เวลาอาหารเย็น
เฉียวรุ่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองเทียนฉีคีบของอร่อยให้ตนจนเต็มชาม เขาได้แต่กำตะเกียบไว้ กัดริมฝีปากไม่กล้ากิน เอาแต่ก้มศีรษะอยู่ตลอดพลางลอบมองหลิ่วเหอที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“เสี่ยวรุ่ย ทำไมไม่กินเล่า? หรืออาหารเย็นวันนี้ไม่ถูกปากเ้าหรือ?” หลิ่วเหอมองเฉียวรุ่ยที่ถือชามไว้แต่ไม่กินอะไรเลยก็ทำหน้าสงสัย ส่งเสียงเอ่ยถาม
“ไม่ ไม่ใช่ขอรับ อาหารล้วนดียิ่งนัก ทุกอย่างดีหมด ข้าไม่เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ รีบเอ่ยปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเ้าไม่กินเล่า?” ได้ยินเฉียวรุ่ยเอ่ยเช่นนั้น หลิ่วเหอก็รู้สึกแปลกใจ หากเพราะไม่ชอบอาหารเหล่านี้จึงไม่กินยังเข้าใจได้ แต่ชอบกินกลับไม่กินเนี่ย มันแปลกมิใช่หรือ?
“ข้า ข้า...” เฉียวรุ่ยขมวดคิ้ว มองไปทางหลิ่วเทียนฉีที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่เป็ไร ท่านพ่อไม่สนใจหรอก เ้ารีบกินเถิด!” หลิ่วเทียนฉียิ้มเย้าคนรัก เอ่ยปลอบเสียงเบา
“ไม่ๆ!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ ยังคงไม่กล้ากิน เขากลัวถูกพ่อสามีในอนาคตรังเกียจ
“สนใจอะไรอยู่หรือ?” หลิ่วเหอมองบุตรชายอย่างไม่เข้าใจ
“อ่า ท่านพ่อ ที่จริงั้แ่เล็ก เสี่ยวรุ่ยต้องติดตามพวกนายพรานขึ้นเขาล่าสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพ ชีวิตลำบากยิ่ง และเพราะมักอยู่ด้วยกันกับนายพราน มารยาทการกินจึงอาจไม่เรียบร้อยอยู่บ้าง เขากลัวท่านไม่ชอบ คิดว่าดูหยาบคายน่ะ” หลิ่วเทียนฉีมองเฉียวรุ่ยที่วิตกอยู่ข้างกายทีหนึ่งก่อนอธิบาย
ได้ยินเช่นนั้น หลิ่วถงที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก ในใจคิด ‘นายน้อย ท่านแน่ใจนะว่านายน้อยเฉียวแค่กินไม่เรียบร้อย นั่นไม่ใช่ตะกรุมตะกรามหรือขอรับ? ฮือๆ ข้าไม่เคยเห็นบุรุษสองเพศกินได้ปานนั้น แถมยังกินเร็วเช่นนั้นมาก่อนเลยนะขอรับ?’
“อ้อ เป็เช่นนี้นี่เอง! เสี่ยวรุ่ย เ้าไม่ต้องถือสาหรอก พวกเราล้วนเป็คนกันเอง หลังจากนี้ต้องกินข้าวด้วยกันทุกวัน หรือเ้าตั้งใจจะไม่กินข้าวทุกวันล่ะหือ?” หลิ่วเหอโบกมือตอบกลับ เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
“แต่ แต่!” เฉียวรุ่ยกัดริมฝีปาก ยังคงไม่กล้าขยับตะเกียบ
“รีบกินเถอะ หากเ้าไม่กิน ท่านพ่อจะไม่พอใจแล้วนะ” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางคีบกับข้าวให้เฉียวรุ่ยอีกไม่น้อยอย่างเอาใจใส่
“ใช่ รีบกินเถอะ”
“อือ!” ได้ยินหลิ่วเหอพูดเช่นนี้ เฉียวรุ่ยถึงก้มหน้า เริ่มลงมือกิน
หลิ่วเหอมองดูตะเกียบในมือที่สะบัดอย่างว่องไว กับข้าวแปดอย่างน้ำแกงหนึ่งชามบนโต๊ะเห็นก้นอย่างรวดเร็วก็อดหางตากระตุกไม่ได้ พลางคิด ‘ไม่เรียบร้อยจริงเสียด้วย!’
“กินอิ่มไหม?” หลิ่วเทียนฉีส่งผ้าเช็ดหน้าไหมให้ เอ่ยถามคนข้างกายเสียงเบา
“อืม อิ่มมาก!” เฉียวรุ่ยรับผ้าเช็ดหน้าไหมมาเช็ดปากมั่วๆ
หลิ่วเทียนฉีพยักหน้าแล้วหันหน้าไปมองบิดาของตน “ท่านพ่อ ข้าขอพาเสี่ยวรุ่ยออกไปเดินเล่นย่อยอาหารสักหน่อย ท่านค่อยๆ รับประทานนะขอรับ!”
“ได้ พวกเ้าไปเถอะ!” หลิ่วเหอพยักหน้า ไม่คัดค้าน
“ขอรับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปนะขอรับท่านพ่อ!”
“ไปนะขอรับ ท่านอาหลิ่ว!” เฉียวรุ่ยลุกขึ้นเอ่ยลาหลิ่วเหอด้วย ก่อนจากไปด้วยกันกับหลิ่วเทียนฉี
หลิ่วถงเห็นทั้งสองคนเดินจากไปไกลแล้วจึงมาหยุดอยู่ข้างกายหลิ่วเหอ “นายท่านสาม ข้าให้ห้องครัวทำอาหารมาให้ท่านอีกสักหน่อยดีไหมขอรับ?”
“อืม ทำอาหารง่ายๆ รสชาติไม่จัดมาสองจานก็พอ อีกอย่าง หลังจากนี้ก็สั่งให้ทำอาหารเพิ่มสักหลายจานหน่อย อย่าให้เสี่ยวรุ่ยกินไม่อิ่ม!”
ได้ยินดังนั้น หลิ่วถงก็ยิ้มรับ “ขอรับ ข้าน้อยทราบแล้ว”
ไม่นาน จานว่างเปล่าบนโต๊ะอาหารก็ถูกยกออกไป แทนที่ด้วยกับข้าวสี่อย่าง มีน้ำแกงหนึ่งชามใหม่อีกชามที่รสชาติไม่จัด
หลิ่วเหอถือชามขึ้นมากินเงียบๆ
……...
หลังอาหาร
หลิ่วเหอพาหลิ่วถงไปเดินเล่นในลาน
“หลิ่วถง เ้าคิดว่าเสี่ยวรุ่ยเป็อย่างไร?”
“ข้าน้อยเห็นว่านายน้อยเฉียวค่อนข้างดีขอรับ เป็คนซื่อตรงไม่วางมาดอะไร พูดสิ่งใดล้วนตรงไปตรงมายิ่งนัก ไม่ใช่พวกเ้าเล่ห์เพทุบายประเภทนั้น อีกอย่าง ข้าน้อยเห็นว่านายน้อยเฉียวดูเชื่อฟังคำพูดของนายน้อยมาก และนายน้อยเองก็ดูเหมือนจะชอบนายน้อยเฉียวมากเช่นกัน ทั้งสองชอบพอกันดีขอรับ”
“ใช่ไหม ข้าก็รู้สึกว่าพวกเขาชอบกันไม่เลว เสี่ยวรุ่ยเป็เด็กที่เกิดมาลำบาก ต่อจากนี้อาหารการกินและที่พักในเรือน เ้าต้องดูแลให้ดีๆ อย่าได้ละเลย ในเมื่อจะเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็ต้องปฏิบัติดีต่อกัน ในวันหน้าเ้าก็ถือว่าเขาเป็ลูกชายอีกคนของข้าเถอะ!”
“ขอรับนายท่านสาม ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” หลิ่วถงได้ยินคำสั่งของนายท่านก็พยักหน้ารับ
นายน้อยเฉียวคือคนที่จะเป็คู่ชีวิตของนายน้อยในวันหน้า แม้นายท่านไม่กำชับเป็พิเศษ เขาก็ย่อมไม่ละเลย