“เอาเถิด ข้าเชื่อแล้วว่าเ้ามิใช่อัศวินแห่งเชื้อพระวงศ์” เก๋อจือมองโม่จ้านอย่างใช้ความคิด
“คงจะเป็มือสังหารที่ถูกฝึกฝนมาเป็อย่างดีั้แ่เด็กของตระกูลสูงศักดิ์ หลังจากนั้นคงหนีออกมาแล้วซ่อนตัวอยู่ในป่านับสิบปี”
“...ถือเสียว่าข้าเป็เช่นนั้นก็แล้วกัน ขอคุณชายน้อยเก๋อจือได้โปรดช่วยให้มือสังหารจากป่าเขาได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยเถอะ” โม่จ้านถึงกับหมดคำจะพูดไปชั่วขณะหนึ่ง
ภายใต้การอธิบายของเก๋อจือที่มองมาด้วยสายตาสงสารคนบ้านนอกและมีน้ำอดน้ำทน มิใช่เื่ง่ายกว่าโม่จ้านจะเข้าใจว่าคำพูดเมื่อครู่ของตนนั้นฟังดูดึกดำบรรพ์มากเพียงใด
ไม่ผิดที่ทหารรับจ้างเป็อาชีพหนึ่ง ทว่าก็มิได้อยู่ภายใต้กิลด์อาชีพแต่อย่างใด หากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย สถานะของทหารรับจ้างก็คือ ‘เครือข่าย’ สามารถลงทะเบียนและรับภารกิจได้ในทุกกิลด์อาชีพ ถึงแม้ว่าในโลกนี้กิลด์อาชีพจะยังคงมีชื่อเสียงของสายอาชีพนั้นๆ อยู่ ทว่าแท้จริงแล้วยังมีความสามารถอื่นนอกเหนือจากสายอาชีพเดิม เนื่องจากได้กลายเป็สโมสรรวบรวมงานต่างๆ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารไปตั้งนานแล้ว กระนั้นด้วยประวัติความเป็มา จึงทำให้ยังมีผู้ประกอบอาชีพตามสายงานมากกว่าอยู่สักหน่อยก็เท่านั้น
เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือเมื่อพวกทหารรับจ้างรวมตัวกันเป็กลุ่ม จะต้องเลือกอยู่ภายใต้กิลด์ใดกิลด์หนึ่ง จำนวนสมาชิกและความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างจะส่งผลอย่างมากต่อศักยภาพและความแข็งแกร่งของกิลด์
กิลด์ทหารรับจ้างกับกิลด์นักรบเป็พันธมิตรกัน มีภารกิจหลากหลายและพลังการต่อสู้ที่มิเลวทีเดียว กิลด์จอมเวทกับกิลด์นักดาบพเนจรเป็พันธมิตรกัน ถึงแม้จำนวนสมาชิกจะน้อยแต่โดยเฉลี่ยแล้วแข็งแกร่ง ราชอาณาจักรยิ่งใหญ่ทั้งสองอย่างอันปู้เอ่อร์และข่ายเจ๋อล้วนแต่มีกิลด์ทั้งสี่ มีเพียงกิลด์สัตว์กลายร่างที่แยกตัวออกไปและอยู่ภายใต้ราชอาณาจักรข่ายเจ๋อเท่านั้น จำนวนสมาชิกที่มากคือข้อดีที่สุด ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวคงมีเพียงอาณาจักรไหลเต๋อแห่งศาสนา พวกเขาให้สวัสดิการที่ดีเพื่อดึงดูดและจอมเวทธาตุแสงแทบจะทั้งหมดเอาไว้ นอกจากนั้นยังเชื่อในเทพเ้าแห่งแสงโดยมิมีข้อยกเว้น
“ดังนั้นกลุ่มเล็กๆ ที่ออกไปรับภารกิจ หากมิไปหาหมอราคาถูกก็ต้องจ่ายราคาสูงเพื่อไปจ้างบาทหลวง” เก๋อจือแบมือยักไหล่ “หมอยังพอรักษาอาการาเ็เล็กๆ น้อยๆ แต่หากเป็อาการาเ็สาหัสก็ยังต้องไปพบบาทหลวง ช่วยมิได้ ผู้ใดใช้ให้ผู้อื่นมีเงินกันเล่า ดึงดูดเมล็ดพันธุ์ดีของจอมเวทธาตุแสงไปเสียหมด”
ดึงดูด? โม่จ้านแค่นหัวเราะในใจ หากจะพูดให้ถูก เรียกว่าคนค้ามนุษย์ก็ยังมิเกินควรนัก
“เ้าจะบอกว่าข้าสามารถลงทะเบียนในฐานะทหารรับจ้างภายใต้กิลด์นักดาบพเนจร จากนั้นจึงค่อยวิ่งไปรับภารกิจที่กิลด์จอมเวทได้หรือ?”
เก๋อจือพยักหน้า ทว่าสีหน้ากลับฉายแววค่อนข้างลุ่มลึก
“ตามหลักแล้วมิมีปัญหา แต่คาดว่าไปที่นั่นก็คงมิได้รับภารกิจที่ดีอันใด เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าที่มามอบหมายภารกิจให้กิลด์จอมเวท โดยพื้นฐานล้วนมุ่งเป้าไปที่จอมเวทกลุ่มใหญ่ ซึ่งยามนี้เ้ายังมิมีกระทั่งกลุ่มเล็กๆ ระดับความยากจึงมีมากเกินไป”
ในใจของโม่จ้านเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว หลังมีสถานะเป็ทหารรับจ้าง ถึงตอนนั้นตนค่อยแอบไปรับภารกิจที่กิลด์ทหารรับจ้างก็ได้มิใช่หรือ
“ข้ามีหนึ่งคำถาม” โม่จ้านหันกายมา จ้องมองเก๋อจือคล้ายมิได้ใส่ใจ
“ในเมื่อสามารถลงทะเบียนกับทุกกิลด์ เช่นนั้นเหตุใดเ้าที่ดูคล้ายจะเป็คนใหญ่คนโตของกิลด์จอมเวทจึงได้เอาแต่แนะนำให้ข้าไปลงทะเบียนที่กิลด์นักดาบพเนจรเล่า?”
เก๋อจือลูบคทาสั้นในมือ ทำสีหน้าท่าทางคล้ายมิมีสิ่งใดสำคัญ
“เพราะหากไปกิลด์จอมเวท ที่นั่นแทบจะทุกคนต่างก็รู้จักข้า ข้ามิอยากตอบคำถามไปมา การลงทะเบียนทหารรับจ้างจะต้องกรอกข้อมูลตัวตนตามความเป็จริง หากเ้าบอกว่าตนเองมาจากแดนไกล กิลด์จะต้องส่งคนออกไปตรวจสอบแน่นอน เช่นนั้นมิเท่ากับเผยพิรุธงั้นหรือ? กิลด์จอมเวทกับกิลด์นักดาบพเนจรเป็พันธมิตรกัน หากข้าไปกับเ้า ด้วยฐานะของข้านั้นเพียงเอ่ยหนึ่งประโยคเป็พอ”
โม่จ้านคลี่ยิ้มบาง เขามองเด็กหนุ่มที่กำลังทำท่าทางพึงพอใจ ความรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของเขาถึงกับเหนือคำบรรยาย “แล้วกิลด์นักดาบพเนจรจะให้ผลประโยชน์อันใดแก่เ้า?”
“อย่างน้อยก็ต้องลูกแมวเพลิงสักตัว--- มิใช่ เ้ารู้ได้อย่างไร!”
เมื่อมองสีหน้าคล้ายยกยิ้มแต่ไม่ยิ้มของโม่จ้าน เก๋อจือที่เผลอพลั้งปากนึกอยากจะตบหน้าตนเองแรงๆ สักหลายฉาด
“เอาล่ะๆ ถึงอย่างไรหากข้าทำภารกิจสำเร็จ ผู้แนะนำย่อมต้องมีส่วนแบ่งใช่หรือไม่?”
โม่จ้านอดหัวเราะพลางส่ายหน้ามิได้ ผู้แนะนำลงทะเบียนได้เงินรางวัล ธรรมชาติของมนุษย์มิว่าอยู่ที่ใดก็มิมีทางเปลี่ยน
“หากข้าเกิดมีชื่อเสียงขึ้นมา กิลด์นักดาบพเนจรก็ยังโอ้อวดได้ว่า ‘สายตาของเขาเฉียบแหลมที่เลือกกิลด์นักดาบพเนจร’ ใช่หรือไม่?”
ร่างทั้งร่างของเก๋อจือแข็งทื่อเสียแล้ว “เ้าเ้าเ้ารู้ทั้งหมดได้อย่างไร เ้ามิใช่คนป่าหรอกรึ?”
โม่จ้านตบบ่าเก๋อจืออย่างแฝงความนัย จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไป
“ช่วยเหลือผู้อื่นโดยมิมีข้อแม้ กระทั่งคนป่ายังรู้ว่าเบื้องลึกเื้ัจะต้องมีสิ่งใดเป็แน่”
ขณะมองโม่จ้านเดินจากไป เก๋อจือที่สีหน้าลุกลี้ลุกลนร้องะโเสียงดังว่า “รอก่อน เ้าจะไปที่ใด! หากมิมีข้าก็มิมีผู้ใดยืนยันตัวตนให้เ้านะ!”
“ข้า ไป กิน ข้าว!” โม่จ้านหันกลับมาอย่างจนปัญญา “หรือว่าเ้าจะเลี้ยงข้าวข้า?”
เก๋อจือนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเขินอาย “ใช่ ข้าจะเลี้ยงข้าวเ้า!”
....
โม่จ้านมองจานเปล่าสิบกว่าใบตรงหน้าด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ตนเป็พวกอรรถประโยชน์นิยม รู้สึกอ่อนไหวกับการสิ้นเปลืองอาหารอย่างมาก การที่เก๋อจือผู้อยู่ตรงหน้าเขี่ยอาหารเพียงมิกี่คำก็เช็ดปากแล้ววางจานลง ถึงกับกระตุ้นความอยากเทศนาของโม่จ้าน ทว่าหลังจากตนเริ่มก้มหน้าก้มตากินข้าว โม่จ้านพลันพบความจริงหนึ่งประการที่น่าหวาดกลัว --- คล้ายกับกระเพาะของตนจะกินมิมีวันอิ่มอย่างไรอย่างนั้น
ยามเร่งเดินทางกับป๋อเก๋อ ทุกๆ มื้อจะกินข้าวในปริมาณของคนโตสองคน ดังนั้นตนจึงมิได้รู้สึกสงสัยอันใด ทว่ายามนี้เมื่อโม่จ้านมองจานที่เปลี่ยนเป็ว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ ตนก็เริ่มเก็บสีหน้ามิอยู่เสียแล้ว
...ข้า ข้ามิอาจควบคุมมือทั้งสองข้างและปากของตนเองได้
ฝีมือการทำอาหารของโรงเตี๊ยมเล็กนอกเมืองมิเลวทีเดียว เดิมทีโม่จ้านเพียงอยากจะลองดูว่ากระเพาะของตนจะสามารถบรรจุได้มากน้อยเพียงใด ผลลัพธ์ที่ได้แม้จะลองแบบมิจริงจัง แต่คล้ายกับข้าวปลาอาหารบนโต๊ะจะถูกกินจนเกลี้ยงเสียแล้ว สถานการณ์เช่นนี้นับว่าแปลกประหลาดเป็อย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่รับรู้ได้ว่าตนเองอิ่มแล้ว แต่กระนั้นกลับมิได้ส่งผลต่อความอยากอาหาร
โม่จ้านเงยหน้าอย่างประหม่าอยู่บ้าง ครั้นเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ายังคงรักษากิริยาสง่างาม ทว่าใบหน้ากลับกระตุกมิยอมหยุด--- เก๋อจือที่เดิมทีคิดอยากจะแสดงตัวเป็ผู้ร่ำรวยต่อหน้า ‘คนป่า’ สักหน่อยเพื่อสนองความฟุ้งเฟ้ออันจอมปลอม ยามนี้เริ่มสงสัยแล้วว่าโม่จ้านมีสายเืของเผ่าสัตว์กลายร่างใช่หรือไม่ นึกมิถึงว่าจะสามารถยัดอาหารสำหรับหกเจ็ดคนเข้าไปในปากได้
สายตาของเก๋อจือเบนไปด้านข้าง แสร้งทำราวกับมองมิเห็น โม่จ้านพลันตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ยังคงหน้าด้านดึงอาหารจานสุดท้ายมาตรงหน้า ก่อนจะกินอาหารที่อยู่ด้านในจนหมดภายในสองสามคำ โต๊ะกลมขนาดกลางถูกวางไว้ด้วยถ้วยจานจนเต็ม ที่สำคัญแต่ละจานยังถูกกินจนเกลี้ยง
“...ขอบคุณมากที่ต้อนรับเป็อย่างดี” โม่จ้านเช็ดปาก ตามด้วยฝืนส่งยิ้มออกมา
“อ่า อ่า เ้ากินอิ่มก็ดีแล้ว” เก๋อจือหยัดกายลุกขึ้นและพยายามฝืนยิ้มออกมาเช่นกัน
“โอกาสหน้าเชิญใหม่เ้าค่ะ” ลูกจ้างหญิงยกยิ้มตาหยีอย่างเป็มืออาชีพ คลี่ยิ้มส่งคนทั้งสองออกจากร้านั้แ่ต้นจนจบ ครั้นหันกลับมากลับเผยสีหน้าซับซ้อนมิน้อยทีเดียว
อีกฝั่งหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งกำลังใคร่ครวญถึงชาติกำเนิดของอีกคน อีกฝ่ายหนึ่งก็ถูกปริมาณการกินอาหารของตนทำให้ใเช่นกัน คนทั้งสองต่างคนต่างเดินด้วยท่าทางที่แฝงความคิดที่มิอาจเปิดเผยได้ขณะเดินออกจากร้าน
บรรยากาศหลังเวลาอาหารเที่ยงมิเลว เก๋อจือเดินอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทาง โม่จ้านเดินตามอยู่ด้านหลังโดยมิได้สนใจสถานการณ์รอบตัว หลังลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน จึงตัดสินใจที่จะเอ่ยปากออกไป
“...เ้าจะพาข้าไปลงทะเบียนเมื่อใด?”
“ดูเ้าร้อนรนถึงเพียงนั้น ขาดแคลนเงินถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” เก๋อจือแคะหูพลางทำสีหน้ารังเกียจ “วันนี้เป็วันหยุด มีผู้เข้างานเพียงมิกี่คน มิเพียงแต่หยุดการลงทะเบียน กระทั่งภารกิจยังมีแต่ลงประกาศมิมีการรับภารกิจ ร้อนใจไปก็มิมีประโยชน์”
โม่จ้านเงยหน้าพลางเอามือทั้งสองข้างพาดหลังคอ “เ้ามิได้บอกว่าอีกหนึ่งวันจะไปเข้าร่วมการประเมินงั้นหรือ ข้าเกรงว่าจะเร่งเดินทางมิทัน”
เก๋อจือยินดีเสียแล้ว “เช่นนั้นรอข้าประเมินเสร็จแล้วค่อยไปเถิด อยู่ในเขตของอาณาจักรมีสิ่งใดให้ไปมิทัน ใช้จุดวาร์ปก็ไปถึงแล้ว”
...จุดวาร์ป? มันอันใดอีกล่ะนั่น
โม่จ้านเอ่ยหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “จุดวาร์ป...แพงมากกระมัง?”
เก๋อจือทุบอกตนเองอย่างแรง ท่าทางคล้ายไก่น้อยตัวผู้ที่เดินยกเท้าสูงอย่างมั่นอกมั่นใจ “ข้าคือบุตรชายของหัวหน้าสาขาย่อยของกิลด์จอมเวท ท่านพ่อมีบรรดาศักดิ์เป็ถึงลอร์ด ข้า้าจะใช้จุดวาร์ป ผู้ใดจะกล้ามิไว้หน้าข้า!”
โม่จ้านเบะปากด้วยความอิจฉา ใช่ๆๆ ลูกคนรวยทั้งยังเป็ลูกข้าราชการคิดจะทำสิ่งใดล้วนได้ทั้งสิ้น
“เช่นนั้นบ่ายวันนี้พวกเรากลับโรงเตี๊ยมใช่หรือไม่ นอนจนถึงวันพรุ่งนี้?”
“ไม่ ข้าจะพาเ้าไปสถานที่ดีๆ ” เก๋อจือขยิบตาให้โม่จ้าน ก่อนจะลากเขาไปยังถนนใหญ่นอกเมือง