ภายใต้ความมืดมิด ลมหายใจของหรงซิวดูเร่าร้อนเป็พิเศษ กลิ่นหอมเย็นๆ ติดอยู่ที่ปลายจมูก ทำให้อวิ๋นอี้ไม่อาจหลบหนีได้
นางรู้ว่าเขากำลังถามกระไร นางคิดอย่างรวดเร็วว่าจะอธิบายอย่างไรดี
เมื่อคืนนางขอให้หรงซิวช่วยนัดซูเมี่ยวเออร์ออกมา โกหกว่าจะคุยกับซูเมี่ยวเออร์เสียหน่อย แต่กลับกลายเป็ว่าซูเมี่ยวเออร์ถูกทุบตี
อวิ๋นอี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกผิด ใบหน้าเล็กๆ ถูกหรงซิวจับไว้ เขาบีบคางของนาง ไม่ทันรอคำตอบ ก็ก้มกัดริมฝีปากของนางเบาๆ "พูดมาเร็ว"
ดูเหมือนว่าถ้าวันนี้ไม่อธิบายให้ชัดเจนคงจะไม่ได้แล้ว
อวิ๋นอี้ผลักเขาออกแล้วเช็ดปากอย่างแรง หนึ่งไม่ทำสองไม่เลิก [1] ตัดสินใจพูดก่อน “ผู้ใดบอกนางให้รังแกข้าก่อนเล่า!” นางเริ่มโวยวายและไร้เหตุผล “หากมิใช่ว่าวันนั้นท่านจัดการงูให้ข้า ข้ายังจะมีชีวิตอยู่หรือไม่? นางเกือบจะฆ่าข้าแล้ว ข้าหาคนไปตีนางให้หายโกรธเสียหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
แววตาของหรงซิวค่อยๆ ลึกขึ้น มุมปากโค้งขยายออก
อวิ๋นอี้ยังคงหลับตา นางไม่สังเกตเลยว่า มีหลายคำที่เมื่ออ้าปากพูดแล้ว มันก็จะเหมือนกับแม่น้ำที่ไหลไม่หยุด
ยิ่งกว่านั้น นางเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ไม่มีที่ระบาย เมื่อหรงซิวหยิบเื่ที่ทำให้เสียใจขึ้นมาเค้นนาง "เพลานี้ฝ่าาเป็กระไร? ได้ยินว่านางถูกทุบตีก็รู้สึกเป็ทุกข์จนทนไม่ไหว ฝ่าาจะมาคิดบัญชีกับข้าหรือเพคะ! หากใจท่านมีนางไม่มีข้าละก็ข้าก็จะไม่ห้าม ทิ้งข้าไปเถิด ได้แต่งนางเข้าเรือนมา ดีกว่ามาคิดแค้นกับข้าแทนนางเช่นนี้!”
แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่เขาเอ่ยปาก ก็ทำให้ความคิดของนางเปลี่ยนแปลงไป กว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบกลับ ก็ผ่านไปครู่หนึ่ง
ในเพลานั้นเอง อวิ๋นอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า นางนั่งลงไปบนเตียงอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ของตน ร้องไห้คร่ำครวญ
หรงซิวงงไปหมด
นางร้องไห้ขึ้นมา แถมยังพูดไปเรื่อยไม่ได้หยุด
พูดเพียงไม่กี่ประโยคแต่กลับซ้ำไปซ้ำมา หรงซิวไม่รักนางแล้วบ้าง จะมาคิดบัญชีกับนางบ้าง บอกให้หรงซิวเลิกกับนางไปเลยบ้าง ให้ไปแต่งงานกับซูเมี่ยวเออร์ไวๆ
วุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว
หรงซิวทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาเปลี่ยนบทไปหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อ แล้วนั่งยองๆ ต่อหน้านาง จับคางแล้วเช็ดน้ำตาให้อย่างแ่เบา “ไม่ต้องร้องแล้ว ข้าเพียงแค่ถามดูเพียงเท่านั้น ข้าพูดกระไรแล้วหรือ? ข้าบอกว่าจะคิดบัญชีกับเ้าแล้วหรือ? ข้ายังมิได้พูดเอ่ยโทษเ้าใดๆ เลย เ้าก็สร้างความขมขื่นให้ตัวเองเสียแล้ว?”
"... ..."
อวิ๋นอี้เอ่ยปากอย่างน่าอาย "ฝ่าามิได้พูด แต่ฝ่าาก็หมายความเช่นนั้น"
"ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" หลังจากทำความรู้จักสตรีผู้นี้ที่สูญเสียความทรงจำไปไม่นาน หรงซิวเหมือนจะเข้าใจนิสัยของอวิ๋นอี้ผู้นี้แล้ว นางทำการใด เขาก็จะตามนางไป "ข้าหมายความว่า ไม่ว่าเ้าจะทำการใด ข้าก็สนับสนุนทั้งสิ้น"
"รวมทั้งที่ข้าหาคนมาทุบตีซูเมี่ยวเออร์ด้วยหรือเพคะ?" อวิ๋นอี้เหยียบจมูกขึ้นหน้า [2] ถามจบก็จ้องหน้าหรงซิวอย่างไม่ละสายตา พยายามหาความไม่เป็ธรรมบนใบหน้าของเขา
แต่กลับไม่มี
หรงซิวลูบหัวนาง “ย่อมได้”
“ฝ่าาไม่รู้สึกสงสารหรือเพคะ?”
“คนที่โดนทุบไม่ใช่เ้าเสียหน่อย เหตุใดข้าจึงต้องสงสารด้วย?”
“ถุ้ย!” อวิ๋นอี้เยาะเย้ย “ฝ่าาแสร้งทำน่ะสิไม่ว่า”
"โกหกเ้า ข้ายอมเป็สุนัข" เขาโตเช่นนี้แล้ว แต่กลับยังพูดคำนี้ได้อยู่อีก
ที่ไหนได้ อวิ๋นอี้ไม่เห็นค่าเลย เหลือบมองเขาแล้วหัวเราะว่า "ฝ่าาก็เป็สุนัขอยู่แล้วนี่เพคะ"
เขาเป็สุนัขอยู่แล้วหรือ?
หรงซิวอยากดุนางจริงจังสักครั้ง แต่เมื่อเห็นดวงตาที่บวมแดงจากการร้องไห้ของนาง จู่ๆ ความคิดนั้นก็หายไป
เขาจูบนางด้วยใจสงสาร ในขณะที่ริมฝีปากประสานกัน เขาพูดอย่างแ่เบา "เ้าอยากจะทำการใดก็ได้ ตราบเท่าที่เ้ามีความสุข หากเกิดเื่ก็มีข้าอยู่"
อวิ๋นอี้มุ่ยปาก แต่ในใจกลับมีความสุข
นางไม่ได้ผลักหรงซิวออก ไม่ปฏิเสธจูบของเขา ไม่รู้ว่าเป็เพราะคำหวานของเขาหรืออย่างไรที่ทำให้นางสับสน
ค่ำคืนนี้ทั้งสองคนราวกับไม่ใช่คนปกติ
อย่างน้อยอวิ๋นอี้ก็มิได้รู้สึกขัดใจกับหรงซิวแล้ว นอกจากชื่นชมความงามของเขาแล้ว นางยังชื่นชมความอ่อนโยนของเขาอีกด้วย
อย่างเวลาทานอาหาร อวิ๋นอี้สังเกตได้ว่าหรงซิวรู้ดีถึงความชอบของนาง
รสชาติที่นางชอบกับเ้าของร่างเดิมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เ้าของเดิมกินเผ็ดไม่ได้ ชอบกินอาหารที่มีรสหวานอมเปรี้ยว แต่นางเป็คนที่ขาดการกินเผ็ดไม่ได้
เ้าของเดิมไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ กินมังสวิรัติ แต่นางกลับไม่เคยปฏิเสธไก่เป็ดปลาเนื้อต่างๆ เลย
ไม่รู้ว่าหรงซิวเริ่มสังเกตได้เมื่อใด แต่สิ่งที่เขาคีบใส่ถ้วยของนาง ล้วนเป็ของโปรดของนางทั้งสิ้น
ดูไป เขาก็ไม่ใช่บุรุษที่เลวร้ายกระไร
หรือบางทีนางอาจจะเข้าใจเขาผิดไปเอง?
บรรยากาศ่ค่ำมืดลงเรื่อยๆ อวิ๋นอี้นอนไม่หลับเพราะมีบางอย่างติดอยู่ในใจ นางมองดูความมืดมิดและรู้สึกได้ชัดเจนว่านางมีความรู้สึกดีต่อหรงซิวเข้าเสียแล้ว
ความรู้สึกดีนี้อาจมาจากความใส่ใจของเขา หรืออาจเป็คำพูดหวานๆ หรือความสัมพันธ์ที่มัวเมาในคืนนี้ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจที่อบอุ่นของชายคนข้างๆ นางก็อดรู้สึกฟุ้งซ่านขึ้นมาไม่ได้
อวิ๋นอี้คิดเรื่อยเปื่อย ผ่านไปอย่างยากเย็นจนถึงกลางดึก ทนไม่ไหวจึงผล็อยหลับไป
นางนึกว่านางจะได้นอนยาวๆ จนตื่นขึ้นเอง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในรุ่งเช้า นางถูกสาวใช้ปลุก บอกว่ามีสารมาจากในวัง ให้นางเข้าพบ
“สารจากผู้ใด?” อวิ๋นอี้ลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยใบหน้าหงุดหงิด
เซียงเหอเช็ดตัวให้นาง ตามด้วยการแต่งหน้าที่รวดเร็ว “ไทเฮาเพคะ บอกให้พระชายาเสด็จไปหา มีเื่จะถามท่านเพคะ”
พอได้ยินว่าเป็ไทเฮา ย่อมเดาได้เลยว่าต้องเป็เื่ที่ซูเมี่ยวเออร์ถูกทุบตี
อวิ๋นอี้รู้สึกว่าไทเฮาช่างมั่นคงนัก ราวกับว่าไม่ว่าซูเมี่ยวเออร์จะทำผิดร้ายแรงเท่าใด นางก็พร้อมที่จะอภัยให้ได้เสมอ
หากนับว่าเป็ความรักเอ็นดู แต่เช่นนี้ไม่ถือว่าเอาอกเอาใจกันมากไปหน่อยหรือ?
คำบ่นอยู่ในใจนับไม่ถ้วน แม้ว่าอวิ๋นอี้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องนั่งรถม้าเข้าไปในวังอยู่ดี
เมื่อถึงวัง ขันทีใหญ่นำทางนางมาถึงพระตำหนักเฉียนชิง
ไทเฮาอยู่บนที่นั่งสูง มองนางด้วยสีหน้าเข้มงวดจริงจัง แต่กลับไม่มีซูเมี่ยวเออร์อยู่
อวิ๋นอี้รู้อยู่แก่ใจ เข้าใจดีว่าซูเมี่ยวเออร์อาจจะลุกจากเตียงไม่ได้ จึงไม่กล้าแสดงสีหน้ากระไร
นางยังคงสีหน้าสับสน ทำความเคารพไทเฮา "คารวะองค์ไทเฮาเพคะ!"
ไทเฮามองหญิงสาวที่คุกเข่าลง ก็พ่นลมฟึดฟัดออกมาอย่างขัดใจ "ลุกขึ้นเถิด!"
อวิ๋นอี้รีบกล่าวขอบพระทัย แล้วลุกขึ้นยืน
ในฐานะลูกสะใภ้ของหลานชาย หากผู้ใหญ่ไม่เปิดปาก นางก็ไม่พูดกระไรก่อนเป็ปกติ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ นางก้มหน้าลง จรดมือไว้ข้างหน้าอย่างสง่างาม ยืนอยู่นิ่งๆ เพียงแค่มองดูจากท่าทางนี้ นางก็นับว่าเป็หญิงสาวที่สง่างามคนหนึ่ง
ความไม่พอใจของไทเฮาหายไปครึ่งหนึ่ง พูดกับนางว่า "ชายาเจ็ดได้ยินเื่ที่ซูเมี่ยวเออร์ถูกทุบตีหรือไม่?"
เื่นี้แพร่กระจายออกไป เกือบทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้เื่นี้ ถ้านางบอกว่าไม่รู้ คงดูเสแสร้งจนเกินไป
อวิ๋นอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ย่อตัวลงอย่างอ่อนโยน พูดอย่างลังเล “หลานได้ยินมาเพียงเล็กน้อยเพคะ คนพวกนั้นน่ารังเกียจเสียจริง ปฏิบัติกับสตรีเยี่ยงนี้ได้เช่นไร!”
ผู้ใดแสดงไม่เป็กันเล่า!
สีหน้าของอวิ๋นอี้ทั้งรู้สึกเสียใจและใ ขณะเดียวกันก็มีความโกรธ ดูจริงจังนัก
แม้แต่ไทเฮาที่เห็น ก็ดูไม่ออกถึงความผิดปกติ เดิมที่ฟังซูเมี่ยวเออร์พูด ไทเฮาเองรู้สึกว่าอวิ๋นอี้คงทำเื่เช่นนี้ได้ แต่เพลานี้ที่เผชิญหน้ากัน อวิ๋นอี้ไม่เพียงไม่แสดงความตื่นตระหนกลุกลนใดๆ ตรงกันข้าม การแสดงสีหน้าของนางก็เหมาะสม ดูไม่เหมือนปิดบังกระไร
ในที่สุด ไทเฮาคุยกับนางอีกไม่กี่คำ แล้วโบกมือให้อวิ๋นอี้ออกไป
ตอนที่หันหลังเดินออกมาจากตำหนักนั้น อวิ๋นอี้อดขำไม่ได้
ในเมื่อนาง้าจะทำมันั้แ่แรก นางย่อมต้องหาทางออกไว้อยู่แล้ว จะให้พวกเขาสืบสาวถึงนางได้อย่างไร?
ซูเมี่ยวเออร์ยังคิดว่าตัวเองฉลาดนักอยู่อีกหรือ?
เหอะเหอะ
อวิ๋นอี้ดูแคลน นางเป็คนเ้าแผนการ แถมยังเ้าคิดเ้าแค้นมากเสียด้วย
รสชาติของการแก้แค้นนั้นหอมหวานนัก นางตัดสินใจรอให้ซูเมี่ยวเออร์ได้พักผ่อนเสียหน่อย แล้วค่อยจัดการกับนางอีกหน
ทุบตีให้นางตระหนักถึงชีวิต ให้สงสัยความเป็ไปของโลกไปเลย ดูสิว่าซูเมี่ยวเออร์จะกล้าโผล่หน้ามาให้นางเห็นซ้ำๆ อีกหรือไม่!
เื่ที่ซูเมี่ยวเออร์ถูกทุบตีนั้น เป็เื่ร้อนที่กระจายอยู่ในเมืองหลวงอยู่หลายวัน อย่างไรก็ตาม ประชาชนในเมืองหลวง เวลาว่างไม่มีกระไรทำ ก็จะพูดคุยกันถึงเื่ของราชวงศ์
แต่โดยปกติแล้ว เมื่อมีข่าวร้อนแพร่มา ก็จะรีบติดตามพูดคุยกัน เมื่อกระแสหมดแล้ว ผู้ใดยังคงพูดถึงเื่นั้นอยู่ ก็จะถูกเหยียดหยามว่ากินของเหลือ
ตัวอย่างเช่น เพลานี้ฤดูวสันต์กำลังจะสิ้นสุดลง ทั้งเมืองหลวงกำลังจะต้อนรับการทดสอบเดือนวสันต์ที่จัดขึ้นเพียงสี่ปีครั้ง
สิ่งนี้มีความสำคัญมากในหมู่นักเรียน และยังเป็เื่ใหญ่ที่มีความสำคัญลำดับต้นๆ สำหรับราชวงศ์ต้าอวี่อีกด้วย เพราะเหตุนี้ หัวข้อที่ทุกคนพูดถึงกัน จากเื่ที่ซูเมี่ยวเออร์ถูกทุบตีก็ผ่านไปเป็เื่การสอบ่เดือนวสันต์
แม้ว่าการสอบ่เดือนวสันต์จะเรียกเช่นนั้น แต่ความจริงแล้ว วันสอบถูกกำหนดอยู่ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม
เนื่องจากอาณาเขตอันกว้างใหญ่ของราชวงศ์ต้าอวี่ การเดินทางไม่สะดวกนัก การทดสอบ่เดือนวสันต์เป็การทดสอบระดับประเทศ นักเรียนทุกคนจำเป็ต้องไปที่เมืองหลวง
กระบวนการนี้ใช้เพลานาน
ดังนั้น นักเรียนบางคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจึงเริ่มออกเดินทางั้แ่หลังเถลิงศก
เมื่อเวลาผ่านไป ชื่อของการทดสอบเดือนวสันต์จึงมีที่มาเช่นนี้
อวิ๋นอี้ฟังกู่ซือฝานพูดมาเยอะ แล้วก็อ้อเสียงยาว “เช่นนี้นี่เอง”
ทั้งสองเบื่อไม่มีกระไรทำ จึงออกมาซื้อของข้างนอกอีก
โรงน้ำชาและร้านอาหารหลายแห่งบนถนนต่างโห่ร้องเสียงดัง โดยบอกว่าร้านของพวกเขาได้รับการเข้าใช้บริการจากผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของการสอบเดือนวสันต์ในอดีต
คราแรกอวิ๋นอี้ไม่เข้าใจ แต่ตอนที่ได้ฟังกู่ซือฝานเล่าแล้วก็รู้ว่านี่เป็ช่องทางธุรกิจของร้านค้าต่างๆ
นางนั่งอยู่บนชั้นสอง เปิดหน้าต่างกว้าง มองลงไปที่ชั้นล่าง ในบรรดาคนเดินถนนไปมา ก็ถูกคำโฆษณาเ่าั้เชื้อเชิญเข้าไปจริงๆ
โรงเตี๊ยมตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็การตกแต่งหรือว่าจากด้านอาหาร ไม่ได้ดีเท่าร้านที่นางอยู่เลย แต่สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ตกก็คือ โรงเตี๊ยมร้านตรงข้าม มีแต่คนเข้าออก อืม...ส่วนร้านที่พวกนางอยู่นั้น ดูเหมือนจะมีแค่พวกนางสองคนเพียงเท่านั้น
อวิ๋นอี้ถามกู่ซือฝานอย่างไม่รู้จะพูดกระไร "เ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า ร้านแห่งนี้ดูเหมือน... กำลังจะปิดตัวลง"
"ข้าอยากพูดอยู่นานแล้วเพคะ" กู่ซือฝานรีบพูด “ที่นี่ทำเลก็ดี ร้านรอบๆ ก็กิจการดี มีแขกอยู่ตลอดเวลา เหตุใดร้านของพวกเขากลับมีแค่พวกเราสองคนเล่าเพคะ?”
ครั้งก่อนก็เป็เช่นนี้ ครั้งที่แล้วก็ด้วย ครานี้อีก
หรือว่าร้านนี้จะมีแค่พวกเราสองคนเท่านั้นที่มองเห็น?
พูดเื่ตลกกระไร
อวิ๋นอี้อยากรู้ขึ้นมาจึงเคาะโต๊ะ แล้วเรียกให้เสี่ยวเอ้อเรียกจ่างกุ้ย [3] มา
จ่างกุ้ยเป็ชายวัยกลางคนเตี้ยๆ แต่ดวงตาคู่นั้นดูฉลาดและสดใส ทันทีที่เขาเข้าไปในห้อง เขาก็คำนับอย่างสุภาพ “มิทราบว่าท่านหญิงทั้งสองเรียกหาข้าน้อย มีกระไรจะรับสั่งหรือขอรับ?"
อวิ๋นอี้มองจ่างกุ้ย ตบเก้าอี้แล้วเรียกให้เขานั่งลง "มานั่งนี่สิ ข้ามีกระไรจะถามเ้าหน่อย"
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งไม่ทำสองไม่เลิก 一不做二不休 หมายถึง จะทำการใดต้องทำให้สุดทาง
[2] เหยียบจมูกขึ้นหน้า 蹬鼻子上脸 หมายถึง อีกฝ่ายให้เกรียติตน แต่ตนกลับยิ่งวางท่าได้ใจ
[3] จ่างกุ้ย 掌柜 หมายถึง ผู้จัดการร้าน