ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ ฟ้ายามพลบค่ำมีเมฆสีแดงลอยอยู่เต็มไปหมด นกกาก็พากันบินกลับรัง เจินจิ้งประคองเหอตังกุยเดินไปตามเส้นทางคับแคบกลางเขา เนื่องจากเดินเหินหนักเกินควร อาการาเ็ที่ข้อเท้าของเหอตังกุยจึงรุนแรงขึ้นมาก ต้องอาศัยแรงพยุงของเจินจิ้งจึงจะเดินหน้าต่อไปได้
“อย่าลืมนะ เ้าพูดเื่พวกนี้ได้แค่ตอนนี้เท่านั้น อีกเดี๋ยวเมื่อกลับไปถึงวัด อย่าได้พูดถึงเื่นี้อีกเป็อันขาด!” เหอตังกุยสั่งย้ำอีกครั้ง องครักษ์จิ่นอีเว่ยพวกนั้นมีประสาทััที่ดีจนน่าใ หากให้พวกเขาได้ยินอะไรเข้าอาจจะเป็เื่ใหญ่ได้ สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว การสังหารเจินจิ้งกับตนนั้นนับเป็เื่ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
เจินจิ้งยิ้มตาหยีราวกับพระจันทร์เสี้ยว นางพยักหน้าพร้อมกล่าว “ข้ารู้แล้ว! ท่านพูดมาจะแปดร้อยรอบแล้ว ยังจะมาบอกว่าข้าขี้บ่นเหมือนยายแก่อีก ท่านก็เหมือนกันนั่นล่ะ ถ้าหากข้าเป็ยายแก่ขี้บ่น ท่านก็เป็ตาเฒ่าจอมจู้จี้เหมือนกัน...”
ทั้งสองกัดฟันอดทนเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ทันทีที่มาถึงประตูวัด แม่ชีไท่ซั่นก็พุ่งเข้ามาหาด้วยความรวดเร็วทันที
นางไม่มองที่เหอตังกุยผู้มีใบหน้าซีดเผือดและเดินโซซัดโซเซอย่างไร้เรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับหันไปมองเจินจิ้งราวกับอยากจะกินเืกินเนื้ออย่างไรอย่างนั้น นางตวาดด่าอย่างโกรธเกรี้ยว “นังเด็กไร้ยางอาย ข้าหลงคิดว่าเ้ารู้กาลเทศะ คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะมองผิดไป! ไม่ได้เจอกันแค่ครึ่งวัน เ้าก็รู้จักหาที่พึ่งพิง ประจบประแจงผู้ที่มีฐานะสูงกว่า รู้จักหลอกลวงครูบาอาจารย์แล้วใช่หรือไม่!”
เจินจิ้งถูกอาจารย์ก่นด่าเป็ชุด นางรู้สึกงุนงงไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองทำอันใดผิด แม้การที่ตนและเหอตังกุยลักลอบออกไปนอกวัดจะเป็เื่ที่ไม่สมควร แต่ท่านอาจารย์ อาจารย์ป้าหรือแม้แต่ศิษย์พี่ ศิษย์น้องทั้งหลาย ต่างก็ทำราวกับกำลังหลอกตัวเองว่าเหอตังกุยยังไม่ฟื้นคืนมาเช่นนั้น ราวกับว่าแค่ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ให้อาหาร ไม่ให้น้ำหรือยารักษาโรค อีกเพียงไม่กี่วัน เหอตังกุยก็จะกลับไปอยู่ใน ‘สภาพเดิม’ เหมือนกับตอนที่นางมา นั่นคือกลับไปนอนอยู่ในโลง ให้คนภายในวัดได้สวดมนต์และร้องห่มร้องไห้กันเช่นนั้น
ในเมื่อคนในวัดก็ไม่ได้สนใจอันใดอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่สนใจให้ตลอดไปเลยเล่า? ให้มันรู้ไปเลยว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน อีกอย่าง เหอตังกุยก็ถือเป็แขกของวัด มีใครที่ไหนกักขังแขกไม่ให้ออกไปข้างนอกบ้าง นางเพียงออกไปเดินเล่นกับแขกของวัดเท่านั้น ทำไมต้องด่าว่านางเสีย ๆ หาย ๆ แบบนั้นด้วย? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นอกจากจะไม่คุกเข่าสำนึกความผิดของตนเหมือนกับทุกครั้งแล้ว เจินจิ้งยังเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจแล้วมองตาขวางไปยังอาจารย์อีกด้วย
แม่ชีไท่ซั่นไม่คิดไม่ฝันเลยว่ากระต่ายน้อยน่ารักที่เชื่อฟังคำสั่งในยามปกติ จะมีพฤติกรรมป่าเถื่อนและมีสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ทั้งโกรธเคือง ต่อต้านและไม่พอใจเช่นนี้อยู่ด้วย
“หึ ๆ บ้าไปกันใหญ่แล้ว!” แม่ชีไท่ซั่นชี้ไปที่เจินจิ้งด้วยร่างกายสั่นเทา ไฟแห่งโทสะปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน “ข้าเคยคิดว่าตัวเองเลี้ยงสุนัขที่จงรักภักดีเอาไว้ข้างกาย มาวันนี้ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วมันก็เป็แค่ลูกสุนัขป่าที่คอยแต่จะแว้งกัดเ้าของ! ยังดีที่ข้ารู้ตัวเร็วและยังไม่สายเกินไปที่จะจัดการ!” หลังพูดจบ แม่ชีไท่ซั่นก็มุ่งเข้ามาหาโดยหวังจะฟาดแส้ในมือลงบนหัวของเจินจิ้ง
เจินจิ้งรีบย่อตัวลงไปนั่งกอดหัวอย่างตื่นตระหนก นางรู้ดีว่าท่านอาจารย์มือหนักเพียงใด หากโดนด้ามทองแดงของแส้ตีหัวล่ะก็ นางต้องหัวแตกเือาบอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ นางเคยเห็นอาจารย์โกรธแล้วตีศิษย์พี่ทั้งหลายจนมีอาการสาหัสเลยทีเดียว
“หยุดนะ” เหอตังกุยก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อขวางแม่ชีไท่ซั่นเอาไว้ด้วยอาการสงบ ด้ามของแส้นั้นทำมาจากทองแดง หนักถึงหนึ่งจินเลยทีเดียว นางรู้ดีว่าเมื่อถูกมันตีหัวจะเกิดสิ่งใดตามมา เพราะเมื่อชาติภพก่อน นางเคยได้ลิ้มรสของมันมามากกว่าหนึ่งครั้ง
แม่ชีไท่ซั่นมองดูเด็กหญิงร่างผอมบางที่มีอายุเพียงสิบปีตรงหน้า พลางหัวเราะขึ้นอย่างเยือกเย็น “หึ ๆ ก็คิดว่าใคร ที่แท้ก็เป็คุณหนู ‘เหอ’ จากตระกูล ‘หลัว’ นี่เอง! ข้าเพียงสั่งสอนลูกสุนัขของตัวเอง มันผิดกฎข้อไหนไม่ทราบ?”
เหอตังกุยดึงให้เจินจิ้งลุกขึ้นจากพื้นอย่างใจเย็น จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้า “ท่านแม่ชีถามตรงประเด็นพอดี มีคำกล่าวไว้ว่า ต้องปิดประตูก่อนจะลงโทษสุนัข เื่ภายในไม่ควรบอกให้คนนอกรู้ แต่ท่านแม่ชีถูกความโกรธบังตา ถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับนางที่หน้าประตูวัดซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปมามากมายเช่นนี้ ข้าไม่มีอำนาจอันใด ย่อมไม่กล้าขัดขวางการกระทำของท่าน ทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น หลังจบเื่ก็จะช่วยเก็บความลับนี้ไว้ให้ท่านอย่างแน่นอน เพียงแต่...ไม่แน่ว่าอาจมีพวกจิตคิดไม่ซื่อซ่อนตัวอยู่หลังประตู ตามซอกกำแพงหรือที่ใดสักแห่งเพื่อแอบดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากเกิดเื่จะได้นำเื่นี้ไปกระจายแบบเติมพริกเติมเกลือต่อไป ซึ่งนั่นอาจทำให้ท่านแม่ชีเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ อย่าลืมล่ะว่า...ท่านแม่ชีไม่ใช่คนเดียวที่กุมอำนาจของวัดนี้”
ตอนแรกแม่ชีไท่ซั่นยังมีท่าทางไม่แยแส ด้วยคิดว่าเหอตังกุยเพียง้าจะปกป้องเจินจิ้งเท่านั้น แต่ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ หน้าของนางก็ยิ่งซีดเซียวลงเรื่อย ๆ ในตอนท้ายประโยค นางถึงขั้นมีเหงื่อซึมออกมาทางหน้าผากแล้วเก็บแส้ในมือที่ง้างอยู่กลางอากาศกลับไปในที่สุด
เป็จริงดังนั้น ยัยชีแก่ไท่เฉินมีศิษย์รักอยู่ในวัดหลายคน ไส้ศึกน้อยพวกนั้นมักจะโผล่หน้ามาให้เห็นและแอบชะเง้อคอมองนางอยู่บ่อย ๆ หากพวกนั้นยกเื่ที่นาง ‘ทำร้ายคนในวัด’ ขึ้นมาเป็ประเด็นล่ะก็ ไม่แน่...พวกนั้นอาจฉวยโอกาสนี้ชิงอำนาจที่นางมีไปจนหมดก็เป็ได้ อีกอย่าง เมื่อลองมาคิดอีกที ตอนนี้ในวัดก็มีคุณชายตระกูลสูงศักดิ์พักอยู่ตั้งหลายคน...
เมื่อคิดมาถึงเื่นี้ จู่ ๆ แม่ชีไท่ซั่นก็เปลี่ยนมารับบทแม่ชีผู้เปี่ยมเมตตาแทน นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตายแล้ว ข้าเนี่ยนะ... เฮ้อ เมื่อครู่ข้าเป็ห่วงพวกเ้าทั้งสองมากเกินไป จึงไม่ทันได้ระวังกิริยาของตัวเอง คุณหนูเหอ เ้าไม่รู้อะไร บนเขาลูกนี้มีสิ่งอันตรายมากมายที่อาจพรากชีวิตพวกเ้าได้ทุกเมื่อ ทั้งหุบเหว เนินหิน ทางลาดชัน งูพิษ ไหนจะสัตว์ป่าต่าง ๆ อีก... เ้าเพิ่งได้ชีวิตใหม่ หากเกิดเื่ขึ้นกับเ้า ข้าคงให้อภัยตัวเองไม่ได้”
เหอตังกุยหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้าจะจดจำความหวังดีของท่านแม่ชีเอาไว้ไม่ลืม วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะกลับมาตอบแทนอย่างดี ยังดีที่ในครั้งนี้พวกเรากลับมาได้อย่างปลอดภัย ไม่เช่นนั้นคงผิดต่อความหวังดีของท่านแม่ชีเสียแล้ว หากเป็แบบนั้น ต่อให้ตายเป็ผี ข้าก็คงจะทำใจไปเกิดใหม่ไม่ได้แน่”
แม่ชีไท่ซั่นพยักหน้าตามด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของเหอตังกุยเริ่มเ็าลงเรื่อย ๆ แม้คำพูดที่เปล่งออกมาจะเป็คำพูดที่มีความหมายดี แต่เมื่อได้ฟังกลับทำให้นางรู้สึกเคลือบแคลงใจเหลือเกิน
หลังจบประโยค นางก็ไม่ได้คิดอันใดต่ออีก เพราะพบว่าเหอตังกุยและเจินจิ้งสะพายกระบุงเอาไว้ด้านหลังคนละใบ ในตะกร้ามีผักป่าอยู่เต็มไปหมด แท้จริงแล้วเหอตังกุยอาจจะหิวจนทนไม่ไหว จึงออกไปขุดผักป่ามากินประทังความหิว แม่ชีไท่ซั่นนึกสมเพชเหอตังกุยอยู่ในใจ คงจะเป็เด็กจวนนอกที่เติบโตในชนบทสินะ คุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ต่างก็เก็บดอกไม้ จัดแจกันและเย็บปักถักร้อยเท่านั้น มีใครที่ไหนไปขุดผักป่าแบบนี้กัน? น่าเวทนาจริง ๆ แต่ตอนนี้คุณชายตระกูลสูงศักดิ์พวกนั้นอยากพบนาง ซื้อใจนางให้ได้ก่อนก็แล้วกัน...
แม่ชีไท่ซั่นก้าวยาว ๆ ไปข้างหน้า จากนั้นก็กุมมือขวาของเหอตังกุยเอาไว้พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงพิลึก “เ้านี่ดื้อเสียจริง เพิ่งหายดีได้เพียงวันเดียว เหตุใดจึงไม่พักอยู่ในห้องเล่า ออกไปขุดผักป่าข้างนอกทำไมกัน! เมื่อคืนนี้ข้าสั่งให้คนฆ่าไก่ที่อ้วนที่สุดในวัดแล้วใช้ผลอินทผลัม อบเชย และเก๋ากี้ต้มเป็น้ำแกงไก่ ข้าสั่งให้คนตุ๋นไก่ั้แ่เมื่อวานมาจนถึงวันนี้เชียวนะ กลิ่นหอมน่ากินเป็อย่างมาก เช้าวันนี้ ข้าสั่งให้ลูกศิษย์ยกมันไปให้เ้าที่ห้อง แต่พวกเขากลับมาบอกกับข้าว่าเ้าไม่ได้อยู่ที่นั่น ข้าล่ะเป็ห่วงแทบแย่!” เนื่องด้วยแม่ชีส่วนมากภายในวัดล้วนเป็แม่ชีที่เข้ามาหลังโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว จึงทนกินเจนาน ๆ ไม่ได้ วัดสุ่ยซังจึงไม่ได้ห้ามไม่ให้กินไข่ไก่เหมือนกับที่อื่น ๆ ทั้งยังเลี้ยงไก่ไข่เอาไว้ที่หลังวัดอีกหลายตัว
เหอตังกุยรู้ดีว่าสิ่งที่แม่ชีไท่ซั่นพูดล้วนเป็เื่โกหกทั้งสิ้น เพราะตนและเจินจิ้งเพิ่งออกไปตอนเที่ยง อย่าว่าแต่น้ำแกงไก่เลย แม้แต่ขนไก่สักเส้นก็ยังไม่มีให้เห็นด้วยซ้ำ ทว่าในตอนนี้ร่างกายของนางอ่อนแอมาก อาจจะล้มลงไปกองอยู่บนพื้นได้ทุกเมื่อ ยังไม่เหมาะจะเปิดศึกกับแม่ชีไท่ซั่น อีกทั้งนางยังไม่รู้สาเหตุที่แม่ชีไท่ซั่นพยายามจะซื้อใจนางด้วย
เหอตังกุยชักมือกลับอย่างแเี ก่อนจะส่งประกายรอยยิ้มแห่งความซึ้งใจออกมา “ได้ยินว่าอาการป่วยมักเกิดขึ้นทางใจ ข้าเลยอยากออกไปเดินเล่นคลายเครียดสักเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ท่านแม่ชีเดือดร้อน ช่างน่าละอายเสียจริง ระหว่างอยู่กลางเขา ข้าได้ยินเจินจิ้งพูดว่าท่านแม่ชีมักจะปวดหลังอยู่เป็ประจำ พวกเราจึงช่วยกันเก็บโกฐเขมากับยาตู๋หัวมา คิดว่าจะตากให้แห้งแล้วนำไปทำเป็หมอนอิงให้ท่านแม่ชี แบบนั้นจะช่วยแก้อาการเจ็บหลังยามอากาศหนาวได้ดี ถือเป็การตอบแทนพระคุณของท่านแม่ชีที่มีต่อพวกเรา”
หลังเข้าฤดูใบไม้ร่วง แม่ชีไท่ซั่นมักจะเ็ปทรมานกับอาการปวดหลังเรื้อรังมาโดยตลอด ต่อให้กินยาก็ไม่หาย พอได้ยินว่ามีของดีเช่นนี้จึงรู้สึกดีใจเป็อย่างมาก คิดว่าก่อนหน้านี้ตนเองคงจะเข้าใจเจินจิ้งผิดไป จึงพูดปลอบนางในเวลาต่อมา เล่นเอาเจินจิ้งใจนตั้งรับไม่ถูกเลยทีเดียว
เหอตังกุยขอตัวไปพักผ่อน โดยอ้างว่าไม่กล้าทำให้ท่านแม่ชีเสียเวลาไปมากกว่านี้ แม่ชีไท่ซั่นเองก็เห็นว่านางปีนเขาจนเนื้อตัวสกปรกมอมแมมไปหมด คงไม่เหมาะที่จะพาไปพบแขก อีกอย่างเจินจูก็รายงานมาว่ามีแม่ชีเข้าไปดูแลรับใช้มากกว่าสิบคนแล้ว วันหลังค่อยให้เหอตังกุยไปพบก็ยังได้ ดังนั้นแม่ชีไท่ซั่นจึงย้ำให้เหอตังกุยดูแลตัวเองให้ดี จากนั้นจึงอ้างว่าตนยังมีงานอยู่อีกมากแล้วรีบลาจากไปในที่สุด
เหอตังกุยกับเจินจิ้งหันไปมองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมา เพียงประคองกันไปที่ห้องทางปีกตะวันออกอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
“เื่ที่อาจารย์ปวดหลัง...” เมื่อกลับไปถึงห้อง เหอตังกุยก็ลงไปนอนบนเตียง เจินจิ้งจึงกล่าวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
เหอตังกุยหาวหวอดก่อนจะส่งยิ้มไปให้ “รู้สึกนับถือในตัวข้าเลยใช่หรือไม่เล่า?”
ในตอนนั้นเอง เจินจิ้งก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตนเกือบจะถูกอาจารย์ตีหัวแล้ว ทว่าเพียงเหอตังกุยพูดอย่างราบเรียบแค่ไม่กี่คำ นอกจากอาจารย์จะหายโกรธแล้ว ยังทำให้อาจารย์กล่าวขอโทษตนได้อีกด้วย
เมื่อลองนึกย้อนกลับไป เคยมีใครเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์ได้เสียที่ไหน? คำกล่าวขอโทษที่ออกมาจากปากของอาจารย์เมื่อครู่เป็เื่อัศจรรย์ชัด ๆ ! ไม่ว่าใครในวัดแห่งนี้ หากถูกอาจารย์หมายหัวเอาไว้แล้ว ก็ไม่เคยรอดจากการถูกลงโทษไปได้ แม้แต่ศิษย์พี่เจินจูที่มักจะแก้ไขปัญหาได้ทุกเื่ก็ยังห้ามท่านอาจารย์ไม่ได้!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เจินจิ้งจึงจ้องไปที่เหอตังกุยด้วยสายตาแห่งความนับถือ “ท่านเก่งทั้งเื่การรักษา ทั้งยังใจเย็นเมื่อเจอปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังเอาชนะศัตรูได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียวเท่านั้น ท่านเป็เหมือน ‘ยอดอัจฉริยะหญิง’ ในหนังสือไม่มีผิด! อา...ไม่สิ ท่านน่าจะเป็วีรบุรุษสาว ‘โม่อู๋ซวง’ ที่เฉลียวฉลาดและรับมือได้ทุกสถานการณ์ต่างหาก...” นางพูดพร่ำอยู่นานทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากเหอตังกุยเสียที จึงเดินเข้าไปดันร่างของเหอตังกุยหนึ่งครั้ง “เฮ้ ท่านคิดว่าตนเองเหมือนโม่อู๋ซวงหรือไม่?”
ในตอนนั้นเอง นางพบว่าเหอตังกุยผู้มีใบหน้าแดงระเรื่อกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่แม้แต่จะขยับเลยสักนิด เจินจิ้งจึงลองเอื้อมมือไปแตะ ทว่าร่างของเหอตังกุยนั้นร้อนราวกับไฟ เจินจิ้งจึงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ต้องเป็เพราะโดนลมพัดที่กลางเขาแน่ ๆ !
อันที่จริง เมื่อวานนี้หลังฟื้นขึ้นมา นางควรจะพักอยู่แต่บนเตียงถึงจะถูก เป็เพราะตนแท้ ๆ ที่ไม่ห้ามนางเอาไว้ ทั้งยังไปเดินเขาพร้อมกับนางอีก... แต่วันนี้พวกเขาช่วยชีวิตของคนคนหนึ่งเอาไว้โดยบังเอิญ นับเป็บุญใหญ่ คนดีต้องได้ดีแน่ นางต้องรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวงได้อย่างแน่นอน!
เจินจิ้งเดินวนอยู่ภายในห้องหลายรอบ นางขมวดคิ้วมุ่นพลางครุ่นคิดไปด้วย หากไปขอยาจากอาจารย์ไท่เฉินตอนนี้ นางต้องอ้างโน่นอ้างนี่ไม่ยอมให้ยามาแน่ แล้วทุกคนก็จะรู้เื่ที่เหอตังกุยมีไข้สูงไปด้วย คนพวกนั้นหวังแต่จะให้เหอตังกุยกลับไปอยู่ในสภาพเดิม จะได้เอาเงินค่าส่งิญญาหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงจากตระกูลหลัว หากเหอตังกุยป่วยหนักก็สมใจพวกเขาน่ะสิ? เมื่อถึงตอนนั้น หากพวกเขาเข้ามาซ้ำเติมอีกล่ะ ตนสู้คนใจดำพวกนั้นได้เสียที่ไหนกัน?
จริงสิ ไปเอาขนมที่ศาลาพักศพอีกหน่อยแล้วกัน ก่อนหน้านี้ หากตนไม่สบาย แค่ได้กินของอร่อย ๆ ก็จะหายเป็ปลิดทิ้งทันที! เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เจินจิ้งก็พุ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
เหอตังกุยรู้สึกราวกับเดินอยู่บนเส้นทางที่ยาวไกลเหลือเกิน ด้านซ้ายและขวาเป็กำแพงสีแดงที่สูงจนมองไม่เห็นขอบ ด้านหน้าและหลังเป็เส้นทางที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา
ระหว่างทาง มีหญิงคนหนึ่งเดินสวนมาพอดี นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงเข้ม บนหัวเต็มไปด้วยเครื่องประดับ จู่ ๆ หญิงคนนั้นก็กระโจนเข้ามาใกล้แล้วกล่าวขึ้น “น้องรัก ตอนนี้เ้าได้ดิบได้ดีแล้ว ช่วยพี่หน่อยเถอะนะ! เพราะพี่ให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้ สามีก็เลยไม่ชอบพี่ เอาแต่ไปหาอนุทุกคืนเลย... ตอนนี้ตำแหน่งราชเลขาระดับสองกำลังว่างอยู่ หากช่วยให้เขาได้รับตำแหน่ง เขาต้องเห็นคุณค่าของข้ามากขึ้นแน่ ๆ น้องรักของพี่ ช่วยพี่คนนี้หน่อยเถอะนะ...”
เมื่อลองเพ่งมองใบหน้าของหญิงคนนั้นดูชัด ๆ จึงพบว่าเป็หลัวไป๋ฉง ลูกพี่ลูกน้องของตนนั่นเอง เหอตังกุยดึงมือคนตรงหน้าเอาไว้แล้วกล่าวขึ้น “ไปด้วยกันเถอะ ออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เดินต่อไปได้เพียงไม่กี่ก้าว นางก็รู้สึกเ็ปที่่ท้อง เมื่อก้มลงมองจึงพบว่าที่หน้าท้องมีมีดสั้นเสียบอยู่ และด้ามมีดเล่มนั้น...อยู่ในมือของหลัวไป๋ฉง!
“เ้า...” เมื่ออ้าปากเตรียมจะพูดบางสิ่งออกไป เหอตังกุยก็รู้สึกราวถูกของหนักกระแทกเข้าที่กลางหลัง ทำให้อวัยวะภายในเสียหายไปหมด
นางค่อย ๆ หันกลับไปมองด้านหลังอย่างยากลำบาก พบว่าจูเฉียนกับโจวชิงหลานยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก ทั้งสองถือค้อนขนาดใหญ่เอาไว้ในมือ แกว่งไปมาพลางหัวเราะเสียงดัง “พวกเรามาแข่งกันเถอะ... ทุบโดนแขนกับขาได้สามคะแนน หน้าอกกับแผ่นหลังห้าคะแนน หัวกับหน้าแปดคะแนน!”
หลัวไป๋ฉงที่ยืนอยู่ข้างกายดึงมีดสั้นออกมาแล้วตวาดด่าเสียงแหลม “นังจิ้งจอกเ้าเล่ห์ไร้ยางอาย บอกมา! เ้าใช้เล่ห์กลอันใด เหลี่ยงอี้โจวถึงลืมเ้าไม่ได้สักที เอาแต่สืบเื่ของเ้าไม่เว้นแต่ละวัน? ตายเสียเถอะ ตายซะ” นางพูดพลางแทงมีดใส่ร่างเหอตังกุยไม่ยั้ง “ตายซะ! นังจิ้งจอกชั่ว เ้าอ่อยได้แม้กระทั่งพี่เขยของตัวเอง ข้าจะขยี้เ้าให้กลายเป็เถ้าธุลี ทำให้เ้าไม่ได้ผุดได้เกิดอีก!”
เหอตังกุยกระอักเืออกมาแล้วล้มลงไปกองอยู่บนพื้น ก่อนดวงตาจะปิดลง นางเห็นโจวชิงหลานกำลังเหวี่ยงค้อนตรงมาที่ใบหน้าของนางพลางร้องเฮขึ้น “ฮ่า ๆ ข้าได้แปดคะแนน! เมื่อไม่มีใบหน้าที่งดงามนั่นแล้ว ดูซิว่าใครจะอยากมองเ้าอีก!”
นางรู้สึกเ็ปไปทั่วร่าง ดวงตามืดสนิท แต่ก็ยังััได้ว่ามีใครบางคนทับร่างของนางเอาไว้... ไม่สิ ไม่ใช่แค่คนเดียวแต่เป็คนกลุ่มหนึ่งต่างหาก
เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นข้างหูไม่หยุด เสียงพูดของคนเ่าั้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ...
“...เด็กดี ลุงเป็ลุงแท้ ๆ ของเ้านะ! แม้หลัวชวนกู่และหลัวชวนพั่วจะเป็พี่ชายของมารดาเ้า แต่อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็พี่น้องคนละแม่กับมารดาของเ้า ย่อมมีความสัมพันธ์ห่างเหินกันอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยให้ตำแหน่งดี ๆ อย่างผู้ว่าของจังหวัดจงซูตกเป็ของคนนอกไม่ได้เด็ดขาด...”
“...อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของเขา เสี่ยวอี้เด็กดี เ้าลองคิดดูนะ ลุงรองเคยทำไม่ดีกับเ้ามาก่อนหรือไม่? เ้ากับมารดาถูกไล่กลับจวนเดิมตั้งหลายครั้ง ป้าสะใภ้รองเคยไล่เ้ากับมารดาไปหรือไม่? เป็คนต้องรู้จักสำนึกบุญคุณผู้อื่น...”
“...ชิงอี้ ลุงสามของเ้ามีเืร้อนอยู่ในอก ร่างกายมากล้นไปด้วยความสามารถ แต่กลับไม่อาจทำงานรับใช้ชาติจวนเมืองได้ ช่างทรมานใจเหลือเกิน! ยังดีที่มีหลานที่น่าภูมิใจอย่างเ้าอยู่ นอกจากจะแต่งงานกับหนิงอ๋องแล้ว เ้ายังได้รับความโปรดปรานจากท่านเสนาบดีซ้ายขวาอีกด้วย คำพูดเพียงคำเดียวของเ้า มีประโยชน์เสียยิ่งกว่าการที่เราต้องตรากตรำทำงานหนักไปทั้งชีวิตเสียอีก หวังว่าเ้าจะเห็นแก่มารดาของเ้า...”
“...ตื่นได้แล้ว ตื่นเร็วเข้า! อี้เอ๋อร์ ป้าสะใภ้มีเื่อยากปรึกษาเ้าหน่อย บุตรชายคนรองของแม่ทัพฉางหรือก็คือหลานชายของอดีตเสนาบดีฉางอี้ชุน เขาเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ อายุยังน้อยแต่กลับมีผลงานมากมาย รูปร่างหน้าตาสง่างามนัก เพียงหลานสาวเ้าได้พบหน้าเขาแค่ครั้งเดียว นางก็เอาแต่คิดถึงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จุ๊ ๆ นางผอมไปมากทีเดียว เมื่อเห็นเช่นนั้น ข้าก็อดกระวนกระวายใจไม่ได้ จึงอยากรบกวนให้เ้าช่วยวาดเส้นวาสนาให้สองคนนั้นเสียหน่อย หากเื่นี้สำเร็จ หลานสาวของเ้าก็จะได้เป็ภรรยาแม่ทัพ เ้าเองก็จะได้หน้าได้ตาไปด้วย...”
“...อี้เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเ้าโกรธที่คนในตระกูลหลัวเคยทำไม่ดีกับเ้า แต่เ้าก็โตมาอย่างปลอดภัยได้ถึงสิบสี่ปีไม่ใช่หรือ? หากจะเอาผิดกันจริง ๆ คนร้ายตัวจริงก็คือเหอจิ้งเซียน บิดาของเ้านั่นแหละ! เ้าสุนัขชั่วที่ใจดำอำมหิตนั่น หลงโสเภณีชั้นต่ำจนโงหัวไม่ขึ้น ถึงขั้นแต่งงานยกขึ้นเป็ภรรยาเอกแทนมารดาเ้า หลายปีมานี้ เขาไม่เคยมาหาเ้ากับมารดาเลยสักครั้ง เ้าเหอฟู่คนนั้นยิ่งแล้วใหญ่ มารดาเ้าแต่งไปพร้อมกับสินเดิมมากมาย ทั้งไร่นาแล้วไหนจะเงินทองอีกมหาศาล แต่เ้าเนรคุณนั่นกลับไม่เห็นค่าเอาเสียเลย... เฮ้อ ข้ารู้ดีว่าเ้าเองก็มีชีวิตที่ยากลำบาก ชีวิตที่ผ่านมาของเ้าน่าสงสารจนข้าเองก็ไม่กล้าจะร้องขอสิ่งใดจากเ้า แต่คนที่อยู่ในตระกูลหลัวแห่งนี้ล้วนเป็ญาติมิตรของเ้าทั้งสิ้น สายเืย่อมตัดกันไม่ขาด เ้าต้องจดจำคำที่ว่า ‘คนจวนเดียวกัน จะสุขก็สุขไปพร้อมกัน จะพ่ายก็พ่ายไปด้วยกัน’ เอาไว้ให้ดี หากตระกูลหลัวยิ่งใหญ่ เ้าก็จะสามารถอยู่ในจวนอ๋องได้อย่างมั่นคง ใช่หรือไม่? เ้าจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าในอนาคตจะไม่้าความช่วยเหลือจากตระกูลหลัวอีก...”
“...ฟังคำป้าสะใภ้สามเอาไว้ให้ดีนะอี้เอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไร มารดาของเ้าก็ยังอยู่ในตระกูลหลัว เ้าเป็เด็กกตัญญู ก่อนจะทำสิ่งใดต้องคิดถึงมารดาเ้าก่อนนะ ชีวิตนางรันทดนัก นอกจากเ้าที่เป็บุตรสาวเพียงคนเดียวแล้ว นางยังมีสิ่งใดให้หวังพึ่งอีก? การช่วยเหลือตระกูลหลัวของเราก็ถือเป็การกตัญญูต่อมารดาเ้าด้วย...”
“...อี้เอ๋อร์ ในตอนนั้น มารดาเ้าอุ้มเ้ากลับมาที่ตระกูลหลัวด้วยสภาพยับเยิน ทั้งยังเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ั้แ่นั้นเป็ต้นมา ตระกูลหลัวกับตระกูลเหอก็แตกหักกันอย่างสิ้นเชิง อย่าหาว่าป้าสะใภ้รองพูดจาน่าเกลียดเลยนะ แต่เืที่ไหลอยู่ในตัวเ้าเป็เืตระกูลเหอ พวกเราไม่มีความจำเป็ที่ต้องรับเ้าเข้ามาชุบเลี้ยงเลยสักนิด จะโยนเ้าออกไปจากจวนเลยก็ยังได้ แต่พวกเราไม่ได้ทำแบบนั้น แม้ท่านยายของเ้าจะส่งตัวเ้าไปที่ชุมชนนอกเมือง แต่ในทุก ๆ ปี พวกเราก็จะส่งเงินห้าสิบตำลึงไปให้ เพื่อเป็ค่าจ้างแม่นมกับบ่าวรับใช้มาโดยตลอด เมื่อถึงงานเทศกาล หากมีการตัดเย็บเสื้อผ้า ยายเ้าก็จะเก็บผ้าชั้นดีไว้ให้เ้าทุกครั้ง โดยบอกว่าจะเตรียมเป็สินเดิมให้เ้าในวันแต่งงาน แม้แต่พวกเราที่เป็สะใภ้ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยังซาบซึ้งจนแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่... สิบกว่าปีมานี้ หากไม่มีตระกูลหลัวของเราชุบเลี้ยงเ้า เ้าคงหิวตายที่ข้างถนนไปนานแล้ว! ทุกคนในตระกูลหลัวล้วนเป็ผู้มีพระคุณของเ้าทั้งสิ้น...”
“เสี่ยวอี้... เสี่ยวอี้! ตื่นเร็ว เสี่ยวอี้! รีบตื่นเร็วเข้า!”
เหอตังกุยได้ยินเสียงของผู้คนมากมายวิ่งเข้ามาพูดคุยกับนางที่กำลังจะตายอยู่บนพื้น คนพวกนั้นขึ้นมาทับอยู่ที่กลางอกของนางมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบจะหายใจไม่ออก และในตอนนั้นเอง จู่ ๆ เสียงใส ๆ ของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นกลบเสียงเจี๊ยวจ๊าวของคนเ่าั้ลง และดึงให้นางตื่นจากฝันร้ายด้วยเช่นกัน
เหอตังกุยลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น จากนั้นก็ได้พบกับใบหน้ากลม ๆ ที่ประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มของเจินจิ้ง “หึ ๆ ที่แท้ก็เป็เพียงความฝันเท่านั้น!”