ต้าหลางตาสว่างวาบ “เมืองหลวง? นั่นคือใต้เท้าขององค์ชายเลยนะ หากสามารถทำธุรกิจให้ไปถึงที่นั่นได้ ชาตินี้ข้าก็พอใจแล้ว”
กวนซูเยวียนมองทุกคนอย่างไม่เข้าใจ สุดท้ายก็หัวเราะออกมา “เมืองหลวงหรือ ข้าอยู่ในที่เล็กๆ นี่ก็ดีแล้ว ทั้งยังสามารถทำธุรกิจได้อย่างปลอดภัย นั่นก็เป็อะไรที่อมิตาพุทธแล้ว เฮ้อ ที่เมืองหลวงนั่นนะทั้งหรูหรา ใครๆ ก็อยากจะเข้าไป แต่ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นอยู่ยาก ถึงจะเป็ร้านของสกุลโจว ก็เป็เพียงร้านเล็กๆ เทียบไม่ติดกับธุรกิจในเมืองหลวงเลย"
“สกุลโจวน่ะ เป็ธุรกิจใหญ่อันดับหนึ่งถึงสองของเขตเราเชียวนะ ไม่เพียงแค่ที่นี่ จากที่ได้ยินมาที่เขตฮวายห่าย สกุลโจวก็เป็คนที่มีชื่อเสียงมาก พวกเ้าน่ะใสซื่อกันเกินไปแล้ว จะมีความฝันสักหน่อยก็ได้ แต่ข้ากลับให้ความสำคัญกับขนมไหว้พระจันทร์ตอนนี้มากกว่า ตอนนี้ทำขนมไหว้พระจันทร์ให้ดีก่อน ธุรกิจใหญ่ๆ น่ะ รอพวกเราแก้ไขเื่กินเื่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน”
เฉินจื่อิฟังภรรยาตนพูดเช่นนี้ ไฟที่เดิมลุกโชนอยู่ในแววตาก็ค่อยๆ นิ่งสงบลง สุดท้ายก็ไปทำไฟต่อแต่โดยดี
กลับเป็ต้าหลางที่ดวงตาสุกใส แรงที่มือก็ออกแรงมากกว่าเดิม
เมืองหลวง เขาตัดสินใจแล้ว เป้าหมายของชีวิตนี้ ก็คือทำธุรกิจให้ไปถึงเมืองหลวง
สกุลโจวทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาก็ทำไม่ได้ ธุรกิจเป็เื่ที่ต้องลงมือทำออกมา เขายังเด็ก เขายังมีเวลาทั้งชีวิตที่ต้องไปต่อสู้
ทำขนมไหว้พระจันทร์ติดต่อกันสิบสองวัน ในสิบสองวันนี้ ทุกคนได้นอนกันเพียงสี่ห้าชั่วโมง หลังจากลืมตากินข้าวแล้ว ก็เริ่มนวดแป้ง ปั้นแป้ง อบ
ธุรกิจภายในร้านมีสองมามีภรรยาหวงซื่อมาช่วยเหลือ แล้วยังมีพวกเด็กๆ คอยนั่งอยู่ด้วย จึงทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลใจ
หลังจากที่หนิงต้าหรานมาหาเื่ครั้งก่อน ก็ไม่เคยมาหาอีกเลย
สำหรับบทสรุปเช่นนี้ เฉินเนี้ยนหรานก็ถือว่าจ่ายเงินให้เทพเ้าโชคร้ายยอมออกไปเท่านั้น
หลังจากส่งขนมไหว้พระจันทร์ชุดสุดท้ายไปแล้ว ทุกคนก็ต่างผ่อนคลายลง ต้าหลางก็นอนแบอยู่บนเก้าอี้อย่างหมดสภาพ “ทำเสร็จเสียที ปีหน้าค่อยทำต่อ ในที่สุดปีนี้ก็ได้หายใจแล้ว ถึงแม้ตอนที่ประทับตราดอกไม้บนขนมไหว้พระจันทร์ ข้าก็คิดว่าเงินน่าจะมากกว่านี้ แต่ว่า ข้าทำไม่ไหวแล้วจริงๆ เหนื่อยมาก เหนื่อยมากจริงๆ”
เด็กคนนั้นโอดครวญไม่หยุด ฟังเสียงหัวเราะของพวกเฉินเนี้ยนหราน แต่ว่าก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปพูดคุยด้วย เพราะว่าความแข็งแกร่งในสิบสองวันนี้ได้มาถึงขีดจำกัด ทำให้ทุกคนเหนื่อยล้าเป็ที่สุด
เฉินเนี้ยนหรานกุมท้องตัวเองอย่างไม่สบายท้อง โบกมือใส่ทุกคน “ไม่ไหวแล้ว ข้ากลับเรือนแล้ว กลับเรือนดีกว่า อีกสองวันค่อยลงเขาไปคิดบัญชีในอำเภอกับท่านลุง ข้าง่วงมากแล้ว จะไปนอนแล้ว”
ง่วงจนหนังตาทนไม่ไหว ความง่วงนี้ทำให้นางลืมเลือนอาการพะอืดพะอมจะอาเจียน ยิ่งเื่ก่อนหน้านี้ที่พูดว่าจะเชิญหมอมาก็ลืมไปเสียสนิท
พอกลับไปถึงเรือนในหมู่บ้านเล็กๆ ของตนเอง เฉินเนี้ยนหรานก็ล้มตัวลงนอนหลับยาว
พวกเด็กๆ ก็รู้ว่าพี่สาวของพวกนางเหนื่อยมาก จึงทำตัวดีๆ ไม่ส่งเสียงดังรบกวนนาง
ม้าก็ถูกพวกนางจูงกลับมาด้วย ตอนที่น้องห้ากับน้องหกจูงเดินออกไปก็ได้รับสายตาอิจฉาจากคนในหมู่บ้าน
“โอ้ สกุลเฉินที่เพิ่งจะย้ายมาใหม่ เพิ่งจะย้ายมาได้ไม่นานก็ซื้อม้ากลับมาแล้ว ธุรกิจจะต้องไปได้สวยแน่ๆ”
มีคนถอนหายใจด้วยความอิจฉา ในสายตามีความริษยาที่ปิดเอาไว้ไม่มิด จะต้องรู้ว่า ในหมู่บ้านของพวกเขา จนถึงตอนนี้มีอยู่สามครอบครัวที่มีวัวกับม้า
และนี่ก็ยังนับครอบครัวเฉินเนี้ยนหรานที่ย้ายเข้ามาใหม่ด้วย สองครอบครัวก่อนหน้านี้มีแค่วัวสองตัว
“นี่คือสิ่งที่พวกเราแลกมาด้วยความลำบากเ้าค่ะ” น้องหกประกาศออกไปด้วยความตื่นเต้น ธุรกิจใน่นี้ทำให้นางชอบมาก โดยเฉพาะตอนที่นับเงิน นางยิ่งรู้สึกถึงความปลอดภัยมาก
ตอนนั้นจึงถูกพวกคนในหมู่บ้านชมเปราะ เด็ กน้อยเองก็ไม่ได้มีการระวังตัว จึงได้พูดคำพูดเช่นนี้ออกไปอย่างภูมิใจ
นางเป็เด็กเล็กไม่สามารถห้ามตัวเองได้ แต่เหล่าผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน
พอได้ยินว่าพวกนางหาเงินมาได้ใน่นี้ ก็มีคนเริ่มมีความคิดไม่ดี
“หยา เด็กน้อยของสกุลเฉินนี่เก่งจริงๆ นะ น้องหกใช่ไหม บอกป้าได้ไหมว่าพวกเ้าสามารถหาเงินได้วันหนึ่งเท่าไรหรือ? ข้าเห็นธุรกิจของพวกเ้าไม่เลว น้ำแข็งหนึ่งถ้วยคงจะได้เงินมาไม่น้อยเลยใช่ไหม?”
น้องหกกำลังจะตอบ น้องห้าก็ยกมือขึ้นมาหยิกเอวนาง “น้องหก พวกเราพาม้าไปกินหญ้าเถิด”
พี่สี่เคยพูดไว้ว่า ทำอะไรจะต้องถ่อมตน อย่าทำตัวมักใหญ่ ไม่เช่นนั้นจะตายอย่างไรก็ไม่รู้ โดยเฉพาะพวกนางที่เพิ่งจะย้ายมา ดังนั้นจะต้องถ่อมตนไว้ก่อน
เพียงแต่น้องห้าไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลังจากพวกนางจูงม้ากลับไปแล้ว สายตาหลายคู่ได้มองไปยังเรือนของพวกนาง
และตอนนี้ สายตาที่เต็มไปด้วยความละโมบโลภมากหลายคู่ ก็ยิ่งจ้องมองม้าตัวนั้นตาไม่กะพริบ เงินตราทำให้คนสนใจ ั้แ่โบราณมา มีไม่กี่คนที่สามารถทนต่อความเย้ายวนของเงินตราได้
“ท่านป้า เื่ได้เงินเท่าไรนั้นน้องหกไม่รู้แน่ชัด อย่างม้าตัวนี้เป็พวกเราที่หามาได้” น้องหกรู้ว่าไม่สามารถพูดอะไรออกมาไม่คิดได้ อยากจะปลีกตัวออกมา
แต่รอจนถึงตอนที่พวกนางเงยหน้าขึ้น กลับพบว่าตรงหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งมาขวางทางเอาไว้
ในตอนนั้นเด็กทั้งสองก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
“จุ๊ๆ ข้าขอดูเ้าม้าตัวนี้หน่อย สีขนไม่เลว แถมยังเป็ม้าตัวเมีย หากปีหน้าถึงฤดูผสมพันธุ์ ตอนที่ถึงฤดูผสมพันธุ์ของม้า ก็ลากมันออกไปผสมกับม้าตัวผู้ที่หมู่บ้านข้างๆ เช่นนั้นก็กลายเป็ม้าแม่พันธุ์เลยนะ ไม่เลว ไม่เลว...”
คนแก่คนหนึ่งขวางอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน ดวงตาจ้องไปที่ตัวม้าอยู่ตลอด มองไปก็ประเมินไป
คนในหมู่บ้านพวกนั้นพอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉามองไปที่ตัวของม้า ตอนนี้น้องห้ากับน้องหกเองก็มองออกแล้วว่า ม้าของพวกนางเหมือนจะทำให้หลายคนริษยาแล้ว!!!
“พวกเราจะไปปล่อยม้ากินหญ้าแล้ว ท่านลุงท่านป้าทั้งหลาย ม้าตัวนี้พวกเราลำบากหาเงินมานั้นไม่ผิด แต่หาเงินมาก็ไม่ง่ายเลย พี่สาวของพวกเราตอนนี้เหนื่อยจนตอนนี้ยังนอนอยู่ที่เตียง” น้องห้าขอให้ทุกคนเปิดทางให้อย่างน่าสงสาร
“เอาล่ะ เอาล่ะ ถอยหลังไปให้หมด อย่ามามองด้วยสายตาอยากได้อีก แน่จริงพวกเ้าก็หาเงินด้วยตัวเอง เขาเป็แม่ม่ายตัวคนเดียวยังสามารถหาเงินได้ พวกเ้ามีมือมีเท้าทำไมถึงจะหาไม่ได้” พี่สะใภ้ฟางที่อยู่ข้างเรือนเห็นคนกลุ่มใหญ่มาล้อมเด็กทั้งสองไว้ จึงรีบมาพูดปัดความคิดของคนพวกนี้
เดิมทีนางเองก็เป็สตรีที่ดุอยู่นิดหน่อย ตอนนี้มาพูดเช่นนี้ ทุกคนกลับไม่รำคาญนาง เพียงแค่หัวเราะแล้วพูดล้อเล่นออกมาด้วยความขำขัน
“โอ้ นั่นสกุลฟางไม่ใช่หรือ เ้ากล้าพูดว่าเ้าไม่อิจฉาสิน่าแปลก ข้าดูแล้ว ในใจของเ้าจะต้องคิดว่าหากม้าตัวนี้เป็ของเรือนเ้าก็คงจะดีมาก”
“แน่นอน ข้าคิดว่าหากเรือนของข้ามีม้าสักตัว การทำงานก็จะสะดวก ออกไปไหนก็ยังสามารถใส่คู่กับรถม้าได้ นี่ยิ่งไม่ทำให้คนอิจฉาตายหรือ ข้าอยากมี แต่ว่าก็ต้องเป็สิ่งที่ข้าหามาได้เอง หากคนอื่นเข้ามาในเรือนของข้าอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ข้าก็ไม่อยากได้แล้ว กลัวว่าวันใดไม่ทันระวังมีคนเข้ามาหาอยากได้ของของข้าราวกับมาทวงหนี้ ในใจมันก็รู้สึกไม่ดี เอาล่ะ เอาล่ะ รีบกลับเรือนไป ไม่ต้องมาใช้สายตากระหายอยากได้ มีความสามารถก็หามาเอง”
“ได้ ที่เรือนข้ามีหญ้ายังไม่ได้ถอน รีบมาถอนหญ้าไปเร็ว”
“ฮ่าๆ เรือนข้าก็ยังจุดไฟอยู่ ไอ๊หยา ต้องไปดูหน่อยแล้ว”
ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไป ใครจะรู้ว่าตอนนี้กลับมีคนหนึ่งเดินออกมา
“สองคนที่จูงม้าน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้”
เสียงะโที่เต็มไปด้วยความดุดัน ทำเอาสองพี่น้องใสะอึกอย่างแรง น้องหกถูกใจนคว้ามือพี่สาวมาจับไว้ “ท่านพี่ ข้ากลัว”
คนในหมู่บ้านได้ยินว่ามีละครให้ดู มีหรือจะยอมไป
ดังนั้นทุกคนก็รีบกลับมาล้อมเอาไว้
คนที่เรียกสองพี่น้องเอาไว้ไม่ใช่ใครอื่น เป็จ้าวชุนฮวา เ้าของไก่ที่วิ่งเข้ามาออกไข่ในเรือนแล้วถูกน้องห้าฆ่าตายในตอนนั้น
ทุกคนพอเห็นจ้าวชุนฮวายิ้มเย็น คนที่ยืนอยู่รอบๆ ก็ะโออกมา
“โย่ว นั่นมันสกุลจ้าวไม่ใช่หรือ ชุนฮวาเอ๋ย เ้าไม่ปลอบลูกอยู่ที่เรือน แล้ววิ่งมาที่นี่หรือ ได้ยินมาว่าเด็กสองคนนี้มีเื่กับเ้าหรือ? ท่าทางดุดันของเ้าเหมือนคนจะมาไถเงินอย่างไรอย่างนั้น ฮ่าๆ....”
“ใช่ ใช่ ...ชุนฮวาเ้ารีบพูดสิ ให้พวกเราฟังเื่ราวสักหน่อย”
แม่นางฟางขมวดคิ้วแน่น รีบมองสตรีที่เชิดคางขึ้นอยู่ตรงหน้า สตรีคนหนึ่งที่ไม่ยอมลดราวาศอก ตอนนี้มาเรียกสองพี่น้องให้หยุด จะต้องไม่ใช่เื่ดีแน่
“จ้าวชุนฮวา ครั้งที่แล้วไก่ของเ้าวิ่งเข้าไปกินอาหารในเรือนคนอื่น แถมยังทำลายข้าวของเรือนเขา ถึงแม้คนสกุลเฉินจะพลังมือฆ่าไก่เ้า แต่ว่าพวกนางก็ได้จ่ายค่าชดเชยที่มากกว่าในตลาดให้เ้าแล้วนี่ ตอนนี้เ้ามาเรียกสองพี่น้องให้หยุดทำไม? อย่ามาทำให้เด็กใเลย” นางได้ยกเื่ที่จ้าวชุนฮวามีเื่กับเฉินเนี้ยนหรานในตอนแรกขึ้นมา และก็เป็การเตือนพวกคนในหมู่บ้านว่าเื่นี้เป็จ้าวชุนฮวาที่ไปโกรธเขา
จ้าวชุนฮวากลอกตา จ้องแม่นางฟางเขม็ง “แม่ไก่ของข้าถูกฆ่าตาย ข้าที่เป็ผู้ใหญ่ก็พอจะยอมรับเื่นี้ได้ แต่นางจ่ายเงินมาให้ ยังไม่พอค่าไข่ที่ไก่ตัวนั้นจะออกเลย เหอะ ไก่ที่ออกไข่อยู่ดีๆ ใครจะไปยอมเอามันออกมาขาย ถูกนางฆ่าตายไปแล้วเดิมทีควรจะจ่ายชดเชยมากกว่านี้ ส่วนเ้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับนาง ถึงได้มาช่วยนางพูดน่ะ ถุย ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้ความคิดของเ้านะ วันนี้เื่ที่ข้าอยากจะพูดไม่ใช่เื่ไก่ เื่ที่ข้าจะพูดมันเกี่ยวข้องกับเื่ใหญ่ของทุกคนในหมู่บ้านพวกเรา และเื่นี้ก็เกี่ยวข้องกับสกุลเฉินที่เพิ่งจะย้ายเข้ามา”
นิ้วอ้วนๆ ของนางชี้มาทางน้องห้า น้องหกที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทำเอาน้องหกใร้องไห้ออกมา
“ท่านพี่ ข้ากลัว...ข้ากลัว...พวกนางจะทำอะไร...พวกเราทำไมหรือ? ฮือ...ท่านพี่ ทำอย่างไรดี....”
เดิมทีแม่นางฟางไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมากอีก ตอนนี้เห็นจ้าวชุนฮวาทำให้เด็กใจนร้องไห้สะอื้น ก็ทนไม่ได้ แล้วเข้าไปดึงเด็กทั้งสองคนมาอยู่ด้านหลังของตนเองอย่างปกป้อง “จ้าวชุนฮวา เ้าจะมาพูดธุระก็พูดมา อย่ามาชี้ใครมั่วซั่ว เด็กสองคนนี้ทำไม? ถึงแม้พวกนางจะทำเื่ใหญ่อะไรไป นั่นก็เป็แค่เด็กสองคน เ้ามาชี้เด็กสองคนนี้ด้วยท่าทางกรุ่นโกรธเพื่อพูดเื่บ้าอะไร? ข้ามีความคิดไม่ดีต่อพวกนางหรือ? ถุย ข้าจะไปมีความคิดไม่ดีได้อย่างไร? ข้ายังเห็นว่าเด็กสองคนนี้น่าเอ็นดู ข้ายอมเข้าไปใกล้ชิดพวกนาง ทำไม? เ้าไม่พอใจ? หากเ้าไม่พอใจ เ้าก็คลอดลูกที่น่าเอ็นดูออกมาสองคนสิ ให้ข้าดูและอยากจะปกป้องน่ะ!”
แม่นางฟางโกรธขึ้นมา ปากก็ร้ายไม่แพ้ใคร
“ตอนนี้ข้าี้เีมาคิดเล็กคิดน้อยกับเ้า สะใภ้ฟาง อีกเดี๋ยวเ้าไม่ต้องเข้ามาคลุกคลีคุยธุระกับพวกเราก็พอ” จ้าวชุนฮวาปรายตามองแม่นางฟางอย่างพออกพอใจ ราวกับได้วางแผนเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว