ในตอนนั้น ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังร่างเงาที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
หลิ่วเฟย สาวงามที่กำลังเดินเข้ามา หากไม่ใช่หลิ่วเฟยแล้วจะเป็ใคร?
แต่สิ่งที่น่าใก็คือหลิ่วเฟยไม่ได้มาแค่คนเดียว ยังมีผู้ชายคนหนึ่งเดินนำหน้ามาด้วย ซึ่งคนคนนั้นก็คือ หลินเฟิง แน่นอนว่าผู้คนมากมายล้วนเคยเห็นหลินเฟิงมาก่อน!!!
และเสียงที่ขัดจังหวะเหวินเริ่นเหยียนเมื่อครู่ ก็คือเสียงของหลินเฟิงนั่นเอง
“หรือว่าหลินเฟิงเป็คนรักของหลิ่วเฟย?”
เมื่อทุกคนนึกถึงคำพูดของหานหมาน ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา พลางชำเลืองมองปฏิกิริยาของเหวินเริ่นเหยียน
สีหน้าของเหวินเริ่นเหยียนยังคงสงบนิ่ง แต่ทว่าดวงตาสีฟ้าเข้มของเขากลับฉายแววเ็าขึ้นมา
“เ้าคือหลินเฟิง?” เหวินเริ่นเหยียนมองหลินเฟิงด้วยสายตาของผู้ที่เหนือกว่า ขณะที่เอ่ยปากถามอย่างเ็า
แต่สิ่งที่ทำให้เหวินเริ่นเหยียนประหลาดใจก็คือ หลินเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจกับเขา เพียงแค่เหลือบตามองและหันกลับไปดูหานหมานต่อ
“เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม?”
“แค่าเ็เล็กน้อยเท่านั้น อย่าได้กังวล” หานหมานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“อย่าได้ทำอะไรวู่วาม และหัดพูดให้น้อยลงหน่อย ข้ายังไม่อยากเห็นเ้าตายนะ” หลินเฟิงจ้องหานหมานเขม็งขณะกล่าวเตือน หมอนี่เป็ตัวก่อปัญหาจริงๆ ถึงได้ป่าวประกาศออกไปว่าหลิ่วเฟยเป็ผู้หญิงของเขา ซึ่งมันทำให้นางอับอายและโกรธอย่างมาก ดูได้จากจิตสังหารที่ในดวงตาของนาง
“ก็ไอ้บ้าที่อยู่ตรงนั้นมันประกาศกับทุกคนว่าหลิ่วเฟยเป็ผู้หญิงของมัน” หานหมานกล่าวด้วยความโกรธ ทำให้เพลิงโทสะของหลิ่วเฟยปะทุขึ้นมา นางตวัดสายตาไปมองเหวินเริ่นเหยียนทันที
เหวินเริ่นเหยียนขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าศิษย์ที่เพิ่งบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาจะกล้าเมินเฉยต่อเขา ในนิกายหยุนไห่นี้ไม่มีใครกล้าทำตัวจองหองต่อหน้าเขา แม้แต่ผู้าุโเองก็ยังต้องไว้หน้าเขาอยู่หลายส่วน
“ข้ากำลังถามเ้า เ้าไม่ได้ยินหรือ?”
สิ้นเสียงของเหวินเริ่นเหยียน ทันใดนั้นอุณหภูมิภายในถ้ำก็พลันหนาวเหน็บขึ้นมา ทุกคนลอบสวดมนต์ให้หลินเฟิงอยู่ในใจ ชายหนุ่มคนนี้สามารถควบคุมอำนาจของดาบได้ ทั้งยังมีพร์ที่ไม่ธรรมดา แต่นั่นก็ยังเทียบกับเหวินเริ่นเหยียนไม่ได้ ดูเหมือนว่าเหวินเริ่นเหยียน้าที่จะสั่งสอนเขาแน่ๆ
“เขาจะพูดอย่างไรก็ไม่ต้องไปสนใจเขา นั่นมันปากของเขา เขาจะพูดอะไรก็ได้ เ้าไม่ต้องไปหยุดเขาหรอก” หลินเฟิงยังคงกล่าวกับหานหมาน และเมินเฉยต่อเหวินเริ่นเหยียน “อีกอย่าง เขาบอกว่าหลิ่วเฟยเป็ผู้หญิงของเขา แล้วเ้าจะกังวลไปทำไม???”
“…” หานหมานมองหลินเฟิงอย่างตกตะลึง นี่… นี่ข้าทำเพื่อเ้านะ!!! ทำไมเ้าถึงเมินเฉยต่อความภักดีของข้าล่ะ?!
“ข้า… กำลัง… ถาม… เ้า…อยู่”
เหวินเริ่นเหยียนกล่าวเน้นคำพูดอย่างช้าๆ ขณะปลดปล่อยลมปราณอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ต่อหน้าผู้คนมากมายหลินเฟิงก็ยังไม่สนใจเขา มันทำให้เขาเสียหน้า
“ข้าฟังอยู่” หลินเฟิงตอบกลับและหันไปมองเหวินเริ่นเหยียน “เ้ากำลังถามข้าว่า ข้าคือหลินเฟิงใช่หรือไม่ ถูกไหม?”
“หึ ก็ไม่ได้หูหนวกนี่” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวอย่างเ็า
“ในเมื่อเ้าถามว่าข้าคือหลินเฟิงหรือไม่? แสดงว่าเ้าไม่รู้จักข้าใช่ไหม?” หลินเฟิงถามอีกครั้ง
เหวินเริ่นเหยียนมองหลินเฟิงเหมือนมองไอ้โง่คนหนึ่ง สมองของมันมีปัญหาหรือเปล่า?
“เหลวไหล”
“เหลวไหล? ก็อาจจะ ในเมื่อพวกเราไม่รู้จักกัน แล้วทำไมข้าถึงต้องตอบคำถามเ้า?”
หลินเฟิงมองเหวินเริ่นเหยียนและกล่าวเพิ่มไปว่า “หรือเ้ามีปัญหา?”
จบประโยคนี้ ลมปราณอันเฉียบคมก็พวยพุ่งออกมาจากร่างอย่างรวดเร็ว และปกคลุมไปทั่วอากาศ
บ้าไปแล้ว!
ทุกคนจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างตกตะลึง หมอนี่กล้ายั่วยุเหวินเริ่นเหยียนช่างไม่รักชีวิตเอาเสียเลย
ใบหน้าของเหวินเริ่นเหยียนเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวสลับไปมาดูน่าเกลียด นี่เป็ครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดกับเขาแบบนี้
“หลินเฟิง เ้าคุยโวโอ้อวดเกินไปแล้ว! ถึงขนาดกล้าหาเื่เหวินเริ่นเหยียนเช่นนี้ เ้าอยากตายหรืออย่างไร!!!” เฉินซิงก้าวเท้าออกมาขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิง
“เฉินซิง อดีตอันดับหนึ่งของศิษย์สายนอกผู้จิติญญาแห่งศิลา อัจฉริยะที่ใครๆ ก็รู้จัก... แต่เมื่อไม่นานมานี้เ้าได้พ่ายแพ้ให้กับหลินเชียน ศิษย์จากนิกายเฮ่าเยว่อย่างน่าสมเพช ทั้งๆ ที่นางเพิ่งจะทะลวงสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 ในสายตาของข้า การที่เ้าใช้คำว่า ‘อัจฉริยะ’ นับว่าเป็การดูถูกคำคำนี้เสียจริง!!!”
หลินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็ทำให้เฉินซิงอับอายและโกรธเกรี้ยวเป็อย่างมาก เื่นั้นนับว่าเป็แผลใจสำหรับเขา
“หมอนี่ช่างปากร้ายนัก” เมื่อหลิ่วเฟยได้ฟังประโยคที่หลินเฟิงพูดออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะนับถือ ฝีปากของหลินเฟิงช่างร้ายกาจยิ่งนัก ไม่เพียงแค่ยั่วโมโหเหวินเริ่นเหยียนเท่านั้น แต่ยังไปกระตุ้นความโกรธของเฉินซิงได้
“เ้าบอกว่าข้าเป็แค่ใครสักคนหนึ่งที่เพิ่งบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 ได้ ดี! ในเมื่อเ้ากล้าเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของข้า งั้นใครสักคนหนึ่งที่เ้าว่าก็อยากจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเ้าเช่นกัน!!! เ้ากล้าขึ้นไปประลองกับข้าบนลานประลองเป็ตาย ในหุบเขาเมฆพายุหรือไม่?”
เ้ากล้าขึ้นไปประลองกับข้าบนลานประลองเป็ตาย ในหุบเขาเมฆพายุหรือไม่!?
จบประโยคนี้ภายในถ้ำก็พลันเงียบสงบขึ้นมา หลินเฟิงกำลังขอท้าประลองกับเฉินซิง และยังเป็การประลองที่เดิมพันด้วยชีวิต!!!
เฉินซิงรู้สึกได้ถึงลมปราณอันแข็งแกร่งของหลินเฟิง ประกอบกับความมั่นใจในน้ำเสียงที่พูด ทำให้เฉินซิงเกิดความหวั่นไหวขึ้นมา เขาผู้นี้ได้บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 และมีรายชื่อติดอันดับอยู่บนผนังหิน แต่หลินเฟิงพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้ความมั่นใจของเขาสั่นคลอนอย่างรุนแรง
บนลานประลองเป็ตาย กล้าพอหรือไม่?
เฉินซิงพยายามทำตัวผ่อนคลาย แต่หัวใจของเขากลับเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความกลัว
“มันไปเอาความมั่นใจเ่าั้มาจากไหนกัน?! หรือว่าอำนาจของดาบอย่างนั้นหรือ” เฉินซิงคิดในใจ
“ถึงแม้ว่าอำนาจของดาบจะแข็งแกร่ง แต่ยู่ฮ่าวก็ไม่ได้อ่อนแอเลย ทั้งๆ ที่เป็แบบนั้น ยู่ฮ่าวกลับตายลงในดาบเดียว แสดงว่าต่อให้ยู่ฮ่าวแข็งแกร่งกว่าปกติแต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็เหมือนเดิม”
“อีกอย่าง ข้าไม่รู้ว่าเขาได้ใช้พลังทั้งหมดในการสังหารยู่ฮ่าวหรือไม่ ถ้าหาก… ถ้าหากไม่ใช่ แสดงว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ แล้วแบบนี้ข้าจะต่อกรกับเขาได้หรือ?”
ความคิดของเฉินซิงกำลังตีกันอยู่ในใจ ทำให้สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวขึ้นมา เขาเคยแพ้ไปแล้วครั้งหนึ่ง และแพ้ให้กับหลินเชียนต่อหน้าสาธารณชน ดังนั้นเขาจะแพ้อีกไม่ได้
“น่าขัน นี่นะเหรออดีตอันดับหนึ่งของศิษย์สายนอก? พอก้าวเข้ามาเป็ศิษย์สายใน ก็ยอมเป็ขี้ข้าของคนอื่น เพียงแค่จุดนี้เ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะกลายเป็ผู้แข็งแกร่งได้แล้ว ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงใจของเขาต้องมั่นคงแน่วแน่ และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามความแข็งแกร่งบนเส้นทางแห่งนักรบ แต่สำหรับคนที่เอาแต่ประจบประแจงคนอื่นเช่นเ้า ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หรอก”
หลินเฟิงจ้องมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเฉินซิง ก่อนจะปล่อยให้ลมปราณอันแข็งแกร่งพุ่งตรงไปยังเฉินซิงและกดทับร่างกายของเขา หลินเฟิงก้าวเท้าไปหาเขาอย่างช้าๆ ทีละก้าวๆ แม้จะเป็เพียงก้าวเล็กๆ แต่เฉินซิงกลับตื่นตระหนกขึ้นมา
“ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ใจของเขาต้องมั่นคงแน่วแน่ และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามความแข็งแกร่งบนเส้นทางแห่งนักรบ” ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเฉินซิง และค่อยๆ กัดกร่อนความเชื่อมั่นของเขา ไม่ผิด เมื่อก่อนเขาเคยทุ่มเทอย่างหนักในการบ่มเพาะและฝึกฝน จนทำให้คนอื่นๆ เรียกขานเขาว่า ‘อัจฉริยะ’ แต่หลังจากที่เขาเลือกที่จะติดตามเหวินเริ่นเหยียน เพียงจุดนี้ก็เป็ข้อพิสูจน์ได้แล้วว่าเขายอมแพ้ต่อเหวินเริ่นเหยียน ทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะลดลงเป็อย่างมาก มิหนำซ้ำความมุ่งมั่นในอดีตก็ค่อยๆ หายไป
เขาจะสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีและความมั่นใจในอดีตกลับมาได้หรือไม่? ไม่ใช่แค่เฉินซิงคนเดียวที่ได้รับผลกระทบจากคำพูดของหลินเฟิง ศิษย์คนอื่นๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มคิดทบทวนอยู่ในใจเงียบๆ
“เขาพูดได้ดี” ในใจของหลิ่วเฟยเองก็ได้รับผลกระทบจากคำพูดของหลินเฟิงเช่นกัน อัจฉริยะที่แท้จริงมีใครบ้างที่ใจร้อน บ้าอำนาจ ทำตัวตามอำเภอใจและหยิ่งผยอง??? คนแบบนั้นไม่ได้เรียกว่าอัจฉริยะ แต่เป็คนชั้นต่ำต่างหาก
“เฉินซิง เ้ามันก็แค่คนชั้นต่ำที่คอยกระดิกหางให้เ้านาย และพูดจาโอ้อวดไปวันๆ ตัวเ้าไร้ซึ่งจิตใจที่แน่วแน่ ไม่หลงเหลือคราบอัจฉริยะในกาลก่อน ตัวเ้าในตอนนี้ เป็ได้แค่ไอ้ขี้ขลาดเท่านั้น!!!” หลินเฟิงกล่าวขณะที่เดินตรงเข้าไปหาเฉินซิง พร้อมลมปราณอันทรงพลังที่ทาบทับลงบนร่างของเฉินซิง
“ขี้ขลาด… ขี้ขลาด…” คำพูดเหล่านี้ดังก้องอยู่ในหัวของเฉินซิง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความเ็ป
“อ๊าก…” ทันใดนั้นเฉินซิงก็ะโออกมา ทำให้ศิษย์ที่อยู่ใกล้ๆ ต้องยกมือปิดหู เสียงร้องอันบ้าคลั่งดังกึกก้องไปทั่วถ้ำ ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะทะยานหายไป...
ภายในถ้ำเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ทุกๆ คนที่เห็นฉากนี้ล้วนแล้วแต่ตกตะลึงทั้งนั้น
ร้ายกาจมาก!
หลินเฟิงไม่จำเป็ต้องต่อสู้ เพียงแค่ใช้คำพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้จิตใจของเฉินซิงพังทลายลงได้
ในขณะที่ทุกคนกำลังมองไปที่หลินเฟิง ก็เห็นรอยยิ้มที่เยือกเย็นบนใบหน้าของเขา รอยยิ้มนี้ดูคล้ายกับปีศาจที่ชั่วร้าย ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความลึกลับและว่างเปล่าราวกับไม่ใช่มนุษย์
สัตว์อสูรปีศาจลึกลับมีความสามารถในการสร้างภาพมายา และหลินเฟิงใช้ความสามารถนั่นกับเฉินซิง ความสามารถนี้สามารถใช้ได้กับพวกจิตอ่อนเท่านั้น ซึ่งเดิมทีจิตใจของเฉินซิงก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นหลินเฟิงจึงพูดไม่กี่คำก็ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนและพังทลายลง
“ไอ้สวะ!!!” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เ็า ดวงตาสีน้ำเงินของเขาวาวโรจน์ขึ้นมาขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยว
“แม้ว่าเ้าจะแข็งแกร่งกว่าเฉินซิงเล็กน้อย แต่เ้าก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับข้า ในสายตาข้า เ้าก็ไม่ต่างอะไรไปจากหนอนแมลงที่ข้าสามารถบดขยี้ได้ตลอดเวลา ถ้าตอนนี้เ้าคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตาจากข้า ข้าจะละเว้นความตายให้เ้า!”
เหวินเริ่นเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร ไม่ใช่หลินเฟิงกล่าวว่า คนที่เป็ขี้ข้าของคนอื่นล้วนเป็พวกชั้นต่ำ ดังนั้นเขาจึง้าสั่งสอนบทเรียนให้กับหลินเฟิงและ้าให้หลินเฟิงคุกเข่าต่อหน้าเขา
