ที่นอกห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในเมืองหลินไห่ อีชางซูดริฟต์รถเข้ามาจอดที่หน้าประตู ฟางซื่อเฉวียนซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังรีบพุ่งตัวลงจากรถโดยที่ไม่รอเขามาเปิดประตูให้ เขาวิ่งเข้าไปด้านในตามป้ายบอกทาง รีบเสียจนสะดุดหกล้ม
จนเมื่อถึงห้องฉุกเฉินและได้เห็นฟางหยวนซึ่งศีรษะถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลกำลังทานอะไรอยู่ จิตใจของเขาถึงได้สงบลง
“สวัสดีครับคุณลุง” หลินฝานที่นั่งอยู่ข้างเตียงลุกขึ้นกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
รุ่นพี่ของฟางหยวนคนนี้ ฟางซื่อเฉวียนเองก็รู้จัก เขาจึงได้พยักหน้าเป็การตอบรับ
“ลูกยังเจ็บอยู่หรือเปล่า? ไม่สบายตรงไหนไหม? นี่อาหารของโรงพยาบาลเหรอ? น่าขยะแขยงสิ้นดี ทานเข้าไปได้ยังไง พ่อจะให้ป้าหวังเคี่ยวซุปยาจีนมาให้ เดี๋ยวจะให้เอามาให้ลูกทานนะ สภาพที่นี่แย่มาก ผ้าปูที่นอนนี่ของใหม่หรือเปล่า? ทำไมมีคราบเื? พยาบาล! พยาบาลอยู่ที่ไหน? ช่วยย้ายเตียงให้ลูกสาวผมด้วย! ผม้าห้องเดี่ยว!
ช่างเถอะ โรงพยาบาลห่วยแตกแบบนี้ ห้องเดี่ยวก็คงอยู่ไม่ได้อยู่ดี กลับบ้านเรากันดีกว่า! พ่อให้ทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญจาก Imperial Capital รีบตามมาที่นี่แล้ว เรากลับไปรักษาตัวกันที่บ้านเถอะ ที่บ้านมีคนช่วยดูหลาย ทั้งสะอาด ทั้งปลอดเชื้อ” ฟางซื่อเฉวียนลนลานจนพูดไม่หยุด เมื่อเขาเห็นว่าฟางหยวนทานบะหมี่เนื้อราคาชามละไม่ถึง 20 หยวน
“เฮ้ ใจเย็นหน่อยได้ไหม? หมอบอกว่าไม่เป็ไร แค่เย็บ 3 เข็มเท่านั้น มะรืนนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว” ฟางหยวนจ้องพ่อด้วยสายตาเหยียดหยาม ทั้งที่ความจริงแล้ว พอเห็นท่าทางลนลานของพ่อ หัวใจของเธอก็เหมือนรู้สึกถึงความอบอุ่น
ในขณะที่พ่อลูกกำลังกล่าวทักทายกันอยู่นั้น อีชางซูกลับเดินเข้าไปหาเสิ่นิ เขากำลังยืนพิงเสาต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเตียงผู้ป่วย
“เหตุะเิที่ลานจอดรถ IKEA เมื่อวานนี้ ใช่ฝีมือนายไหม? ตำรวจจับกุมตัวอันธพาลที่พกปืนได้ที่นั่น แต่ไม่มีพลเรือนที่ได้รับาเ็หรือเสียชีวิตเลย นายนี่อย่างกับสัตว์ประหลาด ถ้าเป็ฉัน คงทำอย่างสวยงามหมดจดขนาดนั้นไม่ได้” อีชางซูหรี่ตาพลางอมยิ้มในขณะที่พูด
“ไอ้หมอนั่นเป็ใคร?” เสิ่นิไม่ได้ฟังที่อีชางซูพูดเลยสักนิด เขามองตรงไปยังชายหนุ่มซึ่งสวมชุดหนังที่ยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
“หลินฝาน รุ่นพี่ที่เรียนมวยกับคุณหนู เขาออกจากยิมไปเมื่อ 3 ปีก่อน ได้ยินว่าเขาไปประเทศไทยเพื่อลงแข่งชิงแชมป์มวยไทยท้องถิ่น แต่ต่อมาก็พ่ายแพ้ เ้าเด็กนั่นไม่เลวเลยนะ ฝีมือดี ถ้าฉันสู้กับเขา น่าจะแค่เสมอกัน
ราวๆ 3 ปีก่อน หนึ่งเดือนก่อนที่เขาจะออกจากโรงยิม มีโจรกลุ่มหนึ่งคิดจะลักพาตัวคุณหนู เคราะห์ดีที่ไปเจอกับหลินฝานเข้าถึงรอดปลอดภัยมาได้” อีชางซูเล่าถึงอดีต “บอสชอบเด็กคนนี้มาก เคยคิดจะเลี้ยงดูเขา แต่นอกจากเื่ชกต่อยแล้ว เื่อื่นเขาก็ไม่เป็ท่า มารยาท การศึกษาก็ใช้การไม่ได้ คุณสมบัติของการเป็บอดี้การ์ดก็ไม่มี ตอนนั้นบอสจึงทำได้แค่ให้เงินเขาไปนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก”
“ทราบ” เสิ่นิไม่พูดอะไรต่อ ขณะนั้น ฟางหยวนซึ่งอยู่บนเตียงก็เบนสายตามาปะทะเข้ากับเขาพอดี ฟางหยวนซึ่งกำลังโกรธ มองเขาราวกับคนแปลกหน้า ก่อนจะละสายตาไปมองทางอื่น แต่หลินฝานกลับอมยิ้มและกล่าวทักทายเสิ่นิด้วยรอยยิ้ม
ผ่านไปได้สักพัก ฟางซื่อเฉวียนก็ออกมาจากห้องผู้ป่วย เขาสืบเท้าเดินเข้าไปหาเสิ่นิ ก่อนจะกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณที่หลายวันมานี้ช่วยดูแลลูกสาวผม ผมได้ยินมาหมดแล้ว ถ้าไม่มีคุณ เมื่อวานที่หยวนหยวนไป IKEA ก็คงจะไม่รอดแล้ว”
ฟางซื่อเฉวียนพูดพลางหยิบสมุดเช็คออกมา “ในเมื่อสถานะของคุณถูกเปิดเผยแล้ว สัญญาของเราก็ถือเป็อันสิ้นสุดก่อนระยะเวลา”
“แล้วจะทำอย่างไรกับซินเหลียนเซิ่งล่ะ?” เสิ่นิตั้งคำถาม
“ซินเหลียนเซิ่งไม่ได้น่ายำเกรงอีกต่อไปแล้ว ผมให้เพื่อนนักเลงของผมไปกล่าวทักทายกับนายใหญ่ของพวกมันแล้ว คราวหน้าพวกมันคงไม่กล้ามาหาเื่เราอีก นี่เงินหนึ่งล้านหยวน ที่คุณสมควรได้รับ” ฟางซื่อเฉวียนยัดเช็คใส่กระเป๋าเสิ่นิ
“บริษัทรักษาความปลอดภัยตระกูลเสิ่นจะไม่ทำธุรกิจครึ่งๆ กลางๆ และจะไม่รับค่าตอบแทนที่นอกเหนือจากข้อตกลง” เสิ่นิดึงเช็คใบนั้นออกมา ก่อนจะฉีกเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนออกเป็ชิ้นๆ ต่อหน้าฟางซื่อเฉวียน
“ทำไมคุณถึงพูดไม่รู้เื่? ผมจะพูดให้ตรงกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกัน หยวนหยวนเธอบอกว่าเธอเกลียดคุณ เธออยากให้คุณอยู่ห่างเธอหน่อย เพื่อผลดีของพวกคุณทั้งคู่ เก็บเช็คไว้และยกเลิกสัญญาซะ” ฟางซื่อเฉวียนเริ่มต้นเขียนเช็คใหม่อีกรอบ
“ในสัญญาระบุไว้ 15 วัน เธอก็ต้องได้รับความคุ้มครองเต็ม 15 วัน ถ้ายังไม่ครบวัน ครบชั่วโมง ครบวินาทีของ 15 วัน ก็อย่าเพิ่งรีบให้เงินผม พอครบสัญญาแล้ว ผมจะไปหาคุณเพื่อขอรับเงิน 3 แสน ถ้าเธอไม่ชอบผม คุณก็หาคนมากำจัดผมซะ แต่ก่อนอื่น ต้องหาคนที่กำจัดผมได้ซะก่อน”
ว่าจบเสิ่นิก็นั่งกอดอกลงกับพื้น ราวกับทองไม่รู้ร้อน
“คุณบ้าหรือเปล่า? 1 ล้านไม่เอาจะเอาแค่ 3 แสน?” จู่ๆ ฟางซื่อเฉวียนก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกับเพิ่งจะทานของที่ผิดสำแดงเข้าไป ชีวิตนี้เขาพบเจอผู้คนมามากมาย แต่ไม่เคยพบเจอใครที่ไม่ชอบเงินมาก่อน
ช่วยไม่ได้ ในที่สุดวันนี้ฟางซื่อเฉวียนก็ได้เรียนรู้ที่จะประนีประนอม ประนีประนอมกับลูกสาวโดยที่ไม่ย้ายเธอออกจากโรงพยาบาล ประนีประนอมกับเสิ่นิโดยการที่ไม่บังคับเขา
เขานั่งอยู่บนพื้นราวกับก้อนหิน เขาเพ่งมองไปยังฟางหยวนซึ่งไม่ขยับเขยื้อนหรือเคลื่อนไหว
ฟางหยวนไปตรวจร่างกาย เขาก็เดินตามเธอแบบห่างไม่เกิน 5 เมตร เธอไปเข้าห้องน้ำ เขาก็คอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ฟางหยวนด่าเขา ทุบตีเขา เตะเขา ทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมไป
จนสุดท้ายเธอหมดทางเลือก เธอจึงต้องเรียกเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมา และเมื่อเ้าหน้าที่กำลังจะใช้กำลัง เสิ่นิก็เอาหัวโขกกับเสาข้างๆ ทำเอากระเบื้องปูนแตก เืไหลซิบ และในขณะนั้นเองก็ถือว่าเขาเป็ผู้ป่วยแล้ว เขาต้องเข้ารับรักษาตัวในห้องฉุกเฉินพอดี
เขาเป็เหมือนกับขนมกะละแมที่สลัดเท่าไรก็ไม่หลุด เมื่อผ่านไปหนึ่งวัน ฟางหยวนก็เลิกสนใจเ้าหมอนี่แล้ว
“นายทำบ้าอะไร? คิดว่าตามอย่างนี้แล้วคนเขาจะสนใจอย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยวอี๋จอดรถที่ด้านนอกโรงพยาบาลพาลถอนหายใจผ่านหูฟัง
“ผู้ชายคนนั้น...เป็สายของซินเหลียนเซิ่ง” เสิ่นิวางน้ำตาลกลูโคสหนึ่งเม็ดเข้าไปในปา นี่คืออาหารเย็นของเขาในวันนี้
“คุณมีหลักฐานหรือเปล่า?”
“หลักฐานก็คือความบังเอิญไง อยู่ดีๆ เ้าเด็กนั่นก็โผล่มาตอนเกิดเหตุ นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์นะ ที่จะได้มีฮีโร่โผล่มาตอนเกิดเื่น่ะ”
“ตามที่นายเล่ามา พวกนั้นก็สามารถฆ่าฟางหยวนได้สบายๆ ทำไมถึงต้องมีสายสืบให้มันยุ่งยากด้วย?” นี่เป็ครั้งแรกที่เซี่ยวอี๋คัดค้านการวิเคราะห์ของเสิ่นิ
“ตอนนี้ยังไม่รู้ บางทีเ้านายของพวกมันอาจจะชอบหนังอาชญากรรมเื่ ‘Internal Affairs’ ก็ได้นี่?” เสิ่นิพิงเสาหลับไป
เช้าตรู่วันที่สาม ในที่สุดฟางหยวนก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ฟางซื่อเฉวียนยุ่งมากจนไม่สามารถมาที่โรงพยาบาลได้ แต่เขาก็สั่งให้คนส่งดอกไม้สดมาให้
หลายวันมานี้ หลินฝานคอยตามฟางหยวนไม่ห่าง ราวกับเป็สามีผู้คอยเอาใจใส่ เขาเก็บสัมภาระใบน้อยใหญ่และไปส่งฟางหยวนถึงบ้าน เสิ่นหมิ่งตามติดอยู่ข้างหลังโดยไม่ห่าง 3 วันแล้ว ที่เขาไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันรวมถึงเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเหม็นเน่ามาก อย่างกับไปนอนในกองขยะมา
เมื่อฟางหยวนเดินมาถึงประตูบ้าน เสิ่นิก็ยังไม่ยอมไป
“พี่รอฉันสักครู่นะ” ฟางหยวนพูดกับหลินฝานจบ เธอก็หันตัวไปพูดกับเสิ่นิ “เฮ้ คุณก่อเื่พอหรือยัง? ฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นเกมสุนัขรับใช้กับคุณหรอกนะ ขอร้องเถอะ ช่วยไปจากฉันทีได้ไหม?”
“ไม่ได้ ก่อนจะหมดสัญญา ผมยังถือว่าผมเป็บอดี้การ์ดของคุณอยู่” เสิ่นิกล่าวหน้าตาเฉย
“บอดี้การ์ดบ้านป้านายสิ! ไม่ได้ยินที่ตู้ ATM บอกหรือยังไง? ปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว คุณก็เป็แค่สุนัขที่ไร้ค่า ยังไม่ไสหัวไปอีก!” ฟางหยวนคำรามอย่างโมโห
“ผมไม่ใช่สุนัข ผมแค่ปฏิบัติตามหน้าที่ก็เท่านั้น”
“คุณรู้หรือเปล่าว่าฉันอยากอัดคุณมากแค่ไหน!” ฟางหยวนะโ
“จะลงมือก็เอา แต่ห้ามใช้มือขวาได้ไหม?”
“ทำไม?”
“ไหล่ขวาคุณยังเจ็บอยู่ ่นี้ก็พยายามอย่าขยับ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเป็แผลเรื้อรังได้” คำพูดแค่เพียงประโยคเดียวของเสิ่นิทำเอาหัวใจฟางหยวนสั่นสะท้าน
“คุณเป็คนยังไงกันแน่?” ฟางหยวนโกรธจนแทบพูดไม่ออก
“บอดี้การ์ดที่ดีที่สุดในโลก” เสิ่นินั่งพิงราวกั้นหน้าประตูห้องหลังพูดจบ เขาตีมึนรับบทเป็บอดี้การ์ดต่อไป
“งี่เง่า ี้เีจะสนใจคุณแล้ว” ฟางหยวนหันตัวกลับเข้าห้องไป พร้อมกับเอื้อมมือปิดประตู “ฉันอยากอาบน้ำ”
ว่าจบ เธอก็เดินเข้าห้องน้ำไป แต่เธอไม่ได้หยิบเสื้อผ้าที่เธอจะเปลี่ยนไปด้วย เธอยืนอยู่ในห้องอาบน้ำ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างน้ำตาไหลลงท่อน้ำทิ้งไป
เธอใช้เวลาอาบน้ำหนึ่งชั่วโมงเช่นเคย พอเธอออกมา หลินฝานก็ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะ ซึ่งนั่นก็คือ “ต้มยำกุ้ง” ซุปรสชาติเผ็ดเปรี้ยวของไทย
“มาเถอะ ลองชิมฝีมือการทำอาหารของพี่ที่พี่เพิ่งได้เรียนรู้มาใน่สองสามปีนี้” หลินฝานจัดโต๊ะไปพร้อมกับรอยยิ้มโปรยเสน่ห์
“อือ” ฟางหยวนซึ่งห่อตัวด้วยผ้าขนหนู เดินกลับเข้าไปเปลี่ยนเป็ชุดอยู่บ้าน จากนั้นก็กลับออกมานั่งที่เก้าอี้เตี้ยซึ่งเธอเพิ่งจะไปซื้อกับเสิ่นิมา เธอใช้ทั้งจาน ทั้งชามกระเบื้องที่เสิ่นิเลือกให้ แม้แต่ตะเกียบซึ่งฟางหยวนไม่ค่อยชอบใช้ แต่เสิ่นิก็มอบให้เป็ของขวัญ
“เอานี่ ทานเห็ดหอมหน่อย ่นี้หอมน่ากินพอดีเลย” หลินฝานคีบมันใส่ชามเธออย่างสนิทสนม
ฟางหยวนกัดเข้าไปนิดเดียว รสชาติต้มยำเข้มข้นมาก เหมือนกับรสชาติที่เคยทานที่กรุงเทพเลย แต่...ฟางหยวนกลับหวนนึกถึง “ซุปหมาล่า” ที่เธอเคยซดจนน้ำตาไหลหม้อนั้น
“ฟางหยวน เธอมีเื่อะไรในใจหรือเปล่า? มีเื่กลุ้มใจอะไร ระบายกับพี่ได้นะ เหมือนแต่ก่อนไง เธอไม่เคยมีเื่อะไรปิดบังพี่ หมอนั่นที่อยู่ข้างนอก ทำให้เธอไม่มีความสุขใช่หรือเปล่า? พี่จะได้ออกไปกำจัดเขาซะ ต่อให้เขาเป็บอดี้การ์ดหรือว่าทหารหน่วยรบพิเศษ พี่ก็จะไปหักขาสุนัขตัวนั้นให้” หลินฝานพูดพลางวางช้อนกับตะเกียบลง
“อย่านะ!” ฟางหยวนคว้ามือหลินฝานไว้แน่น ก่อนจะพูดว่า “อย่าเอาตัวไปคลุกคลีกับสุนัขรับใช้อย่างมันเลย ฉันก็แค่ใ บวกกับที่ไปนอนที่โรงพยาบาลมาหลายคืน ก็เลยรู้สึกเหนื่อยก็เท่านั้น”
“เหนื่อยเหรอ ถ้างั้นก็ทานเยอะๆ หน่อยสิ มาๆ ทานกุ้งหน่อย” หลินฝานยังตักอาหารให้ฟางหยวนต่อไป
“จริงสิ พี่ไปอยู่ไทยมา 3 ปี สบายดีไหม?” ฟางหยวนพยายามฝืนยิ้ม
“ก็ไม่เลวนะ ได้เรียนรู้ทักษะการทำครัว เตรียมตัวจะเป็เชฟแล้ว”
“อย่ามา พี่ทำอย่างอื่นเป็ นอกจากต่อยมวยได้ยังไง!” ฟางหยวนหัวเราะพลางชกไปที่กล้ามอกของหลินฝานเบาๆ
“พูดตามตรงนะ 3 ปีที่ผ่านมมานี้ ชีวิตพี่สุขสบายดี แต่อาหารต่างชาติ ทานยังไงก็ไม่คุ้นสักที คิดถึงบ้านตลอด ก็เลยกลับมานี่ไง” หลินฝานตักต้มยำกุ้งใส่ชาม แต่ในใจกลับคิดถึงบะหมี่จ๋าเจี้ยงเมี่ยนของบ้านเกิด
“ที่จริงนัดชิงแชมป์ระหว่างพี่กับแชมป์มวยคราวนั้น ฉันกับแม่ไปดูมาด้วยนะ แต่ว่าอยู่แต่ในคอกกั้นของ VIP หมัดสุดท้ายที่แชมป์น็อคพี่ ด้วยระดับฝีมือของพี่แล้ว ฉันว่าพี่น่าจะหลบได้สบายๆ พี่แพ้ไปอย่างน่าเสียดาย” ฟางหยวนถอนหายใจแทนรุ่นพี่
“เฮ้ อย่าพูดถึงเื่ในอดีตเลย ตอนนั้นพี่เพิ่งจะไปเมืองไทยเอง ท้องไส้ไม่ค่อยดี ทานอะไรก็ไม่ค่อยได้ ขึ้นชกวันนั้นฟอร์มก็เลยไม่ค่อยดีน่ะ เลยแพ้ไป
แต่ก็ไม่เป็ไรนะ ตอนนี้ชีวิตก็ไม่เลวเลย” หลินฝานแสดงท่าชกมวยออกมา เขาพุ่งหมัดไปข้างหน้า ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าจนต้มยำกุ้งกระเพื่อมไปตามทิศทางของแรงลม “พี่ได้พบกับอาจารย์มวยไม่น้อยเลย เฉียบขึ้นกว่าเดิมอีก”
“ถ้าอาจารย์ยังอยู่แล้วได้เห็นการเติบโตของพี่ในวันนี้ เขาคงจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน” ฟางหยวนกล่าวอย่างเศร้าสร้อย อาจารย์คือผู้ชายที่เธอเคารพมากที่สุด
“อย่าพูดถึงคนคนนั้น!” จู่ๆ หลินฝานก็คำรามขึ้นมา แต่ครู่หนึ่งเขาก็สงบลง “อาจารย์จากเราไปแล้ว คุยเื่อื่นกันดีกว่า”
“อื้อ” ฟางหยวนได้แต่ครุ่นคิดว่ารุ่นพี่ยอมรับความจริงเื่การจากไปของอาจารย์ไม่ได้ อย่างไรเสีย แต่ก่อนรุ่นพี่ก็เป็ศิษย์ที่อาจารย์รักมากที่สุด