เจินจิ้งร้องไห้พลางกล่าวขึ้น “ท่านนอนหลับและร้องไห้ไปด้วย ข้าเห็นว่าแปลก ๆ เลยมาปลุก เสี่ยวอี้ ขอโทษนะ ข้าพอจะหามาได้แค่นี้ เ้าทนกินสักหน่อยเถอะ กินมันเข้าไปเดี๋ยวอาการไข้ก็จะดีขึ้นเอง” นางพูดจบก็ชูขนมแป้งสีเหลืองก้อนหนึ่งขึ้นมา
เมื่อคิดถึงเื่เมื่อครู่ เจินจิ้งก็รู้สึกโมโหจนแทบจะทนไม่ไหว
ที่ผ่านมา แม้นางจะถูกศิษย์พี่ทั้งหลายรังแกอยู่เป็ประจำ แต่นางก็ไม่เคยถือสาหรือเก็บมาคิดเลยสักครั้ง นางคิดเพียงว่าการที่แม่ชีอายุมากกว่า ‘อบรมสั่งสอน’ ชีที่มีอายุน้อยกว่านับเป็เื่สมควร จนกระทั่งวันนี้ นางเพิ่งพบว่าศิษย์พี่ที่ตนเคารพมาโดยตลอดต่างใจจืดใจดำ ปากร้าย เืเย็นและอำมหิตสิ้นดี ไม่มีความเมตตาอย่างที่แม่ชีควรมีเลยสักนิด
เมื่อครู่ ตอนที่เจินจิ้งไปถึงศาลาพักศพก็พบว่าเจินผิง เจินกง เจินเหวย เจินิและแม่ชีน้อยคนอื่น ๆ กำลังขนผลไม้และขนมบนแท่นออกไป ไม่มีเหลือเอาไว้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว นางจึงรีบวิ่งเข้าไปห้าม บอกว่านั่นเป็เครื่องเซ่นที่ครอบครัวส่งมาให้คุณหนูเหอ จึงควรเก็บเอาไว้ให้นาง ทว่าเจินเหวยกับพวกกลับไม่สนใจในสิ่งที่นางพูดเลยสักนิด พากันหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ... “เครื่องเซ่นมีไว้ให้คนตายกิน หากคุณหนูเหออยากกินก็ย่อมได้ กลับเข้าไปนอนอยู่ในโลงอีกครั้งสิ แล้วเครื่องเซ่นพวกนี้จะเป็ของนางทั้งหมด!” เจินจิ้งเถียงกลับไปเล็กน้อย ทำให้เจินเหวยแผดเสียงด่าด้วยความโกรธขึ้นมาทันที... “ไร้ยางอายจริง ๆ เพิ่งจะแต่งชุดไว้ทุกข์และเผากระดาษให้นังคนตระกูลเหอได้ไม่นาน เ้าก็ทำตัวเหมือนเป็ลูกเป็หลานของเขาเสียแล้ว ตอนนี้ยังแสร้งทำตัวเป็คนดีอีก! ในวัดแห่งนี้ หากว่ากันด้วยอำนาจและอายุแล้ว เ้าก็เป็แค่แม่ชีปลายแถวเท่านั้น ยังจะกล้าทำตัวเป็คนดีสั่งสอนศิษย์พี่อีกรึ?”
เจินจิ้งนึกได้ว่ายังมีศิษย์พี่เจินจูอยู่ จึงรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากนาง ทว่าเจินจูไม่ได้อยู่ในห้องเสียแล้ว ท่านยายผู้ดูแลห้องบอกว่า อาจารย์สั่งให้ศิษย์พี่ไปซื้อเนื้อหมูและปลาในเมืองมาบริการแขกที่เข้ามาพักในวัด ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ นางจึงจะกลับมาได้
เจินจิ้งจึงแอบเข้าไปหาของกินในครัวต่อ ทว่าตอนนี้ก็เลยเวลาอาหารเย็นมาแล้ว นางจึงเปิดฝาหม้อทุกใบเพื่อหาอาหาร แต่กลับพบว่าในหม้อนึ่งมีขนมแป้งเย็น ๆ อยู่เพียงชิ้นเดียว เจินจิ้งจึงนำขนมแป้งนั้นติดมือมาด้วย ก่อนจะวิ่งกลับไปที่ห้องปีกตะวันออกทั้งน้ำตา ทันทีที่เข้ามาในห้องก็พบว่าเหอตังกุยกอดผ้าห่มเอาไว้แน่น นางทั้งขมวดคิ้วและหลั่งน้ำตาออกมาพร้อม ๆ กัน เจินจิ้งรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงรีบปลุกนางให้ตื่น
เหอตังกุยตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียงแล้วรับขนมแป้งมาแบ่งออกเป็สองซีก “มา มากินด้วยกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าเจินจิ้งกำลังจะเดินถอยหลังกลับไป เหอตังกุยจึงเอื้อมมือไปรั้งร่างบางเอาไว้ จากนั้นก็ยัดขนมแป้งครึ่งหนึ่งเข้าไปในมือน้อย ก่อนจะพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ต่อไปนี้ หากข้ามี เ้าก็ต้องมีเหมือนกัน รีบกินเถอะ”
ทั้งคู่กลืนขนมแป้งที่แห้งกระด้างลงคออย่างเงียบ ๆ เจินจิ้งลองแตะหน้าผากของเหอตังกุยเพื่อวัดความร้อน จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ “ไข้ไม่ลดลงเลย ยังร้อนเหมือนเดิม”
เหอตังกุยขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวถามขึ้นอีกครั้ง “เ้ามีเข็มปักผ้าหรือไม่? เข็มที่บางมาก ๆ น่ะ”
เจินจิ้งพยักหน้าด้วยท่าทางงุนงง “แต่มืดขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะปักผ้าอีกหรือ? ท่านต้องตัวร้อนจนเป็บ้าไปแล้วแน่ ๆ ข้าว่าข้าไปหาอาจารย์แล้วขอให้นางตามหมอมา...”
เหอตังกุยพูดขัด “ฟังให้ดีนะ เอาเข็มที่บางที่สุดมา จากนั้นก็ไปด้านหลังวัด ที่มุมกำแพงทางเหนือ อิฐก้อนที่สี่นับจากทางซ้ายมือ ดันมันออกแรง ๆ เ้าจะพบไหเหล้าซ่อนอยู่ นำมันมาให้ข้า... เอาล่ะสาวน้อย เลิกเหม่อได้แล้ว เ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่? ที่มุมกำแพงทางเหนือ อิฐก้อนที่สี่นับจากทางซ้ายมือ ระวังอย่าให้ใครเห็นเล่า”
เมื่อเจินจิ้งจากไป จู่ ๆ เหอตังกุยก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาคู่นั้นราวกับบ่อน้ำใต้แสงจันทร์ งดงามเสียจนผู้มองแทบหยุดหายใจเลยทีเดียว “ข้ามีผู้มีพระคุณเยอะขนาดนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ได้พบเจอพวกเขาเลยด้วยซ้ำ แล้วข้าจะทำใจตายลงได้อย่างไร”
เจินจิ้งเดินออกไปจากห้องพร้อมความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอก นางเดินไปพลางหันกลับมามองด้านหลังเป็ระยะ ในใจก็คิดไปว่าเหอตังกุยยังมีสติดีอยู่หรือเปล่า ตนควรจะทำตามที่นางสั่งดีหรือไม่ ควรไปหยิบเข็มและเหล้าไหนั้นออกมาหรือควรไปขอร้องอาจารย์ให้ตามหมอกันแน่?
ขณะกำลังนึกลังเล ภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัว มันเป็ภาพเหตุการณ์ตอนที่อาจารย์กำลังจะตีตน แล้วเหอตังกุยก้าวเข้ามาขวางเอาไว้นั่นเอง...
“ต่อจากนี้ หากข้ามี เ้าก็ต้องมีด้วย รีบกินเถอะ”
“หากมีคนถามเื่เืที่รองเท้าเ้า ให้บอกว่าข้าได้รับาเ็ที่มือ เืเลยหยดลงไปเปื้อนรองเท้าของเ้า”
“แม้ข้าจะรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเ้า แต่จำเอาไว้นะ ต่อไปอย่าวิ่งฝ่าสายฝนออกไปเช่นนั้นอีก” คำที่เหอตังกุยเคยพูดล้วนดังก้องอยู่ในหู
แม้จะเพิ่งรู้จักเด็กสาวที่มีอายุน้อยกว่าตนหนึ่งปีคนนี้เพียงไม่นาน แต่ความรู้สึกคุ้นเคยที่พวกนางมีต่อกัน ทำให้เจินจิ้งรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเป็อย่างมาก คล้ายกับว่าเหอตังกุยมีพลังสามารถทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกวางใจได้เช่นนั้น ราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมาั้แ่ชาติภพก่อน... เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เจินจิ้งก็วิ่งตรงไปที่กำแพงหลังวัดในจุดที่ ‘นางบอกว่า’ มีไหเหล้าซ่อนอยู่อย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
เหอตังกุยหลับตาลงเพื่อพักผ่อน พลางคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าไปด้วย
ชาติภพก่อน นางถูกทิ้งให้อยู่ที่ห้องทางปีกตะวันออกหลังฟื้นจากความตายเช่นกัน เวลานั้นที่นี่ช่างหนาวจับใจ โรคภัยก็โถมเข้ามาเล่นงานไม่หยุด ไหนจะแม่ชีหลายคนที่คอยรังแกนางได้ไม่เว้นแต่ละวันอีก นางถูกกดขี่ข่มเหงราวกับเป็ก้อนแป้งที่จะทุบจะนวดอย่างไรก็ได้ ตอนนั้นนางยังเด็ก จึงไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ชีทั้งหลายถึงได้เกลียดตนเข้ากระดูกดำนัก เสมือนว่าการทรมานนางจะทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว นางช่างน่าขันนัก ทั้งไม่รู้เื่และไม่รู้จักไตร่ตรองเอาเสียเลย ยังคิดโง่ ๆ ว่าอยากจะเป็เพื่อนกับคนพวกนั้นอีก เพียงแค่คำพูดหรือสายตาที่ส่งมาพร้อมเศษเสี้ยวความเป็มิตร เพียงเท่านั้นนางก็คิดว่านั่นเป็เหมือนแสงแห่งความหวัง เป็ทางรอดของนาง คิดว่าสักวันความอดทนของนางจะเอาชนะใจพวกเขาได้เสียอีก
จำได้ว่านางป่วยอยู่นานถึงครึ่งเดือนเลยทีเดียว กระทั่งตระกูลหลัวส่งจดหมายมาบอกให้นางรักษาตัวและขัดเกลาพฤติกรรมอยู่ภายในวัด แล้วส่งค่าเล่าเรียนมาให้ที่วัดอีกห้าสิบตำลึง แม่ชีไท่ซั่นและแม่ชีไท่เฉินจึงรวมหัวกันเปลี่ยนฐานะนางให้กลายเป็ ‘นักโทษ’ ที่ ‘มีพฤติกรรมชั่วช้า’ ไปในทันที ทว่าอย่างน้อยทางนั้นก็ยังส่งค่า ‘เลี้ยงดู’ มาให้ ทำให้เหอตังกุยได้กินยารักษาในที่สุด แต่เพราะยาพวกนั้นถูกใช้อย่างผิดวิธี ทั้งยังถูกส่งมาช้าเกินไป ส่งผลให้นางมีโรคประจำตัวไปตลอดชีวิต จากนั้นเป็ต้นมา ร่างกายของนางก็มักจะหนาวเย็นอยู่ตลอด ทั้งยังยากที่จะตั้งครรภ์อีกด้วย จนกระทั่งมีบุตรสาวคนแรกเมื่ออายุได้ยี่สิบแปดปี ทว่าลูกเพียงคนเดียวก็ต้องมาลำบากเพราะนางอีก เหตุเพราะมีอาการเจ็บป่วยั้แ่กำเนิด...
ในตอนนี้ เมื่อต้องพบกับเหตุการณ์เช่นเดิมอีกครั้ง เพียงแค่ฝังเข็มก็สามารถรักษาอาการหนาวเย็นตามร่างกายของนางได้แล้ว
นับั้แ่มีโอกาสเล่นหมากรุกกับท่านนักปราชญ์ไป่หยางไป่ ผู้เป็อาจารย์ของจูเฉียน นางก็รู้แล้วว่าชีวิตคนเราเปรียบเหมือนกระดานหมากรุก หากเดินหนึ่งก้าวแล้วคิดเผื่อหนึ่งก้าว ก็เป็ได้เพียงคนธรรมดาที่ไม่มีความสำคัญอันใด หากเดินหนึ่งก้าวแล้วคิดเผื่อสิบก้าว ก็อาจจะยังมีโอกาสต่อสู้ดิ้นรนในหนทางแห่งขุนนางได้บ้าง แต่หากเดินหนึ่งก้าวแล้วคิดเผื่อไปถึงร้อยก้าว จะต้องมีตำแหน่งใหญ่โตและมีอำนาจมากมายอย่างแน่นอน ยามที่ต้องถอยก็จะสามารถถอยได้อย่างปลอดภัย แต่หากคิดเผื่อไปมากถึงสองร้อยก้าว ก็สามารถที่จะทำทุกอย่างได้ตามใจ ได้ในทุกสิ่งที่้าและยังเปลี่ยนให้คนอื่น ๆ กลายมาเป็หมากของตนได้อีกด้วย
และเพื่ออนาคต นางจำเป็ต้องบังคับตัวเองให้เผชิญกับปัญหาตรงหน้าให้ได้... นางจะกลับตระกูลหลัวอย่างไรดี?
ในตระกูลหลัว มีคนที่นางแค่คิดถึงก็รู้สึกเกลียดจนเข้ากระดูกดำอาศัยอยู่ ปีศาจร้ายในนั้นเป็แผลเป็ที่ประทับอยู่ในจิติญญาของนาง ราวกับปรสิตในกระดูกที่คอยติดพันอยู่กับนางไปจนวันตาย... หลัวชวนกู่ ซุนเม่ยเหนียง จ้าวฉี หลัวไป๋ฉง... พวกเขาล้วนหลอกใช้นางในทุก ๆ ทางเท่าที่จะทำได้โดยอ้างสิทธิ์ของความเป็ญาติ หลังหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งอย่างไม่ไยดี ทั้งยังแอบทำข้อตกลงโฉดชั่วกับโจวชิงหลาน ทรยศหักหลังนางอย่างอำมหิตที่สุด แม้แต่มารดาที่อ่อนแอและยอมไปเสียทุกอย่างก็ยังไม่อาจรอดพ้นไปได้
เพื่อแลกกับเศษเสี้ยวแห่งความอบอุ่นจอมปลอมของพวกเขา เหอตังกุยในตอนนั้นเลือกที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง ไม่ยอมรับฟังและมองความจริง แม้นางจะรู้ธาตุแท้ของคนเ่าั้ั้แ่แรกแล้วก็ตาม
จริงอยู่ที่จูเฉียนโเี้และอำมหิต เขาเป็เสมือนดาบคมที่ทิ่มแทงลงกลางอกของนาง ทำให้นางเ็ปถึงส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ทว่าการหลอกลวงและการทรยศของตระกูลหลัวกลับเป็เหมือนเปลวเพลิงที่เผาทำลายไปจนถึงจิติญญา ทำให้นางบอบช้ำจนยับเยินไปหมด แทนที่จะบอกว่านางถูกทำร้ายด้วยความรัก สู้บอกว่าถูกทำร้ายด้วยความเป็ญาติเสียยังจะถูกต้องกว่า
ตอนนี้ เพียงแค่คิดถึงคนคุ้นเคยที่กำลังกินดีอยู่ดีภายในเมืองหยางโจว คิดถึงคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่บนกองเงินกองทอง แค่คิดถึง...นางก็รู้สึกแค้นจนอยากจะพุ่งเข้าไปดึงพวกเขาให้ลงนรกไปพร้อมกันเสียเดี๋ยวนี้!
เปลวเพลิงแห่งขุมนรกลุกโชนอยู่ในดวงตาที่แสนงดงาม เมื่อ์ให้โอกาสนางเป็ครั้งที่สอง นางก็จะไม่ยอมหลอกตัวเองอีกต่อไป นางจะล้างแค้นทุกคน! คนที่ติดหนี้แค้นของนางและท่านแม่ต้องถูกเอาคืนอย่างสาสม ในกระดานหมากรุกแห่งชีวิตที่มีความตายเป็เดิมพัน ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะหนีไปได้พ้น
เมื่อนึกย้อนถึงความทรงจำอันแสนว่างเปล่าตอนที่นางมีอายุเพียงสิบปี คิดถึงท่าทางและปฏิกิริยาของคนในตระกูลหลัวหลังรู้ว่านางฟื้นขึ้นมาจากความตาย นางมั่นใจมากว่าต้องเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นที่จวนตระกูลหลัว ก่อนที่นางจะถูกนำเข้าไปในโลงแล้วส่งมาที่วัดสุ่ยซัง หรือจะพูดอีกแบบก็คือคนที่ฆ่านางตอนที่นางมีอายุเพียงสิบปี คนคนนั้นต้องอยู่ในจวนตระกูลหลัวอย่างแน่นอน
และในตอนนี้ เมื่อได้ข่าวว่านางยังไม่ตาย คนที่ทำร้ายนางจะต้องรู้สึกหวาดระแวงและขัดขวางไม่ให้นางกลับไปที่จวนตระกูลหลัวเป็แน่ แม้นางจะบอกกับผู้อื่นว่าจำอะไรไม่ได้หรือต่อให้นางจะความจำเสื่อมจริง ๆ อย่างไรคนคนนั้นก็คงจะต้องรู้สึกกังวลใจและกลัวว่านางจะกลับไปเจอหน้าแล้วเกิดนึกขึ้นได้ เพราะฉะนั้นคนคนนั้นต้องหาทางขัดขวางไม่ให้นางกลับเข้าไปในจวนตระกูลหลัวอย่างแน่นอน
ดังนั้น หาก้ากลับไปที่จวนตระกูลหลัว นางจำเป็ต้องต่อสู้กับคนร้ายนิรนามที่อยู่ห่างไกลให้ชนะเสียก่อน เพียงแต่ตอนนี้นางไม่ใช่เด็กสาวที่มีแต่ความหวาดกลัวราวกับนกน้อยที่กลัวนายพรานเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว รอดูต่อไปเถอะว่าใครจะเป็ผู้ชนะกันแน่!
“เสี่ยวอี้ ท่านเป็นักทำนายใช่หรือไม่? ข้าหาไหเหล้าที่ท่านบอกเจอจริง ๆ เสียด้วย!” เจินจิ้งวิ่งเข้ามาในห้องพลางส่งเสียงร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น “ดูสิ ในนี้มีเหล้าอยู่จริง ๆ ! อา...แล้วนี่ก็เป็เข็ม! ท่านกำลังจะร่ายคาถาอันใดเล่าท่านเทพ?”
เหอตังกุยมองไปยังไหเหล้าและเข็มปักผ้าแวบหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา นางคงจะเป็เทพไปไม่ได้ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังตัดความรักโลภโกรธหลงออกไปไม่ได้เลย เพียงแต่ด้วยทักษะการฝังเข็มที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้นี้ ต่อให้จะเรียกนางว่า ‘เทพแห่งการรักษา’ ก็ไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ แม้เข็มปักผ้าจะมีขนาดใหญ่ไปสักนิด แต่ในสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ก็ใช้แก้ขัดได้อยู่เหมือนกัน...
“เจินจิ้ง” เหอตังกุยนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพลางกล่าวขึ้น “ไปเฝ้าที่หน้าประตู ห้ามให้ใครเข้ามาใกล้เด็ดขาด”
…...
เพิ่งจะเลยเวลาบ่ายได้ไม่นาน ดวงตะวันก็หรี่แสงลงเสียแล้ว คล้ายกับว่ามันเองก็กลัวความหนาวเย็นจึงหลบเข้าไปในปุยเมฆที่หนานุ่มเ่าั้
แม่ชีที่มีผมยาวลากดินคนหนึ่งยืนอยู่ที่มุมห้องด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
“มีอาหารร้อนสี่อย่าง ได้แก่ แกงเนื้อตุ๋น ต้มหัวปลา เนื้อปูม้วนและปลากะพงราดซอส อาหารเย็นแปดอย่าง ได้แก่ เนื้อลูกวัวอัด ยำหมึกขี้เมา ยำนากทะเล...” แม่ชีไท่ซั่นหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางอ่านรายการอาหารที่หอจุ้ยเซียนส่งมาให้ จากนั้นจึงสั่งเพิ่มอีกครั้ง “ของหวานทั้งสี่อย่าง ตัดข้าวเหนียวแปดสหายกับขนมฟักทองออกไปเสีย แล้วเพิ่มซาลาเปาไส้ปูกับขนมพื้นจวนเข้าไปแทน คุณชายพวกนั้นเคยกินอาหารดี ๆ มาหมดทุกอย่างแล้ว ที่พวกเขามาที่เมืองหยางโจวก็เพราะ้าชิมอาหารพื้นจวนของที่นี่...”
“เ้าค่ะ” เจินจูขานรับ
“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะเป็ถึงขุนนาง... จิ๊ ๆ มาที่วัดชนบทแบบนี้ทำไมกันนะ? ยังดีที่เจินซีเจอตราราชการของพวกเขาระหว่างจัดของ ไม่เช่นนั้นหากพวกเราจัดอาหารธรรมดามาให้ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะโกรธเอาหรือเปล่า...” แม่ชีไท่ซั่นขมวดคิ้วมุ่น “ซุปเห็ดเล่า? เ้าไปสั่งที่ห้องครัวให้เตรียมซุปเห็ดเอาไว้ให้ดี ระวังให้มาก อย่าให้มีเม็ดทรายอยู่ในซุปแม้แต่เม็ดเดียว เอาแบบนี้ก็แล้วกัน สั่งให้ห้องครัวเกณฑ์คนเข้าไปช่วยอีกห้าคน ห้ามให้มีสิ่งใดผิดพลาดเด็ดขาด...”
“เ้าค่ะ” เจินจูจดจำคำสั่งเ่าั้เอาไว้อย่างดี
แม่ชีไท่ซั่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เอาล่ะ ได้รายการอาหารมาแล้ว บอกหลิวเหลาจิ่วที่เพิ่งจ้างเข้ามาว่าให้เปลี่ยนรายการอาหารไปเรื่อย ๆ สิบวันต่อจากนี้ ห้ามให้อาหารซ้ำกันเด็ดขาด นับแต่วันนี้เป็ต้นไป มื้อเที่ยงให้จัดอาหารชุดใหญ่ในงบสามตำลึงได้เลย ส่วนมื้อเช้ากับมื้อเย็นให้จัดอาหารแต่ละมื้อภายใต้งบหนึ่งตำลึง จำเอาไว้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่นานเท่าใด ก็ห้ามให้อาหารราคาต่ำกว่างบที่ข้ากำหนดไว้เด็ดขาด หากเงินที่พวกเขาให้ไว้ไม่พอก็ให้นำเงินของวัดมาจ่าย”
“เ้าค่ะ ข้าจะไปบอกกับพวกเขาเดี๋ยวนี้” เจินจูพยักหน้ารับ “ยังมีอีกเื่ ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้คุณชายแซ่ต้วนคนนั้นถามถึงคุณหนูเหออีกแล้ว แต่แม่ชีที่ไปรับใช้พยายามช่วยกันพูดกลบเกลื่อนจนสำเร็จ”
แม่ชีไท่ซั่นแสดงท่าทางรำคาญออกมา นางสบถด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “ต่อให้จะตายหรือรอดก็สร้างปัญหาให้ผู้อื่นได้เสมอเลยสินะ เป็ตัวซวยโดยแท้ ถึงว่า...ตระกูลหลัวจึงเฉดหัวส่งออกมาเช่นนี้” ดูเหมือนนางจะลืมไปแล้วว่า เมื่อวานนี้นางเป็คนเล่าเื่ตายแล้วฟื้นให้แขกทั้งหลายฟังเอง คุณชายต้วนถึงได้สนใจขนาดนี้ ต่อให้จะพูดอย่างไร เื่นี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเหอตังกุยเลยสักนิด
เจินจูชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเริ่มกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เมื่อเช้านี้ตอนข้ากลับมาจากในเมือง ข้าบังเอิญพบกับเจินจิ้งพอดี จึงถามอาการของคุณหนูเหอจากนาง เห็นนางบอกว่าแม้ร่างกายของคุณหนูเหอจะยังอ่อนแออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยอันใด มีสภาพไม่ต่างไปจากคนปกติ เดิมทีท่านคิดจะปิดเื่นี้เอาไว้ก่อน เพราะ้าดูว่าคุณหนูคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ จากนั้นจึงค่อยมาคิดกันอีกที แต่มาตอนนี้ ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะโชคดีจริง ๆ หากเรายังปิดเื่นี้ต่อตระกูลหลัว จะถือเป็การไม่สมควรหรือไม่เ้าคะ...”
แม่ชีไท่ซั่นทำหน้าบึ้งตึงทว่าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
เจินจูมองผู้เป็อาจารย์แวบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อไปด้วยภาษาที่เสนาะหู “แม้จะไม่ได้เงินค่าส่งิญญา แต่ก่อนหน้านี้เราก็ได้รับเงินค่าน้ำมันตะเกียงจากตระกูลหลัวมาถึงสามสิบตำลึงแล้ว จึงไม่ถือว่าขาดทุน เงินนั่นเพียงพอให้คนทั้งวัดใช้ได้ตลอดทั้งปี อีกอย่าง หากเราบอกข่าวดีเื่นี้กับตระกูลหลัว พวกเขาอาจเห็นแก่ที่ทางวัดช่วยดูแลคุณหนูเหอ แล้วให้เงินบริจาคเรามาอีกก้อนก็ได้...”
“หึ เ้าคิดว่าข้าหลอกง่ายนักหรือ?” แม่ชีไท่ซั่นหัวเราะอย่างเย็นะเื “เ้าก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือว่าผู้หญิงที่ส่งศพมาที่วัดพูดนินทากันอย่างไรบ้าง? ฮูหยินรองที่เป็ผู้ดูแลตระกูลหลัวในขณะนี้เกลียดเด็กนั่นจนเข้าไส้ หากเราไปบอกเื่ที่นางยังมีชีวิตอยู่ ไม่แน่เราอาจต้องออกเงินค่าเดินทางกันเองด้วยซ้ำ! อันที่จริง ข้าก็ไม่ได้สนใจเงินยี่สิบสามสิบตำลึงนั่นมากนักหรอกนะ แต่ตอนนี้ไท่เกอเอ๋อร์กำลัง้าเงินสำหรับทำเื่นั้นอยู่...”
เจินจูหลุบตาลงต่ำโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา พลางคิดขึ้นในใจ... เพื่อหางานให้บุตรชายของตนเอง ถึงขั้นต้องภาวนาให้บุตรสาวของผู้อื่นตายเร็ว ๆ ความโหดร้ายของนางช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เดินลงจากวัดไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่บริเวณเชิงเขามีหมู่จวนยี่สิบลี้ตั้งอยู่ข้างสวนผลไม้แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีชาวจวนอาศัยอยู่กว่าสิบครัวเรือนด้วยกัน คนส่วนมากที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้วนเป็คนงานประจำอยู่ในสวนผลไม้ทั้งสิ้น ‘หม่าผิงอัน’ พี่ชายของแม่ชีไท่ซั่นก็อาศัยอยู่ในหมู่จวนนี้ด้วย เขามีหน้าที่ซื้อผัก รวมไปถึงอาหารต่าง ๆ เพื่อส่งให้สวนผลไม้ บางครั้งเมื่อต้องมาส่งน้ำมันหรือไข่ไก่ตามหน้าที่ เขาก็มักจะแวะเข้ามาหาแม่ชีไท่ซั่นที่วัดเสมอ
หม่าผิงอันมีลูกบุญธรรมชื่อหม่าไท่ แม่ชีไท่ซั่นเคยแนะนำกับคนในวัดว่าหม่าไท่เป็หลานของนาง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจินจูได้ยินชัดเต็มสองหูว่าหม่าไท่เรียกแม่ชีไท่ซั่นว่า ‘ท่านแม่’ ความจริงการมีลูกก่อนบวชเป็ชีก็ไม่ถือเป็เื่ที่น่าขายหน้าอะไรนัก แต่ที่น่าสนใจก็คือหม่าไท่นั้นมีอายุไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ ทว่าแม่ชีไท่ซั่นบวชเป็ชีในวัดสุ่ยซังั้แ่ยี่สิบห้าปีก่อนแล้ว...
“ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่อยากจะไปจองล้างจองผลาญเด็กคนนั้นเหมือนกัน” แม่ชีไท่ซั่นคิดขึ้นมาได้ว่าคุณชายตระกูลสูงศักดิ์คนนั้นอยากเจอเหอตังกุย หากเหอตังกุยพูดถึงนางเสีย ๆ หาย ๆ ต่อหน้าแขกพวกนั้นล่ะก็ นางคงต้องอับอายขายหน้ามากเป็แน่ และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนี้ตนพูดเื่น้ำแกงไก่กับเหอตังกุยเอาไว้ จึงรีบะโออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว “เหล่าหวง!”
หญิงชราที่กำลังซักผ้าอยู่ที่ลานหน้าที่พักขานรับ แม่ชีไท่ซั่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้น “ไปบอกกับห้องครัวหน่อย มื้อเที่ยงนี้ให้พวกเขาทำน้ำแกงไก่ให้แขกทั้งหลายด้วย หากมีเหลือก็ส่งไปที่ห้องทางปีกตะวันออกสักถ้วย” หญิงชราขานรับแล้วเดินจากไปทันที
“ท่านอาจารย์ แย่แล้ว! แย่แล้วเ้าค่ะ!” แม่ชีที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดปีคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นผ่านประตูเข้ามา นางวิ่งจนผมเผ้าหลุดลุ่ยแลดูกระเซอะกระเซิงผิดหูผิดตา
แม่ชีไท่ซั่นตวาดด่าออกไปทันที “อยากไปเกิดใหม่หรืออย่างไร! พูดบ้าอันใดของเ้า นังโง่!” แม่ชีคนนั้นรีบร้อนจนลืมตัว เผลอพูดเป็เชิงสาปแช่งแม่ชีไท่ซั่นออกมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเห็นว่านางโกรธเป็ฟืนเป็ไฟจึงหยุดชะงักอยู่ที่ข้างประตู ไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้อีก
เจินจูขมวดคิ้วมุ่น “ไหวเวิ่น เ้าไปดูแลแขกที่รับประทานอาหารอยู่ที่ปีกตะวันตกไม่ใช่หรือ? เกิดเื่อันใดขึ้น?”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่ชีไท่ซั่นก็เบิกตากว้างจนลืมที่จะเอาเื่แม่ชีน้อยที่ใช้ภาษาผิดไปอย่างสิ้นเชิง “บอกมาเร็ว เกิดอันใดขึ้น! อาหารไม่ถูกปากหรือ?” แม่ชีไท่ซั่นถามอย่างร้อนใจ
ไหวเวิ่นมีน้ำตาไหลนองหน้า ทำให้เครื่องสำอางบนนั้นเลอะไปหมด นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “เดิมที ทุกอย่างกำลังไปได้ดี... แต่ชายที่สวมชุดสีดำคนนั้น...เขา...จู่ ๆ ก็ชักดาบออกมา... แล้วปักมันลงบนโต๊ะอาหาร... คนอื่น ๆ ใกลัววิ่งหนีออกไปหมดแล้ว ฮือ ๆ ๆ ...”
“ร้องไห้ทำบ้าอะไร มีใครตายหรือ!” แม่ชีไท่ซั่นะเิความโกรธขึ้นอย่างรุนแรง “เกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่ บอกมาให้ชัดเจน ทำไมคนพวกนั้นถึงชักดาบออกมา? พวกเขาพูดอะไรกันบ้าง?” ไม่ว่าจะเค้นถามอย่างไร ไหวเวิ่นที่ขวัญกระเจิงก็พูดประโยคออกมาได้ไม่สมบูรณ์เสียที แม่ชีไท่ซั่นจึงออกอาการร้อนใจกระทืบเท้าฟึดฟัด
“ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งร้อนใจไป ในเมื่อเราทำให้แขกพวกนั้นไม่พอใจ เช่นนั้นพวกเราก็ควรจะไปขอโทษพวกเขาด้วยตัวเอง ดีหรือไม่เ้าคะ” เจินจูพูดกล่อม “อีกอย่าง ดูจากกิริยาท่าทางที่พวกเขาแสดงออกมาเมื่อวานนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้มีนิสัยป่าเถื่อนกระไร บางทีอาจเป็เพียงเื่เข้าใจผิดก็ได้”
จังหวะการพูดที่ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไปของเจินจู ทำให้แม่ชีไท่ซั่นที่ตกอยู่ภายใต้ความกระวนกระวายสงบลงมาก นางพยักหน้าตอบ “มีเหตุผล ที่นี่เป็วัดวาอาราม คนพวกนั้นคงไม่้ามาหาเื่กระไรหรอก ไปกันเถอะ!” เพิ่งเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว แม่ชีไท่ซั่นก็ชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปสั่งกับเจินจูอีกครั้ง “เ้าไปดูยัยเด็กที่ห้องปีกตะวันออกเสียหน่อย เร่งขัดเกลานางให้เรียบร้อย อย่าให้นางพูดเื่น่าอายต่อหน้าแขกพวกนั้นเด็ดขาด”