เหอตังกุยตื่นตอนฟ้าสาง เมื่อคืนก่อนเข้านอนนางใช้ตะเกียบแท่งใหม่ป้ายขี้ผึ้งจือมิ่งจำนวนหนึ่งละลายในถ้วยน้ำอุ่น นำไปตบเบา ๆ บริเวณจุดฝังเข็มตามลำดับ เพื่อให้ความร้อนนำสรรพคุณยาแทรกซึมในแขนขาทั้งสี่ข้าง ประสิทธิภาพของขี้ผึ้งจือมิ่งดีจริงดังคาด เมื่อตื่นก็รู้สึกว่าการหายใจดีขึ้น ชีพจรแข็งแรงขึ้นมาก มือเท้าที่เย็นเฉียบค่อย ๆ อบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด
เนื่องจากห้องนางมีเพียงเตาผิงเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างไร้ประโยชน์ หลายวันที่ผ่านมาเหอตังกุยและเจินจิ้งจึงต้องนอนเบียดใต้ผ้าห่มนวมเพื่อรับความอบอุ่นด้วยกัน ทว่าเจินจิ้งกลับไม่ได้นอนนิ่ง ๆ นางมักจะเตะผ้าห่มและเตะนางเสมอ ทำให้เหอตังกุยทรมานมาก เวลานี้เจินจิ้งตกอยู่ในห้วงนิทรา เหอตังกุยจึงลงจากเตียงเงียบ ๆ ดึงผ้าห่มคลุมให้เจินจิ้ง แต่เจินจิ้งละเมอบ่นพึมพำพลางเตะผ้าห่มออกไปอีก เหอตังกุยจึงดึงผ้าห่มคลุมร่างของนางอีกครั้งอย่างจนใจ
เหอตังกุยล้างหน้าล้างตาอย่างไม่พิถีพิถันมากนัก นางเกล้าผมเป็ม้วนเล็ก ๆ สวมเสื้อคลุมก่อนจะเดินไปในลาน ยามนี้นางมีปัญหาลำบากใจเกิดขึ้นอีกคราซึ่งยากจะแก้ไขยิ่งนัก
ั้แ่่เย็น ลมปราณเจินชี่ที่ได้รับจากลู่เจียงเป่ยโลดแล่นไม่เป็ระเบียบอยู่ในร่างกายของนาง นางฝึกท่องเคล็ดวิชากำลังภายในที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างต่อเนื่อง พยายามปรับลมหายใจให้คงที่ ทว่าผลที่ได้รับมีเพียงน้อยนิด ลมปราณเจินชี่เหมือนเด็กซุกซนที่วิ่งพล่านทั่วเส้นชีพจรของนางตลอดคืน แม้ไม่เ็ปเท่าไรนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อใด ตอนไหนจึงจะปรับลมปราณเจินชี่ให้เข้ากับ “บ้านใหม่” ของพวกมันได้
เหอตังกุยยังจำเนื้อหาในหนังสือวรยุทธ์ที่เคยอ่านเมื่อชาติที่แล้วได้ มีการอ้างถึงเหตุการณ์เช่นนี้ เรียกว่า “ลมปราณพลุ่งพล่าน” หนังสือกล่าวไว้ว่าลมปราณพลุ่งพล่านเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยทั่วไปจะเกิดกับผู้ที่ฝึกฝนกำลังภายในระดับต้นและข้ามขั้นไปฝึกในระดับที่สูงกว่า เมื่อพลังในร่างกายเพิ่มมากขึ้นในเวลารวดเร็ว ผู้นั้นจะไม่สามารถควบคุมลมปราณเจินชี่ที่เกินกำลังของตนได้ จึงทำให้เกิดลมปราณพลุ่งพล่าน
เหอตังกุยคือคนพิเศษในกรณีพิเศษ แม้นางไม่มีกำลังภายใน แต่กลับชำนาญเคล็ดวิชาฝึกฝนกำลังภายในขั้นสูงสุด เมื่อวานที่นางดูดลมปราณเจินชี่จากลู่เจียงเป่ยนั้น กลับกลายเป็ความสงสัยต่อความโลภที่ไม่สิ้นสุดดั่งงูกลืนช้างของตน ทั้งยังไม่สนว่าตนจะต้านรับไหวหรือไม่ ก่อนที่จะรวบรวมลมปราณเจินชี่เข้าสู่จุดตันเถียน นางรู้ว่าความตั้งใจเดิมของลู่เจียงเป่ยคือช่วยให้ร่างกายนางอบอุ่น นางจึงเอาแต่กุมมือเขาไม่ปล่อย นั่นอาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่านางอบอุ่นสบายตัวและอยากอยู่เช่นนี้อีกพักหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ปล่อยมือนาง พลางถ่ายลมปราณเจินชี่เข้าสู่ร่างกายต่อเนื่องเกือบสามชั่วยาม
สิ่งที่เหอตังกุยไม่รู้คือลมปราณเจินชี่ของลู่เจียงเป่ยนั้น แม้จะสะอาดบริสุทธิ์ แต่ก็เป็ลมปราณเจินชี่ที่มาจากความแข็งแกร่งของบุรุษ มันหนาแน่นและหนักหน่วงมาก ไม่สามารถเข้ากับร่างกายสตรีเพศได้ โดยปกติแล้วมีเพียงผู้ที่ทักษะวรยุทธ์และพลังกายพื้นฐานค่อนข้างดีเท่านั้นที่จะกล้ารับลมปราณเจินชี่จากผู้อื่น มิเช่นนั้นสำนักวรยุทธ์ทั้งหลายในใต้หล้าจะปลุกปั้น “ยอดฝีมือ” มากมายได้อย่างไร?
มันเป็เื่ที่อันตรายมาก หากนางยืนกรานจะรวบรวมลมปราณเจินชี่ที่ไม่ใช่ของตน เสมือนผู้เริ่มฝึกขี่ม้าและม้าที่ฝึกเป็ม้าพยศ หากลมปราณเจินชี่โลดแล่นผิดทาง นางอาจต้องกลับไปเกิดใหม่เป็มนุษย์อีกครั้งก็เป็ได้
เหอตังกุยเตะกิ่งไม้แห้งไปที่ข้างกำแพงด้วยความกลุ้มใจ ไม่มีวิธีอื่นแล้ว นอกจากปล่อยให้ลมปราณเจินชี่โลดแล่นในร่างกายของนางอย่างอิสระ
แม้จะลองใช้วิธีฝังเข็มเพื่อนำทางลมปราณเจินชี่ แต่ก็ควรใช้เข็มเงินยาวอย่างน้อยสามฉื่อ ตอนนี้นางมีเพียงเข็มปักผ้าไม่กี่เล่ม ทั้งยังเป็ของเจินจิ้งอีกด้วย เข็มมีลักษณะค่อนข้างหยาบ แข็งและแตกหักง่าย ครั้งก่อนนางใช้เข็มปักผ้าเพียงชั่วคราวในยามฉุกเฉิน เนื่องจากเหล็กไม่สามารถนำลมปราณเข้าสู่จุดตันเถียนได้เต็มที่ อีกทั้งยังเสี่ยงอันตรายไม่น้อย หากหัวเข็มเ่าั้หักขณะฝังก็จะกลายเป็เื่ยุ่งยากที่จะรักษา เหอตังกุยถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม นางคงทำได้เพียงรอให้ตนมีเงินมากพอเสียก่อน จึงจะไปที่ร้านเงินและสั่งทำเข็มเงินชั้นดี
เมื่อครุ่นคิดเงียบ ๆ พักหนึ่ง นางก็เดินไปที่กลางลานแล้วออกท่าวรยุทธ์ง่าย ๆ สองแบบ ยืดตัวก่อนจะงอตัวแล้วะโขึ้นกลางอากาศเพื่อทำ “กระบวนท่าหัวชื่ออู่หลีชี่” กระบวนท่านี้ถูกคิดค้นโดยแพทย์ผู้มีชื่อเสียงของตงฮั่น เลียนแบบท่าทางการเคลื่อนไหวของสัตว์ห้าชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิงและนกกระเรียน กระบวนท่านี้ทำให้ร่างกายแข็งแรง ทั้งยังเป็ที่นิยมแพร่หลายในสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็ราชวงศ์ ตระกูลชนชั้นสูงหรือแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ต่างก็ฝึกกระบวนท่าหัวชื่ออู่หลีชี่ในเวลาว่างจนติดเป็นิสัย กล่าวกันว่าการฝึกกระบวนท่านี้เป็ประจำทำให้ร่างกายแข็งแรงและอายุยืน
หลังจบกระบวนท่าเลียนแบบเสือและนกกระเรียนแล้ว เหอตังกุยเริ่มหายใจหอบ เหงื่อออก ขณะกำลังเริ่มออกกระบวนท่า “กวางขวิด” จู่ ๆ หางตาขวาพลันเหลือบเห็นเงาร่างสีดำยืนนิ่งไม่ขยับที่มุมกำแพงด้านหลังนาง ทำให้นางใจนขวัญกระเจิงทันที
“ใคร? ใครอยู่ตรงนั้น?” นางหันขวาฉับ แต่กลับลืมว่าน้ำหนักกำลังกดที่ไหล่ซ้ายของตน เมื่อเริ่มกระบวนท่ากวางขวิด การเอี้ยวตัวกะทันหันทำให้รักษาน้ำหนักไม่ได้และร่างกายโงนเงนไปด้านข้าง
ขณะนั้นนางใช้แขนกุมศีรษะและปิดตาเพื่อเตรียมรับความเ็ปจากการล้มกระแทกพื้น ทว่าความเ็ปที่คาดไว้กลับไม่เกิดขึ้น เมื่อได้สติก็รู้สึกว่าตนอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคนที่มีน้ำค้างเกาะกุมเป็ชั้นบาง ๆ พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของหญ้าสีเขียวโชยเข้าจมูก
“กระบวนท่าที่เ้าทำนั้นใช้ไม่ได้ แย่กว่าอาเจียงในบ้านข้าเสียอีก” เกาเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็าพลางยกนางขึ้นราวกับยกไก่
เหอตังกุยที่อยู่ในอาการใได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งอายทั้งอึดอัด นางจัดเสื้อผ้าที่ไม่เป็ระเบียบให้เรียบร้อยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ใต้เท้าเกา เมื่อครู่ท่านทำข้าใ อาเจียงที่ท่านกล่าวถึงคือผู้ใด เหตุใดจึงนำข้าไปเปรียบกับเขา” นางไม่มีพื้นฐานกำลังภายใน นี่เป็ครั้งแรกที่ใช้ร่างกายนี้ฝึกกระบวนท่าอู่หลีชี่ จะเทียบชั้นคนฝึกวรยุทธ์เช่นพวกเขาได้เยี่ยงไร อีกอย่างเกาเจวี๋ยถือวิสาสะเข้ามาในเรือนผู้อื่น ทั้งยังแอบดูผู้อื่นออกกำลังกายโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงแม้แต่น้อย ไร้มารยาทเสียจริง
“อาเจียงคือสุนัขที่ข้าเลี้ยงไว้” เกาเจวี๋ยตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
เหอตังกุยได้ยินดังนั้นก็อับอายจนพวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ ก่อนจะโต้แย้งด้วยความมั่นใจ “ใต้เท้าเกา ท่านช่างน่าขันจริง ๆ สุนัขจะออกกระบวนท่าอู่หลีชี่ได้เยี่ยงไร”
เกาเจวี๋ยเม้มปาก เงียบงันไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอื้อมไปจับมือขวาของเหอตังกุย นิ้วหยาบกระด้างกดลงที่ข้อมือเนียนละเอียดดุจหยกของนาง เมื่อเขาตรวจชีพจรแล้วก็ขมวดคิ้วพลันเอ่ยถามทันที “เหตุใดชีพจรของเ้ายุ่งเหยิงเช่นนี้? ไม่สิ...บอกข้ามา เหตุใดลมปราณเจินชี่เข้าไปในร่างกายของเ้าได้?”
หัวใจของเหอตังกุยเต้นรัวไม่เป็จังหวะ คิดจะชักมือกลับแต่ชีพจรของนางกลับถูกเกาเจวี๋ยควบคุมไว้หมดแล้ว ดึงเบา ๆ เพียงครั้งเดียวก็ทำให้แขนชาไปหมด เ็ปราวมีมดนับหมื่นเหยียบย่ำ
“ข้าเจ็บนะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” เดิมทีเหอตังกุยกังวลเกี่ยวกับลมปราณเจินชี่ที่ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบในร่างกายนางมากพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกเกาเจวี๋ยรู้ความลับอีก อารมณ์ของนางแย่ลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องะโใส่ใบหน้าเ็าดุจน้ำแข็งของเกาเจวี๋ย “เ้าปล่อยข้า ปล่อยข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่เื่ของเ้า ร่างกายข้ามีลมปราณเจินชี่แล้วผิดกฎหมายข้อไหน เ้าวิ่งมาที่เรือนของข้าด้วยเหตุใด จิ่นอีเว่ยยังไม่ลงจากเขาอีกหรือ?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เกาเจวี๋ยก็เอ่ยเสียงราบเรียบ “หลับตาซะ หากรู้สึกเจ็บก็ร้องออกมา แต่อย่าได้ขัดขืน มิเช่นนั้นเ้าจะเจ็บตัวกว่านี้” กล่าวจบก็ไม่รอให้นางเอ่ยตอบหรือขัดขืน มือหนาของเกาเจวี๋ยจับมือเหอตังกุยวางที่ไหล่ทั้งสองของเขา
เหอตังกุยรู้เพียงสายตาตนพร่ามัวไปชั่วขณะ ก่อนจะพบว่าแขนพาดอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างของเกาเจวี๋ย ทันใดนั้นสายตาของนางก็ชัดเจนขึ้น สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย “เ้าจะทำอะไร ปล่อยข้าลง...อ๊ะ” สะโพกของนางถูกบีบแน่นด้วยของร้อนบางอย่างจนอดร้องเสียงแหลมออกมาไม่ได้
มือซ้ายของเกาเจวี๋ยจับขาเรียวเล็กที่เตะไปมา มือขวากดจุดกระดูกก้นกบบริเวณสะโพกของนาง ถ่ายลมปราณเจินชี่ที่แข็งแกร่งดุจคลื่นลูกใหญ่ในมหาสมุทรเข้าไป
คลื่นพลังไม่มีที่สิ้นสุดแทรกซึมควบคุมลมปราณเจินชี่ที่ยุ่งเหยิงในร่างกายของเหอตังกุย พวกมันเดินทางเข้าไปในเส้นลมปราณของนางด้วยความรวดเร็ว ชั่วอึดใจเดียวก็วิ่งเข้าสู่เส้นลมปราณสำคัญกว่าสิบรอบ ทำให้นางเ็ปรุนแรงราวกระดูกถูกหักออกเป็ท่อน แม้เหอตังกุยรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังช่วยควบคุมลมปราณเจินชี่ของตน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าบนโลกนี้จะมีท่าถ่ายทอดพลังที่น่าอับอายและเ็ปจนน่าใเช่นนี้ด้วย
เป็ความเ็ปแสนบ้าคลั่งที่นางไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ัั นางดึงปิ่นไม้ออกจากผม ก่อนจะแทงแผ่นหลังของพยัคฆ์ร้ายตรงหน้าอย่างแรง
เหตุใดปิ่นนี้จึงทำอะไรแผ่นหลังของเขาไม่ได้? หรือเป็เพราะลมปราณเจินชี่ปกป้องร่างกายเขาไว้?
ฮึ นางไม่เชื่อง่าย ๆ หรอกว่าเขาจะเก่งกาจถึงเพียงนั้น จึงแทงย้ำลงไปอีก...และแทงซ้ำเช่นนั้นไม่หยุด
ทว่าแผ่นหลังของพยัคฆ์ร้ายเกาเจวี๋ยดูจะไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ราวกับเขากำลังหัวเราะเยาะความมั่นใจของเหอตังกุยโดยไม่มีเสียง ความเ็ปที่ทำให้แทบจะเป็ลมยังคงทิ่มแทงเหอตังกุยอย่างบ้าคลั่งจนนางทนไม่ไหว ปิ่นไม้ในมือร่วงหล่นลงพื้น ศีรษะซบลงบนแผ่นหลังใหญ่ของเกาเจวี๋ย เส้นผมยาวสลวยสยายทั่วชุดสีดำของเขา
นางเ็ปจนเป็ลมไปเสียแล้ว
......
เมื่อเหอตังกุยลืมตา ใบหน้ากลมดุจผลผิงกั่ว[1]ของเจินจิ้งก็โผล่มาใกล้ ดวงตากลมโตคล้ายผลซิ่งกะพริบปริบ ๆ พลางกล่าวตำหนิ “เสี่ยวอี้ เหตุใดเ้าซุกซนถึงเพียงนี้ ต่อไปอย่าได้ทำเช่นนี้อีก”
“น้ำ...” นางรู้สึกเหมือนในลำคอมีไฟแผดเผาอยู่ ครั้นเอ่ยปากก็พบว่าคอแห้งผากอย่างยิ่ง “ขอน้ำให้ข้าสักถ้วย”
เจินจิ้งยกน้ำอุ่นถ้วยใหญ่มอบให้นางอย่างรวดเร็ว เหอตังกุยถือถ้วยด้วยสองมือพลางค่อย ๆ จิบน้ำ ก่อนจะส่งคืนเจินจิ้งด้วยรอยยิ้มซาบซึ้ง “ขอบใจนะเจินจิ้ง ข้าขออีกถ้วย”
เจินจิ้งยื่นมือซ้ายรับถ้วยกลับคืน มือขวาก็ยกน้ำถ้วยใหม่ขึ้นมา ก่อนจะบ่นยาวเหยียด “แม่ข้าเคยบอกว่าหากเรามีชามก็สามารถกินข้าวได้หลายชาม หากเรามีกำลังมากจะแบกถุงข้าวหนักเพียงใดก็ย่อมได้ เสี่ยวอี้ ข้าไม่ได้จะตำหนิเ้าหรอกนะ แต่เ้าประเมินกำลังของตนสูงเกินไป เ้าพูดว่าเ้าไม่เป็วรยุทธ์แต่กลับวิ่งไปฝึกวรยุทธ์ในลานได้อย่างไร มันทำให้เ้าเป็ลมหัวคะมำกองลงกับพื้นเช่นนี้ เ้าดูข้าสิ ข้าไม่เป็วรยุทธ์และไม่เคยคิดจะเรียนด้วย เช่นนั้นข้าจึงไม่เคยล้มเหลวเื่นี้ หากไม่ใช่เพราะใต้เท้าเกาเดินผ่านมาแล้วใจดีช่วยเ้าไว้ เ้าคงนอนหมดสติอยู่บนพื้น สักพักก็จะป่วยเพราะตากลมเย็น...”
“...ใต้เท้าเกา?” เหอตังกุยเอ่ยคำสำคัญในประโยคนั้น ดวงตาเหม่อลอยมองขอบถ้วยเบื้องหน้าของเจินจิ้ง
“อืม ใช่แล้ว” เจินจิ้งกะพริบตาปริบ ๆ “ใต้เท้าเกานั่งอยู่นอกลาน น้ำที่เ้ากินเมื่อครู่ก็เป็เขาที่เตรียมให้ เขาบอกว่าเมื่อเ้าฟื้น เ้าจะกระหายน้ำ จริงสิ เสี่ยวอี้ ข้าได้ยินใต้เท้าเกาบอกว่าสะโพกของเ้ากระแทกพื้น ตอนนี้ยังเจ็บอยู่หรือไม่...”
“...สะโพก?” เหอตังกุยหรี่ตาด้วยความโกรธ “ตอนนี้เขายังอยู่ในลานหรือไม่?”
เจินจิ้งพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจ เหอตังกุยรีบวางถ้วยด้วยความเดือดดาล ทว่าเมื่อนางลงจากเตียงกลับยืนได้ไม่มั่นคงจนล้มลงอีกครั้ง เจินจิ้งรีบพยุงนางพลางเอ่ยถามด้วยความกังวล “เ้าไม่สบายตรงไหนหรือ? สภาพเช่นนี้อย่าเพิ่งลงจากเตียงเลย หากเ้าอยากขอบคุณใต้เท้าเกา เดี๋ยวข้าไปเรียกเขาเข้ามาก็ได้ เ้านอนลงก่อนเถอะ”
เหอตังกุยะโออกไปด้านนอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เ้าคนแซ่เกา เข้ามาเดี๋ยวนี้นะ”
ทันใดนั้นก็ปรากฏเงาสีดำที่ข้างประตูอย่างรวดเร็ว
เหอตังกุยถลึงตามองเขาพลางเอ่ยถามอย่างเ็า “ข้าขอถามท่านสักหน่อย ข้าไปยั่วโทสะและล่วงเกินท่านตอนไหน ท่านถึงต้องลงมือสั่งสอนข้าเช่นนี้?”
เกาเจวี๋ยเหลือบมองนางอย่างเ็า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “เวลาของข้ามีค่าดั่งทอง แต่วันนี้กลับเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ พรุ่งนี้เ้าก็ตื่นแต่เช้าหน่อย หากเดินไม่ได้ข้าจะแบกเ้าเอง แต่หากเ้าไม่ไป ข้าก็จะไม่สนใจแล้ว”
เหอตังกุยขมวดคิ้วมุ่น “...ไปทำอะไร?”
เกาเจวี๋ยถลึงตามอง “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า”
เจินจิ้งหลุดขำอย่างอดไม่ได้ ทำให้ทั้งคนที่นอนอยู่บนเตียงและคนที่อยู่หน้าประตูหันมองนางอย่างพร้อมเพรียง เจินจิ้งใจนต้องรีบโบกมือปฏิเสธ “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เหอตังกุยสูดลมหายใจลึก ในที่สุดก็คิดบางอย่างออก นางจ้องใบหน้าเ็าของเกาเจวี๋ยแล้วเอ่ยถาม “ใต้เท้าต้วนส่งท่านมาที่นี่ใช่หรือไม่?” เกาเจวี๋ยพยักหน้า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดใบหน้าของเขาจึงดูไม่สบอารมณ์นัก ราวไม่เต็มใจจะแสดงสีหน้าไม่พอใจนั้นออกมา
เหอตังกุยเอ่ยถามอีกครั้ง “ใต้เท้าต้วนผู้นั้นจากไปแล้วใช่หรือไม่?” ใบหน้าเ็าพยักหน้าตอบ
เหอตังกุยพยักหน้าเช่นกัน “ดีมาก เช่นนั้นท่านไปเถอะ ข้าไม่้าความช่วยเหลือจากท่าน และท่านก็ไม่จำเป็ต้องเปลืองเวลาอันล้ำค่าดุจทองของท่านด้วย ใต้เท้าเกาเดินทางปลอดภัยนะเ้าคะ ข้าน้อยคงไม่ได้ไปส่ง”
เกาเจวี๋ยเอ่ยซ้ำประโยคเดิม “พรุ่งนี้เ้าต้องตื่นแต่เช้า หากเดินไม่ไหวข้าจะแบกเ้าไปที่นั่นเอง” เมื่อกล่าวจบก็เลือนหายไปจากหน้าประตู
เจินจิ้งมองเหอตังกุยด้วยท่าทางเซ่อซ่า “เสี่ยวอี้ พรุ่งนี้จะไปทำอะไรหรือ?”
เหอตังกุยจ้องหน้าประตูด้วยความเดือดดาลครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปนอนบนเตียงอีกครั้ง ความเ็ปที่สะโพกและสองขาทำให้นางโมโหยิ่งนัก นางพลิกกายอย่างยากลำบาก จ้องรอยด่างบนกำแพงพลางเอ่ยว่า “ขายโลงศพ”
------------------------------------------------------------------------
[1] ผลผิงกั่ว หมายถึง แอปเปิล