เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไร้การพยากรณ์อากาศ แม้แต่ฝนตกก็ยังไร้หนทางเตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ
ขณะโม่จ้านกำลังเกาหัวด้วยความขุ่นเคืองเพราะลืมซื้อร่ม เก๋อจือผู้ร่ำรวยและมากอิทธิพลจึงว่าจ้างจอมเวทธาตุลมผู้หนึ่งให้ติดตามตนทั้งสอง ตลอดทางร่ายเวทมิหยุด ทำให้หยาดฝนทั้งสี่ทิศถูกพัดปลิวออกไปจนหมด พวกเขามาถึงจุดวาร์ปอย่างสบายอารมณ์ โม่จ้านได้ไร้ความรู้สึกต่อเื่ที่เก๋อจือเห็นเงินมิเป็เงินไปเสียแล้ว
แน่นอน นี่เป็เพียงเพลงสลับฉากแบบสั้นๆ เท่านั้น
จอมเวทสีหน้าเคร่งขรึมมิกี่คนยกคทาเวทขึ้นแล้วพึมพำคาถา วงเวทย์ขนาดประมาณสิบหมี่ปรากฏสีเขียวจางๆ เมื่อเทียบกับโม่จ้านที่กายแข็งทื่อมิกล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน เก๋อจือกลับผ่อนคลายเสียเหลือเกิน กอดห่อขนมขบเคี้ยวกับเนื้อแห้งพลางขยับแก้มเคี้ยวอย่างมีความสุข
ผู้ที่ร่วมใช้จุดวาร์ปยังมีอีกสามคน คืออัศวินแต่งกายด้วยชุดอัศวินเต็มยศกับมารดาและบุตรสาวแต่งกายเรียบง่าย เดิมทีโม่จ้านคิดว่าคนทั้งสามคือครอบครัวเดียวกัน ทว่าพอตนได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสาม โม่จ้านพลันรู้สึกราวกับว่าตนบังเอิญพบเื่ใหญ่อันใดเข้าเสียแล้ว
“คุณผู้หญิงปู้หลันข่า พวกเราหวังว่าท่านจะยอมตอบรับคำขอของพวกเรา” อัศวินกำหอกเงินในมือแน่น ภายในหมวกเหล็กมีน้ำเสียงทุ้มต่ำลอดออกมา
“กระบี่กับหอกพวกเ้าจะเอาไปก็มิเป็ไร ทว่าอัญมณีแหล่งพลังเวทมิได้เด็ดขาด นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่สามีของข้าทิ้งไว้ให้” หญิงสาวกัดฟันพลางมองอัศวินตรงๆ น้ำเสียงเย็นเยียบอย่างมาก
ในขณะที่อัศวินเตรียมจะเอ่ยบางสิ่ง จุดวาร์ปพลันเริ่มทำงานเสียแล้ว
ความรู้สึกของการวาร์ปแปลกประหลาดอย่างยิ่ง วงเวทย์ใต้ฝ่าเท้ากับผนังที่ดูคล้ายจะเรืองแสงแต่มิโปร่งใส ทำให้โม่จ้านถึงกับรู้สึกเวียนหัวทันใด เมื่อเห็นโม่จ้านจดจ้องรอบกายมิหยุด เก๋อจือเคี้ยวเนื้อแห้งพร้อมกับเอ่ยเตือนหนึ่งประโยคอย่างมิใส่ใจนัก
“เ้าจะลองลูบดูก็ได้ มิแน่ว่าอาจจะถูกย้ายไปยังโลกต่างมิติสักแห่ง”
โม่จ้านเก็บสายตาอยากรู้อยากลองกลับมาทันที หากสามารถกลับไปได้เพราะวิธีนี้ตนก็ยินดีอย่างยิ่ง ทว่าเขาเองกลับมิค่อยจะวางใจในโชคชะตาของตัวเองสักเท่าใดนัก…
ตลอดทางเงียบสงัด โม่จ้านแอบมองสำรวจมารดาที่กำลังคุ้มครองบุตรสาว แม้บนกายของสตรีผู้นั้นจะแต่งกายเรียบง่าย กระนั้นกลับมิอาจปกปิดกลิ่นอายสูงศักดิ์ในทุกอิริยาบถได้ ครั้นนึกถึงคำพูดของอีกฝ่าย โม่จ้านเดาว่าสองแม่ลูกคงจะเป็แม่ม่าย เป็ภรรยาของอัศวินสูงศักดิ์สักท่าน หลังอัศวินตายลงในหน้าที่ ผู้ที่อยู่ในสังกัดกองอัศวินจึงมาเพื่อเอาของบางอย่างจากพวกนาง
เก๋อจือกลับเห็นเื่แปลกแล้วมิคิดว่าแปลก หลังปากเคี้ยวมิหยุดราวหนึ่งถ้วยชา [1] เขาพลันะโออกไปอย่างชำนาญทางก่อนที่กำแพงแสงจะเลือนหายไป โม่จ้านรีบก้าวตามไป ครั้นเมื่อหันกลับไปก็พบว่าอัศวินผู้นั้นเข้ามาหมายจะประคองคุณผู้หญิงปู้หลันข่า ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายผลักออก
โม่จ้านกำลังคิดว่าละครนองเือย่างผู้ดูแลเมืองไร้ศีลธรรมใช้กำลังปล้นชิงทรัพย์ประชาชนจะออกอากาศหรือไม่ กลับถูกเก๋อจือลากออกมาเสียจนโซเซ
“ไปได้แล้ว มิมีสิ่งใดน่าดู ดูจากท่าทางก็รู้แล้วว่าสตรีผู้นั้นมิใช่ตะเกียงไร้น้ำมันอันใด”
เก๋อจือเห็นโม่จ้านเดี๋ยวเดินเดี๋ยวหันกลับไปมองก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ตนพยายามลากโม่จ้านเดินไปทางประตูเมืองที่อยู่มิไกล
“แท้จริงแล้วอัศวินผู้สูงศักดิ์ส่วนใหญ่น่าสงสารมิน้อย ยามมีชีวิตอยู่ได้รับสิทธิพิเศษ ทว่าหากตายในหน้าที่ ยกเว้นการยึดคืนชุดเกราะและอาวุธที่จัดสรรให้ โดยทั่วไปแล้วมิมีผู้ใดสนใจเื่จ่ายเงินชดเชยให้ครอบครัวเสียด้วยซ้ำ”
“…ห๋า? น่าสงสารถึงเพียงนี้เชียว?” โม่จ้านแสดงออกว่ามิเข้าใจเป็อย่างยิ่ง “เช่นนั้นกองอัศวินมิกลายเป็คอกเลี้ยงหมูหรืออย่างไร? ล้วนแต่มิกล้าบุกเข้าไปโจมตีข้าศึก ยามพบเจอสิ่งใดยังถอยหลังหนี เช่นนั้นชนชั้นสูงจะเลี้ยงพวกเขาไว้ด้วยเหตุใด?”
เก๋อจือเลิกคิ้ว ก่อนโยนเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งเข้าปาก
“ดังนั้นยามนี้มีกิลด์ใหญ่หลายกิลด์ถือกำเนิดขึ้นมา อัศวินผู้สูงศักดิ์จึงตกต่ำลงแล้วกระมัง เพียงแต่กองอัศวินของราชวงศ์กับขุนนางใหญ่ก็คล้ายกับกองทัพ ยังคงมีความสามารถที่แข็งแกร่ง กระนั้นในความเห็นของนายน้อยอย่างข้า ขอเพียงให้เงินค่าเลี้ยงดูมากพอก็คงใช้ได้แล้ว”
“…ข้าดูแล้วคงมิเพียงเท่านี้กระมัง? กองอัศวินของราชวงศ์และขุนนางใหญ่มีตำแหน่งสูงต่ำอย่างชัดเจน ลู่ทางในการเลื่อนตำแหน่งมีมากมาย หากแม้นได้รับาเ็ก็ยังพอไปเป็ผู้ฝึกสอน หากเป็ขุนนางชั้นผู้น้อย เกรงว่าคงจะถูกไล่ออกจากกองบัญชาการเสียมากกว่า”
โม่จ้านกุมปลายคางตน ภายในหัวพยายามนึกภาพเค้าโครงแิต่อชนชั้นของโลกนี้
“โม่เจ๋อเอ่อร์ ข้าเริ่มจะเชื่อว่าเ้าเป็มือสังหารที่ขุนนางใหญ่เลี้ยงเอาไว้เสียแล้ว” เก๋อจือนึกสนใจ เขาโยนห่อถุงใส่เนื้อแห้งทิ้งแล้วล้วงเอาใบอนุญาตผ่านทางออกมาจากกระเป๋า “ลองบอกมาสิว่าเ้ายังรู้สิ่งใดอีกบ้าง?”
“เ้าอยากฟัง?” โม่จ้านเหลือบมองแผ่นกระดาษสีเหลืองที่ถูกประทับตราสีแดงในมือเก๋อจือ “ข้าคิดว่าครอบครัวยากจนที่มีบุตรหลายคนยินดีจะส่งบุตรเข้าไปฝึกฝนเสียมากกว่า เพราะหากคนเกิดมีหน้ามีตาขึ้นมา แม้นภายหน้าจะรบจนตัวตาย ก็ยังมีเงินชดเชยเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งยังมิต้องกังวลเื่ทายาทสืบสกุล”
สีหน้าสนใจใคร่รู้ของเก๋อจือเปลี่ยนเป็แข็งทื่อโดยพลัน เขาชะงักฝีเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้า ทว่าโม่จ้านกลับต่างจากเก๋อจือ ยังคงพูดน้ำไหลไฟดับต่อไป
“และบุตรที่ไม่เป็ที่โปรดปรานของชนชั้นสูงและไม่มีสิทธิ์สืบทอดวงศ์ตระกูลก็เป็ไปตามหลักการเดียวกัน คาดว่ากระทั่งราชวงศ์เองก็ไม่ต่างกันกระมัง ยังมี---เอ๋ คนล่ะ?”
เมื่อโม่จ้านหันหน้ากลับมาเห็นสีหน้าซับซ้อนของเก๋อจือก็ยักไหล่ ชูมือทั้งสองข้างไปทางอีกฝ่ายเพื่อแสดงเจตนา
“ล้วนเป็เพียงการคาดเดาของข้า หากเ้าคิดว่าข้าเป็จารชน ข้าเองก็คงหมดปัญญา”
“ข้าเพียงคิดว่าเ้าคุ้นเคยกับเหล่าชนชั้นสูงถึงเพียงนี้ ช่างมิเข้ากับการแต่งกายของเ้าเลยสักนิด” เก๋อจือเร่งฝีเท้าไล่ตามโม่จ้านมิกี่ก้าว ภายในดวงตาฉายแววหวาดกลัวไม่กี่ส่วน “หากจารชนโง่เขลาจนเสียสติผู้หนึ่งกล้าพูดเื่พวกนี้ต่อหน้าทายาทตระกูลขุนนางอย่างข้า คงจะถูกลากออกไปโบยเสียนานแล้ว”
โม่จ้านหัวเราะและยังเดินหน้าต่อไป เห็นทีอย่างน้อยตนพอจะเดาบางอย่างได้ถูกต้องเสียแล้ว
“เช่นนั้นในสายตาของเ้าคิดว่าเป็อย่างไร? ข้ามิได้ไปติดหนี้เ้าสักหน่อย อีกอย่าง ใบผ่านทางในมือของเ้า ข้าก็ใช้ได้ใช่หรือไม่?”
“เพราะคำพูดเมื่อครู่ของเ้าเหมือนกับพวกผู้เฒ่าในสถาบันศึกษาที่มีความรู้เกี่ยวกับขุนนางและราชวงศ์เป็อย่างยิ่ง วันทั้งวันเอาแต่พูดพร่ำกับเหล่าลูกศิษย์มิจบมิสิ้น”
เก๋อจือที่สีหน้าฉายเเววรังเกียจส่งใบผ่านทางให้ทหารเฝ้าประตู จากนั้นชี้ไปทางโม่จ้าน
“คนผู้นี้คือทหารคนสนิทของตระกูลข้า มาส่งข้าเข้าประเมิน”
ทหารเฝ้าประตูพูดจาเอื่อยเฉื่อยขอบตาดำคล้ำ ถึงขั้นมิแม้แต่จะเงยหน้าก็โบกมือให้โม่จ้านเข้าไป
...นี่คืออาการหลังจากอดหลับฝึกเซียนงั้นหรือ? [2] โม่จ้านขมวดคิ้ว จากนั้นกระซิบเสียงเบากับเก๋อจือที่อยู่ด้านข้าง
“ข้าว่าผู้คุมกันเมืองนี้ดูค่อนข้างอ่อนแอเกินไปกระมัง...”
“ฮ่าๆๆ...ทำให้ผู้มาเยือนต้องพบเจอเื่น่าขบขันแล้ว ขอให้ข้าได้อธิบาย”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงบุรุษแปลกหน้าดังขึ้นด้านข้าง โม่จ้านถึงกับสะดุ้งใ เมื่อหันหน้าไปก็พบว่าเก๋อจือกำลังทักทายคนผู้นั้นอยู่
“ท่านอาหวาเอ่อร์ สวัสดียามเช้าขอรับ”
“สวัสดียามเช้าคุณชายน้อยเก๋อจือ คล้ายกับสหายของเ้าจะมิค่อยเข้าใจเมืองเฟยปู้หย่าเท่าใดนัก” ท่านลุงวัยกลางคนผมสีดำส่งยิ้มบางอย่างสุภาพให้โม่จ้าน
“อืม เขาเป็คนป่า หากท่านมีเวลาก็พาเขาไปเดินเล่นสักหน่อย หากยุ่งอยู่ก็เอาเขาไปทิ้งไว้ที่ห้องพักในโรงเตี๊ยมรอข้าประเมินเสร็จ” เก๋อจือกวัดแกว่งคทาสั้นในมือ จากนั้นวิ่งห่างออกไป “โม่เจ๋อเอ่อร์ข้าไปก่อน เ้าตามท่านอาหวาเอ่อร์ไป อย่าได้พลัดหลงเสียเล่า”
“สอบก็พยายามเข้า”
โม่จ้านยกยิ้มพลางโบกมือ มองเงาของเด็กหนุ่มหายลับไปในกลุ่มคน หลังหันกลับมา ตนจึงมองพิจารณาบุรุษวัยกลางคนแต่งกายดูดีตรงหน้า
“ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์ เห็นทีท่านจะมิค่อยเข้าใจสถานการณ์ในเมืองเฟยปู้หย่าจริงๆ ”
ท่านลุงนามว่าหวาเอ่อร์แต่งกายเช่นพ่อค้า ทว่าท่ายืนหลังตรงกับวิธีพูดจานอบน้อมกลับทำให้โม่จ้านคิดว่าเขาเป็พ่อบ้านคนหนึ่ง
“ระหว่างการประเมินจอมเวท จอมเวทระดับสูงจำนวนมิน้อยของแผ่นดินใหญ่จะกลับกิลด์เพื่อรับหน้าที่คุมสอบ ถึงขั้นทำการประเมินผู้เข้าสอบด้วยตนเอง ศัตรูที่ฉลาดหลักแหลมจะมิมีทางเลือกลงมือในเวลาเช่นนี้”
เพราะกลัวว่าจะสร้างความโกรธแค้นแก่มวลชนและถูกล้อมทุบตีกระมัง ในใจของโม่จ้านเข้าใจเช่นนี้ เขาพยักหน้ารับ
“ท่าน้าให้ข้าพาไปทำความคุ้นเคยกับเมืองเฟยปู้หย่าสักหน่อยหรือไม่? เก๋อจือน้อยได้ฝากท่านไว้กับข้าอย่างเป็ทางการแล้ว” ท่านลุงยังคงคลี่ยิ้มอย่างมืออาชีพ
“เช่นนั้นก็รบกวนแล้วขอรับ ถึงอย่างไรข้าก็มิได้มีธุระอันใด” โม่จ้านแบมือออกมาอย่างไร้กังวล ชี้นิ้วไปทางโรงสุราเล็กที่อยู่ไกลๆ “ท่านคงจะมีเื่มากมายอยากพูดกับข้าใช่หรือไม่? เพราะถึงอย่างไรข้าก็เป็คนน่าสงสัยที่ปรากฏตัวข้างกายคุณชายน้อยเก๋อจือ”
“ท่านพูดออกมาตามตรงเช่นนี้ กลับทำให้ข้ารู้สึกเขินอายยิ่งนัก” หวาเอ่อร์คลี่ยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นผายมือเป็สัญญาณเชื้อเชิญ
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งถ้วยชา คือ เวลาประมาณ 10นาที หรือ 15 นาที
[2] อดหลับฝึกเซียน 熬夜修仙 คือคำพูดหยอกล้อโดยบอกว่าการอดนอนไม่ใช่การอดนอน ศัพท์ใหม่ที่ใช้คือคำว่าฝึกเซียน หมายความว่าการอดนอนไม่ทำให้เสียชีวิตกะทันหัน แต่เป็การเพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์