จ่างกุ้ยร้านประหลาดใจ เขานั่งลงช้าๆ หลังตรงไม่กล้าแม้แต่จะมองไปรอบๆ
อวิ๋นอี้ครุ่นคิดแล้วกระแอมเบาๆ "มิต้องประหม่า ข้าเพียงอยากถามกระไรเสียหน่อย"
"ได้โปรดถามขอรับ ตราบเท่าที่ข้าน้อยรู้ ข้าน้อยไม่มีกระไรจะปิดบังพ่ะย่ะค่ะ" จ่างกุ้ยรีบพูด
อวิ๋นอี้มองเขานิ่งๆ แล้วถามอย่างไม่เกรงใจ "ร้านของเ้าทำเงินได้บ้างหรือไม่?"
นางเป็คนที่มีวิสัยทัศน์เป็เลิศในชาติก่อน ด้านอื่นอาจจะไม่เท่าใด แต่ด้านทำเงินนั้นนางเก่งนัก
จากการประเมินหลังจากที่นางมาที่นี่สองสามครั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็แหล่งทำเลทอง ลูกค้าไม่ขาดสาย เหตุใดถึงกลายเป็เยี่ยงนี้ได้?
ไม่ต้องพูดถึงการหารายได้ แม้แต่คนเข้ามานั่งในร้านก็ไม่มี อย่าถามถึงคนที่หยุดดูหน้าร้านเลย
ย่ำแย่นัก
อวิ๋นอี้อยากรู้ จ่างกุ้ยก็อยากรู้มากเช่นกัน
เขาเคยเป็จ่างกุ้ยร้านที่อื่นดีๆ อยู่หรอก แต่ถูกเ้าของโรงเตี๊ยมนี้ลากให้มาทำ ตอนนั้นเขาชอบทำเลที่ตั้งของร้าน แขกเยอะ และการตกแต่งที่ดูชั้นสูง จึงทำให้เขาละทิ้งเถ้าแก่คนเก่าและมาอยู่ที่นี่
แต่ผู้ใดจะไปรู้เล่า ั้แ่เขามาที่นี่ เขาต้องจ้องมองความเงียบเหงาทั้งวัน
เปิดมากว่าสองเดือนแล้ว เว้นแต่สตรีสองคนที่อยู่เบื้องหน้า ลูกค้าใหม่สักคนก็ไม่มี
เขาครุ่นคิดอย่างหนักเช่นกัน ว่ามันเกิดความผิดพลาดที่ใด
สุดท้ายคิดจนหัวจะะเิก็ยังไม่เข้าใจ ว่าที่แห่งนี้เป็กระไรไปกันแน่
กระทั่งตอนนี้ได้ยินลูกค้าสองคนถาม จ่างกุ้ยรู้สึกเกรงกลัวในใจ หรือว่าแม้แต่ลูกค้าสองคนสุดท้ายเขาก็รั้งไว้ไม่ได้เสียแล้ว?
ไม่นะ!
เขาลังเล ไม่ได้ตอบไปในทันที เพียงถามอย่างระมัดระวังว่า "เหตุใดท่านถึงถามเื่นี้พ่ะย่ะค่ะ?"
"เ้ามิได้บอกว่าจะพูดทุกอย่างที่เ้ารู้หรอกหรือ?" กู่ซือฝานตบโต๊ะ "ตอบคำถามมา เร็วๆ!”
จ่างกุ้ยเห็นว่าทั้งคู่เป็สตรีที่ไม่ควรหาเื่ด้วย จึงยอมพูดไป “ข้าหาเงินไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ความจริงั้แ่เปิดร้านมาก็หาเงินได้เพียงจากท่านทั้งสอง ท่านมาสามคราแล้ว รวมเงินทั้งหมดที่หาได้ก็ยี่สิบตำลึงพ่ะย่ะค่ะ"
"......"
แม้จะเดาคร่าวๆ ได้ว่าเขาทำเงินไม่ได้สักเท่าใด แต่อวิ๋นอี้ไม่คิดเลยว่ามันจะถึงจุดนี้
ขาดทุนเช่นนี้แล้ว เอาความมั่นใจมาจากที่ใดกันที่จะเปิดร้านต่อไปราวกับไม่มีกระไรเกิดขึ้น?
อวิ๋นอี้ไม่สามารถซ่อนคำพูดของนางได้ จึงถามไปตรงๆ ซึ่งทำให้จ่างกุ้ยอาย บิดตัวตอบ "เถ้าแก่บอกให้เปิดก่อนพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมีแต่ใจไม่มีกำลัง พยายามดึงดูดลูกค้ามาหลายวิธี แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าที่แห่งนี้ราวกับว่าฮวงจุ้ยไม่ดี ร้านข้างๆ ลูกค้าไม่ขาด มีเพียงร้านเราเท่านั้นที่ไม่มีคนมาเลยสักคน”
ตอนที่เขาพูดเช่นนั้น จ่างกุ้ยอ้วนหน้ามุ่ย แทบจะร้องไห้ออกมา
เห็นได้ว่าเขาเป็ห่วงโรงเตี๊ยมเสียจริง
อวิ๋นอี้ลูบคางครุ่นคิด
นางมีความคิดที่จะเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ก่อน เพราะนางไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรวย จึงไม่ได้เริ่มกระไรจนถึงเพลานี้
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เป็แรงบันดาลใจให้นาง
นางชอบที่แห่งนี้ และมีวิธีที่จะทำให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ดังนั้นนางจึงวางแผนที่จะซื้อร้านนี้ไว้
เมื่อความคิดบังเกิด มันก็เหมือนกับหญ้าแห้งที่ถูกไฟป่าพัด และเผาไหม้เต็มทุ่งในเวลาอันสั้น
อวิ๋นอี้พูดกับจ่างกุ้ยว่า "จ่างกุ้ย เถ้าแก่ของเ้าเล่า?"
"เถ้าแก่ไม่อยู่ขอรับ แต่เขาจะแวะมานั่งเป็ครั้งครา" จ่างกุ้ยตอบโดยไม่รู้ว่าอวิ๋นอี้้าจะทำกระไร
อวิ๋นอี้เพิกเฉยต่อสายตาที่สงสัยของเขา ไตร่ตรองแล้วพูดว่า “เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าอยู่ที่จวนองค์ชายเจ็ด คราหน้าหากเถ้าแก่ของเ้าเข้ามานั่ง ก็ส่งสารไปให้ข้าหน่อย ข้ามีเื่จะคุยกับเถ้าแก่ของเ้า"
"...ได้ขอรับ" หลังจากที่จ่างกุ้ยรับปาก เขาก็ยิ่งเคารพนางขึ้นไปอีก "ที่แท้ท่านก็คือพระชายาเจ็ด ข้าน้อยมีตาหาได้รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่ หากเมื่อครู่ได้ทำสิ่งใดให้ท่านมิพอพระทัย โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!"
อวิ๋นอี้โบกมืออย่างไม่เอาความ บอกให้เขาออกไปก่อน
กู่ซือฝานที่ดูทุกอย่างอยู่นั้น ไม่เข้าใจการกระทำของอวิ๋นอี้ จึงถามต่อไม่หยุด
เนื่องจากเื่ยังไม่สำเร็จ อวิ๋นอี้ไม่ได้พูดกระไรมาก เพียงอธิบายกับนาง "ข้าอยากรู้ว่าเถ้าแก่คิดอย่างไร จึงอยากรู้ว่าเขาเป็ผู้ใด"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! " กู่ซือฝานหัวเราะแล้วพูดว่า "ท่านพี่ว่างเกินไปแล้วเพคะ!"
เื่เล็กๆ ของโรงเตี๊ยมไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของทั้งสองในการเดินซื้อของต่อ อากาศเริ่มอุ่นขึ้น ผ่านไปไม่นาน เสื้อผ้าหนาๆ ในฤดูวสันต์ก็จะใส่ไม่ได้แล้ว กู่ซือฝานแนะนำให้ไปเลือกดูเสื้อผ้าฤดูร้อน ทั้งสองจึงไปที่ร้านตัดเสื้อที่พวกเขาเคยไปก่อนหน้านี้
ร้านตัดเสื้อนั้น ก่อนเทศกาลล่าสัตว์ พวกนางเคยไปเจอกับซูเมี่ยวเออร์
คิดได้ว่าซูเมี่ยวเออร์คงนอนป่วยอยู่บนเตียงในเพลานี้ ครานี้คงไม่มีเื่กระไรทำให้พวกเขาไม่พอใจได้
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ ร้านตัดเสื้อ... ดูเหมือนว่าจะปิดตัวลงในไม่ช้า
ที่ประตูร้านมีชายสองคนที่ดูเหมือนเป็คนใช้ยืนอยู่ สตรีถือบันไดยาว และอีกคนกำลังจะปีนขึ้นไป
อวิ๋นอี้มองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นคนที่ปีนขึ้นไป ถอดป้ายที่ห้อยอยู่ที่ประตูออก แล้วถือเดินออกไป
“......”
กระไรกันเล่า? ไม่ขายแล้วหรือ?
ขณะที่อยู่ในความงุนงง บุรุษสตรีก็เดินออกมาจากร้าน ซึ่งก็คือจ่างกุ้ยร้านตัดเสื้อ
จ่างกุ้ยจำอวิ๋นอี้ได้และรีบเดินเข้ามาทักทาย "คารวะพระชายาเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ! คารวะพระชายาเก้าพ่ะย่ะค่ะ!"
"จะเปลี่ยนป้ายหรือ? เหตุใดจึงไม่ใช้แล้ว?" กู่ซือฝานอดถามไม่ได้ ทำเป็พูดล้อเล่น “มิใช่ว่าพวกเ้าก็ปิดร้านด้วยเหมือนกันหรอกนะ?”
ในคำพูดนั้น แทงเข้าไปในใจดำของจ่างกุ้ย เขาพยักหน้าด้วยใบหน้าห่อเหี่ยว
คราวนี้กลับเป็อวิ๋นอี้และกู่ซือฝานที่ตะลึง
ร้านตัดเสื้อนี้พวกเขาเคยมา ความประทับใจดีมาก อย่างแรกคือทำเลหาง่าย ประการที่สองเสื้อผ้ามีหลายรูปแบบและคุณภาพดีนัก พวกเขายังพูดกันเองเลยว่า ต่อไปจะซื้อเสื้อผ้ากระไร ก็จะมาร้านนี้
เหตุใดจู่ๆ ถึงปิดตัวลงเช่นนี้?
อวิ๋นอี้ถามถึงเหตุผล จ่างกุ้ยไม่อยากจะร้องไห้กลางถนน เลยชวนพวกนางเข้าไปที่ร้าน
หลังจากพูดกันอยู่กว่าชั่วยาม อวิ๋นอี้เข้าใจแล้ว จ่างกุ้ยร้านก็ไม่รู้ว่าเกิดกระไรขึ้น ร้านถึงไม่ค่อยเรียกลูกค้า
“อาจจะเป็เพราะว่าฮวงจุ้ยไม่ดีกระมังพ่ะย่ะค่ะ” จ่างกุ้ยบอก
อวิ๋นอี้กลอกตาขาว จะมีฮวงจุ้ยไม่ดีเยอะเช่นนี้ได้กระไร มันต้องมีกระไรผิดพลาดแน่ๆ
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดสิ่งที่นางพูดกับจ่างกุ้ยโรงเตี๊ยมให้ร้านตัดเสื้อฟัง “ถ้าเถ้าแก่ของเ้ามาที่ร้าน อย่าลืมแจ้งให้ข้ารู้”
จ่างกุ้ยพยักหน้าอย่างผิดหวัง
เดิมอวิ๋นอี้คิดว่าจักต้องต้องรอสัก่หนึ่ง เพราะจ่างกุ้ยร้านทั้งสองคนต่างบอกว่าเถ้าแก่ของตนผีเข้าผีออก โดยปกติแล้วจะไม่พบผู้ใดเป็เวลานาน คิดไม่ถึงเลยว่าสามวันให้หลัง เถ้าแก่ของทั้งสองร้านก็ปรากฏตัวพร้อมกัน
นาง้าพบเถ้าแก่ของทั้งสองร้าน อยากจะเป็หุ้นส่วนกับพวกเขา ดังนั้นนางจึงรีบทำเวลา
หลังจากคิดแล้วนางก็ไปที่โรงเตี๊ยมก่อน
จ่างกุ้ยโรงเตี๊ยมกำลังรออวิ๋นอี้อยู่ ตอนที่มองเห็นอวิ๋นอี้ ใบหน้าอ้วนท้วนของเขาก็ยิ้มแป้นจนมองไม่เห็นดวงตา “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เถ้าแก่ของเรากำลังรอท่านอยู่ในห้องเทียนจื้อพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นอี้ว่าอืม เงยหน้าอกผาย ก้าวออกไปอย่างมั่นคง ขึ้นไปชั้นบน หาห้องเทียนจื้อเจอ ผลักประตูเข้าไป
เมื่อเห็นชายคนที่รออยู่ในห้อง ฝีเท้าของนางก็หยุดชะงัก ถามด้วยความสงสัย "อัครมหาเสนาบดีขวาลู่?"
"ข้าเอง" ลู่จงเฉิงเงยหน้า เมื่อสบสายตากันก็ต้องใ เขาไม่คิดเลยว่าผู้ที่เข้ามาจะเป็อวิ๋นอี้
ได้ยินจ่างกุ้ยบอกว่า มีลูกค้าอยากคุยกับเขา ลู่จงเฉิงรู้สึกแปลกใจและสงสัย จึงจับพลัดจับผลูมานั่งรออยู่ที่นี่
อวิ๋นอี้เรียกหาเขาจะทำการใด?
ลู่จงเฉิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคืนนั้นที่สนามล่าสัตว์ นางถูกวางยา ยั่วยวนคนราวกับปีศาจสาว
ใบหน้าแดงก่ำและเรือนร่างอันเร่าร้อนของนางปรากฏขึ้นเบื้องหน้า แถมยังเกาะเกี่ยวร่างเขาอีก ลู่จงเฉิงหายใจกระวนกระวายขึ้นทันใด เขารีบเบือนหน้าหนี พยายามระงับความร้อนในใจ และพูดช้าๆ ว่า "เชิญพระชายาเจ็ดนั่งพ่ะย่ะค่ะ"
“อ๋อๆ” อวิ๋นอี้ก็ใพอๆ กัน นางนั่งลงอย่างมึนงง ทั้งสองไม่พูดกระไรกันสักพัก
ไม่รู้ว่านานเท่าใด หลังจากที่ดื่มชาไปหลายถ้วย นางกระแอมเบาๆ "อัครมหาเสนาบดีขวาลู่ ท่านอยู่ที่นี่ ท่านคือเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมนี้หรือเ้าคะ?"
"พ่ะย่ะค่ะ" ลู่จงเฉิงคิดกระไรบางอย่างออก “ท่านก็ไปที่ร้านตัดเสื้อ และถามหาเถ้าแก่ด้วยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
อวิ๋นอี้ใ ครุ่นคิดถึงความเป็ไปได้บางอย่าง ก็นั่งยืดหลังตรงแล้วถามว่า “ท่านคงมิใช่เถ้าแก่ของร้านตัดเสื้อด้วยหรอกนะเ้าคะ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“...…”
อวิ๋นอี้มองไปที่เขาด้วยอารมณ์ซับซ้อน จากนั้นก็ปิดปากลง
ลู่จงเฉิงเห็นท่าทีของนางในสายตา ดวงตาที่สงบของเขาก็ปนไปด้วยความไม่เข้าใจ “มิทราบว่า พระชายา้าคุยกับข้าเื่กระไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“เื่ร้านทั้งสองของท่าน” นางคิดเื่จริงจัง จิบชาแล้วพูดต่อว่า “สองร้านนี้ ตามหลักเหตุผลต้องเป็ธุรกิจที่ทำกำไรได้ แต่เมื่ออยู่ในมือมหาเสนาบดีแล้ว กลับขาดทุนหมดสิ้น ต้องพูดเลยว่า ท่านมหาเสนาบดี ร่างกายของท่านนี่มัน...เหลือเชื่อจริงๆ"
ลู่จงเฉิงไม่เข้าใจว่าเื่นี้เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างไร แต่เขาก็พอฟังออกว่า นี่เป็การเยาะเย้ยเสียดสีของอวิ๋นอี้
เขารินน้ำชาให้ตัวเอง “ข้าทำธุรกิจเล็กๆ มิได้หวังจะทำเงินมากมาย”
“แต่นี่มันมิใช่แค่ไม่ทำเงินนี่เ้าคะ นี่มันขาดทุนย่อยยับเลยต่างหาก!” อวิ๋นอี้พูดอย่างไม่เกรงใจ
ลู่จงเฉิงถูกมองออกหมดแล้ว ไม่ปิดบังอีกต่อไป "เป็เช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ โยนเงินทำการใดก็ขาดทุน เงินลงทุนราวกับลอยน้ำไป จนถึงวันนี้ยังหาคืนมามิได้เลย"
เมื่อเห็นว่าเขาพูดถึงเื่นี้ อวิ๋นอี้ก็พูดได้ถูกเวลา นางสงบสติ พูดช้าๆ “ท่านมหาเสนาบดี หากข้ามีวิธีที่จะทำให้ธุรกิจของท่านกลับมามีชีวิตได้อีกครา ท่านอยากลองเสียหน่อยไหมเ้าคะ?”
อยากสิ
ลู่จงเฉิงมิได้โง่ หากเป็เช่นนี้ต่อไป ร้านเขาจะล้มละลายไม่ช้าก็เร็ว
เขาเคยครุ่นคิดอย่างหนัก มองหาทางรอด แต่ก็หาทางไม่เจอ
มีโอกาสดีอยู่ตรงหน้า เขาต้องคว้ามันไว้
อวิ๋นอี้มองดูท่าทีของเขา นางก็มั่นใจขึ้นเรื่อยๆ นางใช้มือเคาะโต๊ะ ในห้องที่เงียบสงบ เสียงเบาๆ เหมือนจะกระทบเข้ากับหัวใจของกันและกัน
ในขณะที่อยู่ในความคิดไม่ตก นางก็พูดว่า "ข้าเต็มใจจะช่วยท่าน แต่ข้ามีเงื่อนไข มิรู้ว่าท่านมหาเสนาบดี จะเห็นด้วยกับเงื่อนไขของข้าหรือไม่?"
ลู่จงเฉิงมองไปที่อวิ๋นอี้ ยิ้มขึ้นมาช้าๆ
เขาเดาไว้แล้วว่านางมีเงื่อนไข ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น “พระชายาได้โปรดรับสั่ง ตราบใดที่ข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”