สถานที่ดีๆ ในสายตาลูกคนรวยจะเป็ที่ใดกัน? โม่จ้านเดาว่าคงเป็โรงสุรา งานประมูล ลานประลองสัตว์หรือเขตโคมแดง ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้โม่จ้านคาดมิถึงแม้แต่น้อย
เก๋อจือที่หัวยุ่งเหยิงอุ้มลูกแมวสีขาวบริสุทธิ์สองตัว ยกยิ้มจนตาปิด เผยสีหน้าพึงพอใจขณะเดี๋ยวเกาคางตัวนั้นลูบหลังตัวนี้ จากนั้นอุ้มลูกแมวตัวหนึ่งมาวางบนตัวแล้วถูไถไปมา...
โม่จ้านหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก คิดมิถึงว่ากิจกรรมที่น่าจดจำครั้งแรกในต่างโลกจะเป็การเล่นกับแมว ชาติก่อนตนเพียงเคยทำงานพาร์ทไทม์ในคาเฟ่แมว นี่ถือเป็ครั้งแรกที่ได้กลายเป็แขกมาเล่นแมว เมื่อมีปัจจัยมาให้ เช่นนั้นก็ปล่อยตัวตามสบายเถอะ
โม่จ้านขยับก้นเล็กน้อย นั่งลงบนพรมปูพื้นขนปุย จากนั้นอ้าแขนทั้งสองข้างออก
ทว่าสิ่งที่คิดไว้มิเป็อย่างที่คิด โม่จ้านยังคงรักษาท่วงท่าโอบกอด กระทั่งแขนทั้งสองข้างเริ่มปวดเมื่อยก็ยังมิมีแมวสักตัวยอมเข้าใกล้ ตนได้แต่เบิกตามองแมวตัวเล็กตัวใหญ่เดินวนไปวนมาอยู่ในระยะครึ่งหมี่ และยังมีอีกหลายตัวที่เดินวนอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังมิยอมเข้ามา
เก๋อจือที่อยู่ด้านข้างเล่นกับแมวอย่างมีความสุขเสียเต็มประดา หัวเราะมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ข้าบอกแล้วว่าเ้ามีสายเืของเผ่าสัตว์กลายร่างก็ยังมิเชื่อ หากทำแมวผู้อื่นใกลัวจะต้องจ่ายเงินชดเชยด้วย”
โม่จ้านจนปัญญา ทำได้เพียงลองขยับเข้าไปใกล้แมวสีดำตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ตนมากที่สุด ทว่ายังมิทันให้โม่จ้านยื่นมือออกไป แมวดำตัวนั้นพลันะโหนีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงเผยกรงเล็บและเหยียดหางตรง ดวงตากลมโตคู่หนึ่งจ้องโม่จ้านตาไม่กะพริบ ส่งเสียงขู่ ‘ฟ่อๆ ’ ออกมา ตั้งท่าระแวดระวังอย่างถึงที่สุด
“คุณชายท่านนี้ ท่านจะลองถอดเสื้อคลุมออกดูหรือไม่เ้าคะ?”
พนักงานที่ลอบสังเกตอยู่ด้านข้างตลอดพอจะเข้าใจอยู่บ้างจึงแนะนำโม่จ้านโดยอาศัยประสบการณ์ของตน โม่จ้านที่มีเครื่องหมายคำถามเต็มหัวถอดเสื้อเกราะหนังออก ทันใดนั้นพลันมีแมวสองตัวเข้ามาห้อมล้อม
หลังช่วยโม่จ้านแขวนเสื้อเรียบร้อย พนักงานร้านแมวคลี่ยิ้มอธิบายสาเหตุ
“ก่อนจะมาถึงร้านนี้ คุณชายท่านนี้อาจจะไปใกล้ชิดกับสัตว์กลายร่างเผ่าแมวที่แข็งแกร่งหรือสัตว์ปีศาจและติดกลิ่นอายมาเล็กน้อย กลิ่นอายของพวกเขาจะทำให้เ้าพวกตัวเล็กรู้สึกกลัว หากถอดอาภรณ์ตัวนอกออก กลิ่นอายก็จะเบาบางลงหรือหายไป พวกมันก็จะมิกลัวแล้วเ้าค่ะ”
โม่จ้านพยักหน้าแสดงความขอบคุณ ภายในใจกลับเอ่ยพึมพำว่า เผ่าแมว? มีด้วยหรือ? ตนเคยกินเพียงผลไม้ที่แมวป่าตัวน้อยให้มาลูกหนึ่ง ที่แท้เ้าตัวนั้นก็คือสัตว์ปีศาจตนหนึ่ง ด้วยสภาพล่อนจ่อนและหิวโซเช่นนั้นของเขา มิได้ทำให้มันโมโหช่างนับว่าโชคดีเป็หมื่นเท่าจริงๆ
หลังจากนั้น โม่จ้านใช้ทักษะการนวดที่มิต่างกับเมฆลอย สายน้ำไหล --- สับหลังบีบแก้มเกาคาง ดึงศอกลูบหัวนวดคอ เอามือรูดจนเ้าแมวสองตัวนั้นเป็อัมพาตอยู่บนตักของโม่จ้านทั้งส่งเสียง ‘ครือๆ ’ ออกมาด้วยความสบาย มินานนัก บนตัวและไหล่ของโม่จ้านก็ถูกแมวตัวเล็กตัวใหญ่ปีนป่ายจนเต็ม เขาจึงเอนตัวนอนลงบนพื้นให้พวกแมวใช้เป็เบาะเนื้อ
เก๋อจือลูบแมวสองตัวแล้วขยับเข้าใกล้ข้างกายโม่จ้าน “ท่าทางของเ้าคล่องแคล่วยิ่งนัก ที่บ้านเคยเลี้ยงแมวงั้นหรือ?”
โม่จ้านปิดเปลือกตา นำมือทั้งสองข้างวางไว้หลังศีรษะอีกครั้ง “เคยช่วยผู้อื่นเลี้ยง พอจะรู้อยู่บ้าง”
เก๋อจือถอนหายใจอย่างเห็นใจ “มือสังหารสมัยนี้ชีวิตมิง่าย กระทั่งวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงของเ้านายก็ยังต้องเรียนรู้”
...จะบอกว่าเ้าปักใจเชื่อว่าข้าเป็มือสังหารที่ถูกตระกูลผู้อื่นเลี้ยงเอาไว้งั้นรึ
โม่จ้านคร้านจะโต้แย้งเด็กมิรู้จักโตอย่างเก๋อจือ เอ่ยถามคำถามที่เมื่อวานถูกขัดจังหวะออกไปอีกครั้ง “เ้าบอกว่ากิลด์ทหารรับจ้างถูกเผ่าปีศาจทำให้อ่อนไหว หมายความว่าอย่างไร?”
“ความหมายตรงตัว” เก๋อจือจับหางแมวที่ส่ายไปมาอยู่ตรงหน้า “ตามข่าวสารที่ได้รับ เผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งอาจจะใช้เมืองแห่งทหารรับจ้างเป็ทางผ่าน ด้วยเหตุนี้พวกเคอเอินมิกี่คนจึงพากันอกสั่นขวัญแขวนมาหลายอาทิตย์ ด้วยกลัวว่าจะเกิดเื่อันใดขึ้น”
“ผ่านทางจะเกิดเื่อันใดขึ้นได้?” โม่จ้านเบะปาก “หรือจะบอกว่าเผ่าปีศาจไล่ฆ่าฟันไปตลอดทาง ทางผ่านก็เท่ากับการสังหารหมู่?”
“มิใช่เช่นนั้น นอกจากความโอ้อวดไปทั่วของอาณาจักรไหลเต๋อของสันตะสำนัก ข้ากลับมิเคยเห็นเผ่ามารสังหารหมู่ในอาณาจักรอันปู้เอ่อร์มาก่อน อย่างมากก็เพียงมีความขัดแย้งกับกองทัพมิกี่ครั้ง” เก๋อจือจับปลายคาง “เกรงว่าคงเป็เพราะ ‘เดือนจับจ่าย’ ใกล้มาถึงแล้ว พ่อค้าจำนวนมากจะมารวมตัวกันที่เมืองเยวียหนา ผู้คนที่มีความศรัทธาต่างกันมารวมตัวกันจึงมักเกิดความขัดแย้งได้โดยง่าย ผนวกกับศัตรูของสาธารณชนทั้งแผ่นดินใหญ่อย่างเผ่าปีศาจ...”
“ศัตรูของสาธารณชนทั้งแผ่นดินใหญ่?” โม่จ้านค่อนข้างสงสัย “ข้าจำได้ว่ามินานมานี้สันตะสำนักประกาศจะกวาดล้างเผ่าปีศาจ อีกสองราชอาณาจักรก็จะเข้าร่วมด้วย?”
“จักรวรรดิอันปู้เอ่อร์มีการส่งกองกำลังทหาร ราชอาณาจักรข่ายเจ๋อกลับรักษาความเป็กลาง เพราะถึงอย่างไรการที่เผ่าสัตว์กลายร่างส่วนมากจะเชื่อก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เห็นกับตาตนเองเท่านั้น”
“เ้าจะบอกว่าตัวการสำคัญที่ร้องจะฆ่าจะแกงเผ่าปีศาจคือสันตะสำนัก? เช่นนั้นคำกล่าวว่าศัตรูของสาธารณชนทั้งแผ่นดินใหญ่คล้ายจะเกินความเป็จริงไปสักหน่อย” โม่จ้านกดปลายคางเ้าแมวสีดำ “ความจริงข้าสงสัยมิน้อย แท้จริงแล้วเผ่าปีศาจทำสิ่งใด จึงทำให้สองอาณาจักรใหญ่ร่วมแรงกันกวาดล้างเผ่าพันธุ์”
เก๋อจือกดรอยบุ๋มตรงขมับแล้วหวนนึกกลับไป “เหล่านักกวีจำนวนมิน้อยต่างขับร้องบทเพลงที่นิยมอย่างแพร่หลายหลังกลับมาจากอาณาจักรไหลเต๋อ เอ่ยว่าบนหลังของเผ่าปีศาจมีปีกสองข้าง หางคล้ายแส้เหล็ก เขาทั้งสองข้างสามารถแทงทะลุเกราะอัศวิน เล็บมือสามารถขยี้หัวสัตว์ปีศาจจนแหลกละเอียด พวกมันมีนิสัยโเี้ป่าเถื่อน จะฉีกผู้ต่อต้านเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วกลืนลงท้อง จับบุรุษไปเป็ทาส ใช้กำลังข่มเหงสตรีและเห็นพวกนางเป็เครื่องมือให้กำเนิดทายาท หากมิใช่เพราะพลังธาตุแสงของสันตะสำนักกดข่มพวกเขาเอาไว้ เกรงว่าอาณาจักรไหลเต๋อจะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้านานแล้ว”
แม่เ้า เล่าได้น่าเหลือเชื่อมากทีเดียว หากเก่งกาจเพียงนั้นจริงยังจะถูกทำลายทั้งเผ่าหรืออย่างไร โม่จ้านเผลอยิ้มออกมาอย่างเงียบเชียบ อย่างน้อยยามนี้ตนก็ยังมองมิเห็นสิ่งใดที่ไร้เหตุผล
“ยังมีอีก ‘เท้าของพวกมันก้าวออกมาจากนรก เสียงดังัคำราม เปลวไฟลุกเป็เกลียว ทั้งร่างโชกเื ต่อให้เป็อัศวินที่เก่งกาจที่สุด หลังได้พบก็ยังตัวสั่นด้วยความขลาดกลัว’ กล่าวกันว่าเมื่อเด็กน้อยของอาณาจักรไหลเต๋อได้ยินว่าเผ่าปีศาจมาแล้วก็จะใกลัวจนฉี่รดกางเกง”
เก๋อจือขับร้องตามสิ่งที่จำได้
“‘บาทหลวงสละความศรัทธา อัศวินสละชีวิต เทพแห่งแสงใช้พลังเทพปกคลุมทั่วแผ่นดินใหญ่ จึงทำให้พวกเราห่างไกลจากขุมนรก’ อืม ความหมายโดยประมาณก็เท่านี้”
์ เขียนนิยายยังมิเกินจริงถึงเพียงนี้เลยเถอะ โม่จ้านรู้สึกเข็ดฟันอยู่พักหนึ่ง “เกินจริงมากเกินไปแล้วกระมัง เล่าเสียจนข้าอยากจะเห็นเสียแล้ว”
“คงต้องทำให้เ้าผิดหวังเสียแล้ว เมื่อมิกี่วันก่อนสันตะสำนักประกาศต่อแผ่นดินใหญ่ว่าจะกวาดล้างเผ่าปีศาจ ยามนี้ต่อให้เป็ปลารอดตาข่ายก็คงจะหนีไปซ่อนตัวแล้ว” เก๋อจือนับนิ้วมือให้โม่จ้านดู “เ้าลองดู เผ่าปีศาจวัยผู้ใหญ่ได้เงินห้าพันเหรียญทอง เผ่าปีศาจวัยเด็กได้รางวัลสองพันเหรียญทอง ผู้ที่ชี้เบาะแสแม่นยำจะได้เงินหกพันเหรียญทอง”
โม่จ้านอ้าปากค้าง “ข้าวมื้อนั้นที่เพิ่งกินเมื่อครู่ข้าจำได้ว่าเ้าจ่ายไป…สองเหรียญทอง?”
“ใช่แล้ว หากคำนวณจากค่าอาหารของครอบครัวธรรมดาที่เฉลี่ยแล้วมิถึงสองเหรียญเงิน เงินหกพันเหรียญทองพอให้กินข้าวได้สามสิบปี”
โม่จ้านเหงื่อเย็นโทรมกาย ต้นทุนการค้านี้ทุ่มไปได้มากพอดูทีเดียว เรียกได้ว่าเป็หนี้เื ภายหน้าควรจะหัวหดกลับไปหางานทำที่อาณาจักรข่ายเจ๋อดีกว่า
“เพียงแต่หากมีคนสามารถจับเผ่าปีศาจได้จริง ส่งให้สันตะสำนักเกรงว่าจะมิคุ้มเท่าใดนัก เขาของเผ่าปีศาจ เกล็ดและหางล้วนเป็ของหายากในการประมูล ภายหน้าจะต้องมีราคาประเมินค่ามิได้ แน่นอนว่าควรจะเก็บเอาไว้เอง โดยเฉพาะเขาที่สมบูรณ์ กระทั่งดยุคในเมืองหลวงก็ยังหาซื้อมิได้”
เก๋อจือจิ๊ปาก จากนั้นรวบนิ้วมือแต่ละนิ้วที่ถูกแบออกเข้าหากัน
“อัศวินกับเหล่าผู้มีตำแหน่งสูงศักดิ์ล้วนแต่เห็นของเหล่านี้เป็เครื่องประดับแสดงถึงความองอาจและน่าเกรงขามของตน หากฝังเลี่ยมบนอาวุธก็จะมีพลังยิ่งกว่าอัญมณีใช่หรือไม่”
โม่จ้านขมวดคิ้ว ตนนึกถึงช้างแอฟริกาที่ถูกไล่ล่าเพราะงาช้างแล้วรู้สึกมิค่อยสบายใจจึงเบี่ยงหัวข้อสนทนา
“…เช่นนั้นเ้ารู้หรือไม่ว่าเผ่าปีศาจถือกำเนิดขึ้นที่ใด?”
“อย่างไรก็มิใช่ที่นี่ของพวกข้าอย่างแน่นอน หากเ้าเอาจริงเอาจังกับคำถามนี้ เกรงว่าคงต้องไปถามผู้บัญชาการทัพระดับสูงเสียแล้ว อัศวินที่จักรวรรดิอันปู้เอ่อร์ส่งไปมีชีวิตรอดกลับมาเพียงมิกี่คน” เก๋อจือมองแสงตะวันนอกหน้าต่าง ก่อนหาวออกมาอย่างผ่อนคลาย “ควรไปได้แล้ว ควรรีบกลับเข้าตัวเมืองกินข้าวเย็น”
โม่จ้านขานรับหนึ่งเสียง ภายในหัวยังคงคิดเื่ที่เก๋อจือเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่