ่งออกไป นางวิ่งออกจากลาน วิ่งออกจากอาราม ห้อตะบึงรอบอารามด้วยความรวดเร็ว หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ...สิบห้ารอบ สิบหกรอบ ทันใดนั้นเหอตังกุยก็หยุดลง ไม่ใช่เพราะนางวิ่งไม่ไหว แต่เพราะเ้าของใบหน้าเ็าปรากฏตัวตรงหน้านางอีกแล้ว
“ดึกดื่นค่อนคืนไม่ยอมนอน พรุ่งนี้เ้าจะไปหรือไม่? เวลาของข้ามีค่าดั่งทอง หากพรุ่งนี้เ้าไม่ไปอีก ข้าจะไม่สนใจเ้าแล้ว” เกาเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยถามเหอตังกุย
เหอตังกุยโน้มตัววางมือลงบนเข่าทั้งสองข้าง ก่อนจะพบว่าลมหายใจของตนยาวและสม่ำเสมอ ต่างจากอดีตที่นางออกกำลังกายอย่างหนัก ทว่าลมหายใจกลับติดขัดและรวดเร็ว แม้เมื่อก่อนจะมีกำลังภายในอยู่บ้างก็ตาม สามารถใช้คำว่า “มีน้อยดีกว่าไม่มี” มาอธิบายได้เลยทีเดียว แต่ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติก่อน นางไม่เคยมีประสบการณ์การมีกำลังภายในอย่างจริงจัง ด้วยเหตุนี้ แม้จะััได้ว่ากำลังภายในของตนแข็งแกร่งกว่าชาติที่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งถึงระดับใด
“นี่! เ้ารีบไปนอนได้แล้ว” เกาเจวี๋ยะโใส่นางด้วยน้ำเสียงจริงจัง
นางจำที่บันทึกเล่มหนึ่งเคยกล่าวไว้ได้ ผู้ที่เริ่มมีกำลังภายใน หากใช้แรงทั้งหมดกดจุดฝังเข็มบนไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่าย จะทำให้อีกฝ่ายมึนงงและขยับไม่ได้ครึ่งชั่วยาม ชาติที่แล้วนางสามารถทำได้ ฉะนั้นชาตินี้ก็ต้องทำได้เช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนั้น สายตาของนางจึงจับจ้องร่างสูงโปร่งกำยำของเกาเจวี๋ยผู้มีใบหน้าเ็า มิน่าล่ะเขาถึงแซ่เกา หากคิดจะกดจุดฝังเข็มบนไหล่ของเขา คงต้องะโขึ้นไปจึงจะทำได้ แม้ในตอนนี้นางจะะโได้สูงกว่าชาติที่แล้ว แต่การลงสู่พื้นนั้นยังไม่มีความชำนาญเท่าไรนัก
“นี่ หากเ้ายังไม่ไปนอน ข้าจะโยนให้หมาป่ากินแล้วนะ” เกาเจวี๋ยข่มขู่
เมื่อเห็นใบหน้าเ็าปานน้ำแข็งของเกาเจวี๋ย นางก็ล้มเลิกความคิดที่จะใช้เขาเป็ตัวทดลองกดจุดฝังเข็ม การดำรงอยู่ของใบหน้าเ็าดุจน้ำแข็งนั้นช่างแข็งแกร่งเสียจริง เมื่อเขายืนกับต้วนเสี่ยวโหลว ลู่เจียงเป่ยและเลี่ยวจือหย่วนกลับดูไม่แข็งแกร่งเท่าตอนนี้ กล่าวตรง ๆ ในกลุ่มของพวกเขาทั้งสี่ นอกจากต้วนเสี่ยวโหลวแล้ว เกาเจวี๋ยคือผู้ที่มีใบหน้าหล่อเหลา เค้าโครงคมชัดและแววตาล้ำลึกดุจมหาสมุทรที่สุด ทว่าเขากลับเป็บุรุษที่สตรีไม่ชอบมากที่สุดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขามิใช่แต่งงานมีภรรยาไปแล้วหรือ แสดงสีหน้าราวคนตายเช่นนี้ต่อหน้าภรรยาด้วยหรือไม่? จุ๊ ๆ ๆ ภรรยาของเขาช่างน่าเวทนานัก
“ข้าจะนับถึงสาม หนึ่ง สอง...” เกาเจวี๋ยกัดฟันกรอด
นิสัยของเขาช่างอันตรายและเ็า ต่างจากความหล่อเหลาสง่างามของต้วนเสี่ยวโหลว ความอ่อนโยนภูมิฐานของลู่เจียงเป่ย ความเยาะเย้ยถากถางโลกมนุษย์ของเลี่ยวจือหย่วน เกาเจวี๋ยคือภาพลักษณ์มาตรฐานขององครักษ์เสื้อแพร มือขวาถือมีด มือซ้ายถือแส้ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการทรมานคนให้สารภาพผิด เมื่อนางเห็นเขากัดฟันกรอดด้วยใบหน้าเ็า เสมือนว่านางเห็นภาพใบหน้าดุร้ายขณะหวดแส้ทรมานและใช้เหล็กลนไฟประทับตราที่ร่างของนักโทษ...
“สาม” เกาเจวี๋ยเดินเข้ามาทีละก้าว
เหอตังกุยจัดระเบียบกระโปรงของตนแล้วทำความเคารพ ก่อนจะเอ่ย “ใต้เท้าเกาโปรดหยุดอยู่ตรงนั้นเ้าค่ะ ข้าน้อยขออธิบายให้ชัดเจนก่อน ไม่ว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ข้าล้วนไม่้าความช่วยเหลือจากท่าน ท่านสามารถออกไปจากวัดสุ่ยซังและเดินทางกลับเมืองหลวงได้เลยเ้าค่ะ”
เกาเจวี๋ยนิ่งงันครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าต้องอยู่ที่เมืองหยางโจวอีกหลายวัน ดังนั้นก่อนต้วนเสี่ยวโหลวจะกลับเมืองหลวงไปปฏิบัติหน้าที่ เขาฝากภาระเช่นเ้าให้ข้าดูแล สตรีโง่ แม้เ้าไหว้วานให้เสี่ยวต้วนลงเขาไปหาลูกหาบมาให้เ้าสี่คน แต่เขาก็ไม่วางใจปล่อยให้เ้าไปกับลูกหาบเ่าั้ อย่าได้คิดว่าข้าเต็มใจช่วยเ้า สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือสตรีที่มั่นใจในตนเอง หากเ้ายังไม่ไปนอนอีก ข้าจะโยนให้เป็อาหารหมาป่าเสีย”
ใช้คำว่า “อาหารหมาป่า” อีกแล้ว เขามีคำขู่ที่น่ากลัวกว่านี้อีกหรือไม่? ในฐานะจิ่นอีเว่ย คำขู่ของเขาไม่น่ากลัวเอาเสียเลย เมื่อจำเป็ต้องข่มขู่นักโทษให้สารภาพผิด เขาไม่ละอายใจบ้างหรืออย่างไร? จุ๊ ๆ ๆ ช่างเป็เ้าหน้าที่ที่ไร้ความสามารถเสียจริง หรือทั้งหมดทั้งมวลเป็เพราะใบหน้าเ็าของเขา? เพราะเขามีใบหน้าที่สามารถข่มขู่ให้คนใกลัวมาั้แ่เกิด ภายหลังคงไม่จำเป็ต้องเรียนหนักอะไร
ยังมีอีกเื่ที่เหอตังกุยสงสัยพลางเอ่ยถาม “แม้ข้าจะซาบซึ้งที่ใต้เท้าช่วยเหลือจัดระเบียบลมปราณให้แก่ข้า แต่ท่านใช้รูปแบบท่าทางที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ? ข้าเคยเห็นภาพส่วนหนึ่งในหนังสือมาก่อน ทั้งหมดล้วนถ่ายทอดพลังที่ศีรษะหรือด้านหลัง”
เกาเจวี๋ยยังคงนิ่งเงียบด้วยใบหน้าเ็าเช่นเคย
เหอตังกุยถามต่อ “อีกอย่าง แม้ข้าจะรู้ว่าเวลาของท่านมีค่ามากมายนัก แต่ท่านสามารถเลือกที่จะไม่ทำหรือจะใช้เวลาช้า ๆ ขณะช่วยข้าก็ได้ ทว่าท่านกลับถ่ายทอดลมปราณเจินชี่ราวจะฆ่าคนจนข้าเ็ปเจียนตาย ตกลงท่านอยากจะช่วยหรืออยากจะฆ่ากันแน่?”
เกาเจวี๋ยสบถออกมาสองคำราวกับมีค่าดุจทอง “ปัญญาอ่อน”
“....” ดวงตาของเหอตังกุยแทบลุกเป็ไฟ
“หากข้าถ่ายทอดพลังสู่ร่างกายเ้าผ่านศีรษะ ตอนนี้เ้าคงกลายเป็คนปัญญาอ่อนไปแล้ว ไม่มีทางมายืนตำหนิข้าปาว ๆ เช่นนี้ได้แน่” เกาเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “ข้ายังไม่ซักไซ้เื่ที่ร่างกายเ้ามีลมปราณเจินชี่ แล้วเ้ากล้าดีอย่างไรมาซักไซ้ข้า? เ้านี่เป็สตรีที่ไม่รู้บุญคุณคนจริง ๆ หากข้าไม่ช่วยชีวิตเ้า ปล่อยให้ลมปราณเจินชี่วิ่งพลุ่งพล่านทั่วร่างกายเ้าอีกครึ่งเดือน หากไม่ตายก็คงพิการกลายเป็คนไร้ประโยชน์”
เหอตังกุยใคำพูดของเกาเจวี๋ยอย่างยิ่ง เมื่อคิดดูแล้ว หากไม่ใช่เพราะการกระทำป่าเถื่อนของเขาในวันนี้ นางก็คงจะมีเงินแล้ว เมื่อมีเงินก็สามารถซื้อเข็มเงิน เมื่อมีเข็มเงินก็สามารถลองฝังเข็มจัดระเบียบลมปราณเจินชี่ได้ มีสถานการณ์เลวร้ายแบบที่เขาพูดที่ไหนกัน แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเขา เหอตังกุยก็ไม่เดือดดาลเท่าก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้เขา “มอบของขวัญ” เป็ลมปราณเจินชี่ให้แก่ตน อาจจะมากกว่าลมปราณเจินชี่ที่ลู่เจียงเป่ยให้แก่นางเสียด้วย ตอนนี้นางมีกำลังภายในเพราะเกาเจวี๋ย ดังนั้นนางจึงให้อภัยต่อการกระทำป่าเถื่อนก่อนหน้านี้ของเขา
“นี่ เ้า” เกาเจวี๋ยเอ่ยถามข้อสงสัยภายในใจ “กระบวนท่าอู่ฉินชี่มีทั้งหมดห้าสิบเจ็ดกระบวนท่า ในบรรดากระบวนท่าทั้งหมด เสือเตรียมขย้ำเป็กระบวนท่าที่มีขั้นตอนมากที่สุดคือสิบสองขั้นตอน แต่เหตุใดท่านกกระเรียนสยายปีกที่เ้าทำเมื่อเช้าถึงมีสิบเก้าขั้นตอน?”
เหอตังกุยยิ้มบางพลางเอ่ย “ข้าเคยอ่านต้นฉบับหนังสือภาพอู่ฉินชี่ที่แพทย์ผู้มีชื่อเสียงอันดับต้นนามว่าฮว่าถัวถ่ายทอดไว้ ด้วยเหตุนี้จึงมีขั้นตอนการออกกระบวนท่ามากกว่าหนังสือที่แพร่หลายในท้องตลาด หากใต้เท้าเกาสนใจ ข้าจะทำให้ท่านดูั้แ่ขั้นตอนแรกก็แล้วกัน”
เกาเจวี๋ยทอดตามองดวงดาวโดยไม่เอื้อนเอ่ยสักคำ
เหอตังกุยมิได้ใส่ใจเท่าไรนัก ถึงอย่างไรนางก็สามารถทำคนเดียวได้ แต่จะดีมากหากได้รับคำแนะนำจากยอดฝีมือระดับสูงเช่นเขา ดังคำกล่าว “คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ[1]” หากวันหนึ่งนางกลายเป็ยอดฝีมือโบยบินไปที่ไหนเวลาไหนก็ได้ตามใจปรารถนา เมื่อหวนนึกถึงประสบการณ์การฝึกวรยุทธ์ขึ้นมา อาจารย์เกาเจวี๋ยผู้มีใบหน้าเ็าและอาจารย์ลู่เจียงเป่ยผู้นั้นก็นับว่าเป็ผู้นำทางให้แก่นาง
นางเริ่มจากขั้นตอนแรก กางมือออกแล้วะโขึ้นในอากาศ จากนั้นก็ม้วนตัวลงสู่พื้นดิน การเคลื่อนไหวดุจดั่งเมฆเหินน้ำไหล เลียนแบบดวงตาที่เปล่งประกายของกระบวนท่าเสือเตรียมขย้ำ ส่ายหัวและกระดิกหาง มีความอ่อนโยนภายใต้ความแข็งแกร่งของเสือยามก้าวเดิน แสดงให้เห็นท่าทางน่าเกรงขามของาาเสือ กระบวนท่านกกระเรียนกระพือปีกเริ่มด้วยการยืนตัวตรงสง่า ทำตัวสบาย ๆ แสดงให้เห็นถึงนกกระเรียนที่สยายปีกก่อนจะบินโฉบลงสู่พื้นและท่าทางอิสระยามก้าวเดินของนกกระเรียน...
อู่ฉินชี่คล้ายการรำไท่เก๊ก แม้จะเป็วรยุทธ์ธรรมดาแต่กลับยากที่จะเรียนให้เชี่ยวชาญ ยิ่งไปกว่านั้น อู่ฉินชี่แตกเป็สองขั้ว หากยอดฝีมือมีกำลังภายในจะดูงดงามมากเมื่อทำสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจะเคลื่อนไหวกระบวนท่าอย่างชำนาญและเฉียบขาดดุจดั่งเมฆเหินน้ำไหล สง่างามยิ่งนัก แต่หากเป็คนธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธ์ทำสิ่งเหล่านี้ก็จะเหมือนควายไถนา พละกำลังไม่ได้ออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง เมื่อทำไปได้ยังไม่ถึงครึ่ง ลมหายใจก็จะเริ่มติดขัด การเลียนแบบท่าสัตว์ห้าชนิดอย่างอู่ฉินชี่นั้นไม่สง่างามเท่าไรนัก เมื่อเคลื่อนไหวอาจจะทำให้ผู้คนตลกขบขันได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนธรรมดาปรารถนาคือการสร้างร่างกายที่แข็งแรง ตราบใดที่พวกเขาเคลื่อนไหวข้อต่อกระดูกและยืดกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ในเมื่อการเคลื่อนไหวของเ้าก็น่าเกลียด ของข้าก็น่าเกลียด ของเขาก็น่าเกลียด จึงไม่มีใครต้องหัวเราะเยาะใคร
ตอนนี้เหอตังกุยมีกำลังภายในแล้ว แม้จะไม่รู้ว่ากำลังภายในของตนหนาแน่นเพียงใด และแม้ว่าจุดตันเถียนจะส่งพลังไปที่แขนขาทั้งสี่อย่างต่อเนื่องก็ตาม นางกำลังจมจ่อมอยู่ในโลกใหม่ของการมีกำลังภายใน เมื่อไม่มีสิ่งใดรบกวนจิตใจ การเคลื่อนไหวในทุกกระบวนท่าจึงสมบูรณ์แบบ ในที่สุดก็ค่อย ๆ รวบรวมพลังกลับไปหลังออกกระบวนท่าเสร็จ
น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก เช้าวันนี้นางออกกระบวนท่าได้เพียงสองส่วนก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับแข็งแรงมากพอที่จะออกกระบวนท่าเลียนแบบสัตว์ครบทั้งห้าชนิด อีกทั้งลมหายใจยังคงที่อีกด้วย
“ใต้เท้าเกา โปรดให้คำแนะนำแก่ข้าด้วย” เหอตังกุยคำนับพลางหัวเราะเบา ๆ โดยไม่รู้ว่ากระบวนท่าอู่ฉินชี่ของตนเข้าตาอีกฝ่ายหรือไม่
ดวงตาคู่นั้นของนาง...ทำให้ผู้คนยากจะลืมเลือน
เกาเจวี๋ยอดคิดเช่นนั้นมิได้ หากเขาบอกผู้อื่นว่าเขาหลงใหลในแววตาคู่นั้น จะมีใครหัวเราะเยาะเขาหรือไม่? เขาเอามือไพล่หลังพลางทอดตามองสตรีที่กำลังยิ้มสดใสและลำพองใจผู้นั้น เขาบอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกอย่างไร ไม่นานก็พยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่เลว กระบวนท่าที่เ้าออกมาในครั้งนี้ยอดเยี่ยมมาก” รอยยิ้มของเด็กสาวกว้างกว่าเดิม
“คนชราออกกระบวนท่าเหล่านี้เพื่อต่ออายุ วัยกลางคนออกกระบวนท่าเพื่อป้องกันการโจมตี วัยหนุ่มสาวออกกระบวนท่าเพื่อความปลอดภัย” เกาเจวี๋ยเอ่ยชมอย่างจริงใจ “ยินดีด้วย วิชาป้องกันตัวของเ้าบรรลุเป้าหมายระดับต้นแล้ว ต่อไปคงจะไม่ตายอยู่ข้างถนนเพราะอาการป่วยที่เกิดขึ้นกะทันหันเป็แน่” รอยยิ้มของเด็กสาวเริ่มแข็งกระด้าง
เหอตังกุยอดเดือดดาลมิได้ ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเกาเจวี๋ยไม่ใช่คนที่ขาดทักษะการพูดข่มขู่ แต่เป็คนที่ปากร้ายมากต่างหาก
เกาเจวี๋ยมองท้องฟ้าสีขาวด้านทิศตะวันออกพลางเอ่ย “ยามห้าแล้ว ในเมื่อเ้าไม่อยากนอน เช่นนั้นพวกเราก็รีบออกเดินทางกันเสียตอนนี้ อย่าทำให้ข้าต้องเสียเวลา”
เหอตังกุยเอ่ยอย่างเดือดดาล “ในเมื่อใต้เท้าให้คำแนะนำที่มีค่าดุจทองดุจหยกว่าต่อไปข้าจะไม่มีทางตายข้างถนน เช่นนั้นข้าก็ไม่บังอาจทำให้ท่านเสียเวลาหรอกเ้าค่ะ อีกทั้งไม่บังอาจให้แม่ทัพจิ่นอีเว่ยแห่งราชสำนักมาทำหน้าที่เป็ลูกหาบให้แก่ข้า เชิญใต้เท้าตามสบายเ้าค่ะ หากครั้งหน้าได้เจอใต้เท้าต้วน ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เขาฟังด้วยตัวเอง ไม่ถือว่าใต้เท้าเกาทำผิดสัญญา”
เกาเจวี๋ยเหลือบมองนางครู่หนึ่งก่อนออกคำสั่ง “ฟังข้าให้ดี เ้ามีเวลาครึ่งชั่วยามในการแต่งตัวและทำผม หลังครึ่งชั่วยาม ไม่ว่าเ้าจะมีสภาพเยี่ยงไร ข้าก็จะลากเ้าออกจากประตูเยี่ยงนั้น” เมื่อกล่าวจบร่างของเขาก็พลันหายไป กิ่งต้นสน้าสั่นไหวเบา ๆ
ทันใดนั้นเหอตังกุยก็คิดบางอย่างออก ประเดี๋ยวเ้าหน้าน้ำแข็งจะกลายเป็คนรับใช้ของนาง เหตุใดนางจะไม่ยินดีเล่า? ดังนั้นเหอตังกุยจึงไม่ใส่ใจท่าทางทะนงตนของเกาเจวี๋ยอีกต่อไป นางหันหลังวิ่งตรงไปยังเรือนปีกซ้ายฝั่งตะวันออก เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เห็นว่าเจินจิ้งยังคงฝันหวานอยู่ นางจึงเอื้อมมือตบหน้าเจินจิ้งเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขออภัย “หมูสับนึ่งน้ำแดงของพวกเรามาแล้ว ลุกขึ้นไปกินที่ร้านกันเถอะ” เจินจิ้งลืมตาอย่างสะลึมสะลือ หาวหวอดพลางเอ่ยถาม “กี่ยามแล้ว? เสี่ยวอี้ สะโพกเ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”
“ไม่ต้องพูดถึงสะโพกข้าแล้ว ตื่น ๆ เป็แม่ชีแท้ ๆ ยังจะี้เีตื่นอีก”
เหอตังกุยหยิบชุดสีเหลืองอ่อนมาสวมใส่ ก่อนจะใช้หวีเกล้าผมทว่านางกลับหาปิ่นเพียงอันเดียวที่ตนมีไม่เจอ ทันใดนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่านางทิ้งปิ่นไว้ที่ลานวัดหลังใช้มันจู่โจมเ้าหน้าน้ำแข็งเมื่อคืน นางจึงรีบออกไปตามหา หลังจากเดินวนอยู่สองรอบก็หาเจอ แต่มันกลับหักออกเป็สองท่อนเสียแล้ว อีกทั้งยังมีรอยเท้าขนาดใหญ่ที่ไม่ชัดเจนเท่าไรนักประทับอยู่
“ไอ้คนป่าเถื่อน” เหอตังกุยสบถออกมา นางกลับไปที่ห้องแล้วนำตะเกียบเคลือบสีแดงหักปลายออก ก่อนจะม้วนผมขึ้นแล้วใช้ตะเกียบปักผมแทนปิ่นเหมือนที่เจินจิ้งทำ
ตามคำสั่งของเกาเจวี๋ย หลังจากครึ่งชั่วยามเหอตังกุยและเจินจิ้งก็ออกมารอที่นอกลาน แต่กลับไม่เห็นเงาของเขา เหอตังกุยจึงไปหาเขาที่เรือนปีกขวาฝั่งตะวันตก ทว่าในเรือนนั้นว่างเปล่า ไม่มีทั้งคนทั้งสัมภาระ น่าแปลกใจยิ่งนัก หรือเ้าหน้าน้ำแข็งจะไปเสียแล้ว? ไปก็ไปสิ นางเพียงลงจากเขาครึ่งทางแล้วไปยังหมู่บ้านเอ้อร์สือหลีผู่ หาบุรุษที่แข็งแกร่งสักสองคนก็พอแล้ว ดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำไป เหอตังกุยจึงเดินกลับไปหาเจินจิ้ง
ก่อนหน้านี้ท้องฟ้ามืดและเงียบสงัดเกินไป เหอตังกุยยังนึกว่าตนเข้าใจผิด แต่ตอนนี้นางสังเกตได้แล้วว่าสายตาและการได้ยินของตนนั้นดีกว่าก่อนมาก จากระยะไกลก็สามารถมองเห็นรูม่านตาของเจินจิ้งที่อยู่ห่างจากนางกว่าร้อยก้าวได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนางตั้งใจฟังก็สามารถได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่อยู่บนต้นไม้ได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
----------------------------------------------------------------------
[1] คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ หมายถึงคนเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบใดหรือใกล้กับอะไรก็จะเป็แบบนั้น