ห่างหายไปนานกว่าหนึ่งเดือน เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งกลับมาถึงซางตู
แสงแดดของเผิงเฉิงร้ายกาจออกขนาดนั้น ลมทะเลรุนแรง แม้เธอจะไม่ได้คล้ำลง ทว่าใบหน้าก็ไม่อ่อนละมุนเหมือนเดิมอยู่ดี
กลับมาซางตูพร้อมขนสินค้าถุงใหญ่ถุงน้อย ย่าอวี๋หญิงชราปากตะไกรเอ่ยแหย่ว่าผิวหน้าของเธอหยาบกร้านขึ้น เซี่ยเสี่ยวหลานหมดคำพูดกับย่าอวี๋จริงๆ ในขณะที่เยาะเย้ยเธอ ก็ยังรับของขวัญที่เธอนำกลับมาอีก ทำไมกัน!
เซี่ยเสี่ยวหลานซื้อแหวนทองมาฝากหญิงชรา
เหล่าร้านทองดั้งเดิมในหยางเฉิงกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ทองคำ 1 กรัมราคา 42 หยวน เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นไม่ค่อยชอบเครื่องประดับทองคำนัก ทว่าซื้อกลับมานิดหน่อยเพื่อเป็ของขวัญ แหวนทองที่ให้ย่าอวี๋มีน้ำหนัก 6 กรัม เป็เงินรวม 200 กว่าหยวน คราวนี้ย่าอวี๋ไม่ได้พูดว่าจะให้เงินเธอเสียด้วย
ขณะกำลังมองแหวนวงน้อยในมือ ย่าอวี๋ก็ถอนใจรำพึงรำพันออกมา “ไม่ได้จับทองมาหลายปีแล้ว”
ตอนตระกูลอวี๋ออกนอกประเทศ ทุกคนจากไปโดยหอบปลาเหลืองใหญ่ [1] คนละหีบ
ส่วนทองคำที่เหลืออยู่ในมือของย่าอวี๋ ถูกนำไปแลกเป็ยาและอาหารในยามทุกข์ยากหมดแล้ว ตอนนั้นรู้ดีว่าปลาเหลืองเล็กหนึ่งแท่งย่อมแลกได้มากกว่าอาหาร ทว่ามีหนทางใดอีกเล่า คนกำลังจะอดตายทั้งที่หอบทองอยู่ เมื่อท้องอิ่มถึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ ตุ้มหูทองหนึ่งคู่แลกกับปิ่งสามชิ้น หลังจากนั้นเป็ต้นมาในมือของย่าอวี๋ก็ไม่เหลือทองคำแม้แต่ก้อนเดียว
นึกไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้ กลับมีคนให้แหวนทองหนึ่งวงแก่เธออีกครั้ง
และคนที่ให้ก็คือเซี่ยเสี่ยวหลานผู้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอเลยนั่นเอง
เซี่ยเสี่ยวหลานนำกำไลข้อมือทองคำเกลียววงบางกลับมาให้หลี่เฟิ่งเหมยด้วยเช่นกัน เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เป็คนจ่ายเงินซื้อของสิ่งนี้ แต่เป็หลิวหย่งผู้เป็ลุงได้วานเธอนำมาฝากนั่นเอง
ทองคำน้ำหนัก 15 กรัม แม้กำไลจะดูบางมาก แต่อันที่จริงเป็ของที่มีมูลค่าสูงถึงราวหกร้อยกว่าหยวน อย่างไรก็ตามราคาเท่านี้หลี่เฟิ่งเหมยเองก็ซื้อไหว ทว่าหลิวหย่งวานเซี่ยเสี่ยวหลานนำกลับมาให้ ความหมายย่อมไม่เหมือนกัน
“ถือว่าลุงของหลานเขายังมีจิตสำนึกอยู่นะ!”
แรกเริ่มคือการอยู่ในปักกิ่งสองเดือนกว่า พักผ่อนหลังกลับบ้านไม่นานก็เดินทางไปเผิงเฉิงต่อ ไปั้แ่ต้นเดือนมิถุนายน อีกไม่กี่วันก็จะเดือนกันยายนแล้ว สามเดือนผ่านไปเพียงชั่วพริบตา หลิวหย่งไม่ได้กลับมาแม้แต่หนเดียว ด้านหลิวหย่งเองก็ไม่สามารถละทิ้งงานได้ เนื่องจากตอนนี้เขายังไม่มีประสบการณ์ และยังไม่ได้ฝึกฝนผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ ถ้าไม่จับตามองเขาก็ไม่ไว้วางใจ ทั้งตกแต่งภายในบ้านพักรับรอง ทั้งตกแต่งร้านค้าวัสดุ แม้หลิวหย่งคิดถึงภรรยาและลูกชายมาก ทว่าการทำธุรกิจไม่มีหนทางอื่น ่แรกจะเหนื่อยแสนเหนื่อยอย่างแน่นอน
จะหาเงินอย่างไรถ้าไม่ลงมือทำด้วยตนเอง?
อีกอย่างเหล่าคนงานไม่ใช่หุ่นยนต์ ที่เพียงใส่คำสั่งเสร็จก็ตั้งใจทำงานให้ ไม่เกียจคร้านอู้งานแล้ว?
และเขายังต้องเฝ้าวัสดุให้ดี มิเช่นนั้นจะถูกคนขโมยไปขายได้
หรือการไม่ทำงานตามแบบแปลน จนท้ายที่สุดต้องกลับไปทำใหม่อีกรอบ!
หลี่เฟิ่งเหมยตัดพ้อ เซี่ยเสี่ยวหลานต้องแก้ต่างแทนหลิวหย่งด้วยน่ะสิ หม่าเวยที่ร้านเสื้อผ้าจ้างกลายเป็พนักงานเต็มตัวตั้งนานแล้ว ก่อนหลิวเฟินไปหยางเฉิง ที่ร้านได้จ้างหญิงสาวเพิ่มอีกหนึ่งคน ในทุกๆ ไม่หลิวเฟินก็หลี่เฟิ่งเหมยไปร้านเพียงคนเดียวก็พอ ทั้งสองต่างบอกว่าตนใช้ชีวิตอย่างนายทุน ทว่าเป็ไปดังที่เซี่ยเสี่ยวหลานเคยพูด จ้างพนักงานหนึ่งคน เงินเดือนทุกเดือนรวมเงินพิเศษไม่เกิน 100 หยวน แต่ทำให้หลี่เฟิ่งเหมยกับหลิวเฟินไม่ต้องมีงานล้นมือและเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้น
“เวลาของแม่กับป้าไม่ได้มีราคาแค่ไม่กี่สิบหยวนนั่นหรอก!”
หลี่เฟิ่งเหมยไม่เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นป้ากับแม่หลานจะว่างงานมาทำอะไร?”
เซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิดและถามคำถามหลิวเฟิน “ฉันอยากคุยกับแม่เื่นี้มานานแล้ว แม่จะไปอยู่ในปักกิ่งกับฉัน หรือจะอยู่ในซางตู?”
ไม่มีปัญหาที่จะพามารดาไปอยู่ด้วยกันขณะเรียนมหาวิทยาลัย หาบ้านสักหลังใกล้มหาวิทยาลัยก็สามารถจัดแจงที่อยู่อาศัยให้หลิวเฟินได้แล้ว ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานพาหลิวเฟินออกจากตระกูลเซี่ย เคยลั่นวาจาว่าจะไม่ทอดทิ้งมารดาของเธอ เธอไปถึงไหน หลิวเฟินก็ต้องไปถึงนั่น
แต่หลิวเฟินใช้ชีวิตในซางตูมามากกว่าครึ่งปี ทางนี้มีร้านเสื้อผ้าที่เธอคุ้นเคย มีย่าอวี๋ที่อยู่ร่วมกันทั้งวันและคืน มีหลี่เฟิ่งเหมย และบ้านใกล้เรือนเคียงที่เริ่มสนิทสนมกับหลิวเฟินแล้ว แม้เซี่ยเสี่ยวหลานอยากให้หลิวเฟินตามเธอไปปักกิ่ง แต่เธอเตือนตนเองว่าอย่าเห็นแก่ตัวเกินไป เพราะเมื่อไปถึงปักกิ่งแล้ว หลิวเฟินต้องเริ่มสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใหม่อีกครั้ง
เป็อย่างที่คาด หลิวเฟินแสดงสีหน้าลังเลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าแม่ไปปักกิ่งจะทำอะไรได้?”
อยู่บ้านรอเสี่ยวหลานเลิกเรียนทุกวัน? ได้ยินว่านักศึกษาพักในมหาวิทยาลัยทั้งนั้น เลิกเรียนแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถกลับบ้านได้เสมอไป เสี่ยวหลานเองก็ต้องมีเพื่อนนักศึกษาและมิตรสหายของเธอเหมือนกัน จะให้หลิวเฟินอยู่บ้านคนเดียวนั้นเธออยู่เฉยไม่ได้จริงๆ คนเคยทำงานจนชิน ให้เธอหยุดขึ้นมามันไม่คุ้นเลย ในเมืองต่างจากชนบท คนที่ไม่มีงานการทำก็ต้องปล่อยเวลาไหลไปเรื่อยๆ ทั้งวัน
หลิวเฟินอยากตามลูกสาวไปเหลือเกิน แค่ดูแลเสี่ยวหลานได้เธอก็สุขใจแล้ว
ทว่าลูกสาวของเธอเก่งกาจขนาดนี้ ดูเหมือนเธอไม่จำเป็ต้องคอยดูแลสินะ?
“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว เช่นนั้นแม่อยู่ในซางตูก่อนเถอะ ภาคเรียนนี้ฉันจะไปปักกิ่งเพื่อสำรวจช่องทางสักหน่อย ดูว่าแม่จะสามารถทำอะไรได้บ้าง”
แม้จะแยกสาขาของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ไปเปิดในปักกิ่ง เซี่ยเสี่ยวหลานก็ต้องไปสังเกตุการณ์ตลาดและจัดการเื่หน้าร้านให้สำเร็จอยู่ดี จากหยางเฉิงถึงปักกิ่งยิ่งไกลเข้าไปใหญ่ การเปิดสาขาย่อยไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานจะรีบร้อนไม่ได้
คราวนี้เธอไม่เพียงแต่ขนเครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ร่วงที่จะวางจำหน่ายจากหยางเฉิงกลับมาหลานเฟิ่งหวงเท่านั้น ยังมีชุดกีฬาอีกสามพันชุดด้วย
หลี่เฟิ่งเหมยถามว่าชุดนี้จะแขวนจำหน่ายภายในร้านใช่หรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายหน้า “ให้หม่าเวยกับพนักงานใหม่เอาออกไปขาย ชุดละ 20 หยวน ใครขายได้เยอะ เงินพิเศษของคนนั้นก็เยอะตาม!”
งานในร้านยังคงค่อนข้างว่าง จ้างพนักงานสองคนแล้วไม่ใช้งานให้คุ้ม ถือว่าไม่สมศักดิ์ศรีของนายทุนใจดำ
----------------------------------------
วันที่ 26 สิงหาคม เซี่ยเสี่ยวหลานนายทุนใจดำผู้นี้พามารดากลับมายังหมู่บ้านชีจิ่ง
เมื่อเห็นเธอกลับมา กงหยางโล่งใจมากจริงๆ
“คุณผู้หญิงเซี่ย บ้านนี่เกินงบแล้ว”
มีค่าแรงที่ติดค้างคนในหมู่บ้านอยู่ ทว่ากงหยางจ่ายไม่ไหวน่ะสิ อย่างไรก็ตามเป็เพราะชาวบ้านเชื่อมั่นว่านักศึกษามหาวิทยาลัยจะไม่เบี้ยวหนี้ มิเช่นนั้นก็คงพักงานสร้างบ้านไปนานแล้ว
และคนในหมู่บ้านไม่เข้าใจ คนอื่นเขาสร้างบ้านแบบตะวันตกกัน เซี่ยเสี่ยวหลานกลับสร้างบ้านกำแพงขาวกระเบื้องดำ [2] แบบดั้งเดิม แม้ชาวบ้านจะไม่มีบ้านแบบนี้ ทว่าพวกเขาเคยเห็นแบบละม้ายคล้ายกันที่วัดไป๋ซี! ขุดสระในลานบ้าน อีกทั้งปลูกพวกต้นไผ่ นักศึกษากงหยางวานคนไปยังดงอ้อเพื่อขุดต้นอ้อจำนวนหนึ่งกลับมาปลูกในสระน้ำเล็ก สำหรับบ้านของเซี่ยเสี่ยวหลานนี้ คนในหมู่บ้านเห็นแล้วไม่เข้าใจจริงๆ
จ่ายเงินหลักหมื่นแล้วสร้างบ้านตะวันตกที่ปูกระเบื้องด้านนอกดูโอ่อ่าออกจะตายไป!
ไม่ใช่ว่าบ้านแบบนี้ไม่สวย แต่คนในหมู่บ้านคิดว่าลักษณะไม่ทันสมัยพอก็เท่านั้น
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกลับพอใจมากทีเดียว
บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านโบราณที่ได้รับการซ่อมบำรุง ใช้อิฐแดงและปูนซีเมนต์ไปจำนวนมาก เพียงแต่สร้างเลียนแบบบ้านโบราณเล็กน้อยเท่านั้น กำแพงขาวกระเบื้องดำ ต้นไผ่ที่ย้ายมาปลูกยังซีดเหลืองอยู่ ปลูกอีกไม่กี่เดือนก็คงงดงามแล้ว นอกจากอิฐแดงกับปูนซีเมนต์แล้ว ไม้ก็ถูกใช้ไปเยอะเช่นกัน วัสดุไม้ในตอนนี้ราคาถูกมาก ไม้จริงไม่ใช่ของมีระดับ แผ่นไม้อัดซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตต่างหากที่นับว่าเป็ของแปลกใหม่
ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งวัสดุและค่าแรงย่อมเยา บ้านหลังนี้สร้างไม่เสร็จในงบสองหมื่นกว่าหยวนแน่
ทุกด้านทุกมุมยังต้องปรับปรุง ทว่าผลลัพธ์โดยรวมปรากฏแล้ว ขั้นสุดท้ายของการสร้างบ้านคือการ ‘วางคานเอก’ ซึ่งเป็คานกลางหนึ่งท่อนที่สูงสุดของหลังคาบ้านนั่นเอง นี่ถือเป็พิธีอย่างหนึ่ง เมื่อวางคานเอกเรียบร้อย ก็หมายความว่าบ้านเสร็จสมบูรณ์ ตอนวางคานเอกเ้าของบ้านต้องอยู่ในพิธีแน่นอน อีกทั้งต้องคำนวณชั่วยามให้เหมาะสมด้วย เหล่าหนุ่มวัยรุ่นหนุ่มใหญ่ในหมู่บ้านวางท่อนไม้กลมขนาดเท่าต้นขาบนหลังคา ตามธรรมเนียมต้องให้อั่งเปาแก่ผู้ที่วางคานเอก ทว่าด้านล่างกลับมีเด็กน้อยมากมายเบียดกันเป็กลุ่มก้อน
ขณะวางคานเอกต้องโปรยเมล็ดแตงและถั่วลิสงกับถั่วปากอ้าที่คั่วสุกจากบนหลังคา คนด้านล่างก็แผ่เสื้อเข้าไปรับอย่างเอาเป็เอาตาย เพราะในเมล็ดถั่วคั่วพวกนี้มีเหรียญปนอยู่ด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าโปรยเหรียญ ‘เฟิน’ นั้นน้อยเกินไป อย่างต่ำคือ 1 เหมาทั้งหมด เหล่าเด็กน้อยที่แย่งเหรียญได้พากันโห่ร้องตื่นเต้น สนุกสนานยิ่งกว่าตรุษจีนเสียอีก!
หลิวจื่อเทาชะเง้อมองจนปวดคอแล้ว
พอเห็นเฉินชิ่งกำลังสนทนากับเซี่ยเสี่ยวหลาน หลิวจื่อเทาก็นึกถึงคำสั่งเสียของพี่เขยโจวเฉิงขึ้นมาทันที
ศัตรูหัวใจเช่นนี้ ต้องแจ้งพี่เขยหรือเปล่านะ?
เชิงอรรถ
[1]大黄鱼 ปลาเหลืองใหญ่ หมายถึง ทองคำแท่งหนักสิบตำลึง (ปัจจุบันเทียบเท่ากับ 312.5 กรัม) คำนี้ใช้เรียกกันทั่วไปในเซี่ยงไฮ้ยุคสาธารณรัฐ
[2]白墙黑瓦 กำแพงขาวกระเบื้องดำ คือ สิ่งปลูกสร้างแบบดั้งเดิมในพื้นที่เจียงหนาน (ทางใต้ของแม่น้ำเจียง) ประเภทหนึ่ง ตัวอาคารสีขาว มุงกระเบื้องสีดำ