บทที่ 51 อุ้มเหลน
หลังกลับจากโรงพยาบาล ลู่จิ่งซานััได้ชัดเจนว่าสวี่จือจือวางตัวสบายๆ กับเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อน อาจจะเป็เพราะเื่ราวต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญมาด้วยกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่จิ่งซานหงุดหงิดเล็กน้อยก็คือ สวี่จือจือดูเหมือนจะไม่มีความอยากรู้อยากเห็นอะไรเลย อย่างน้อยที่สุดเธอไม่เคยเอ่ยถามถึงชุดกระโปรงที่เขาซื้อจากห้างสรรพสินค้าในวันนั้นแม้แต่คำเดียว
หรือว่าเธอจะไม่ชอบชุดกระโปรงตัวนั้น?
ลู่จิ่งซานเก็บชุดกระโปรงเข้าไปในตู้เป็ครั้งที่สอง
เสียงของสวี่จือจือดังมาจากข้างนอก “เสี่ยวอวี่รีบเก็บของเร็วเข้า เดี๋ยวตอนเย็นพวกเราจะไปดูหนังกัน”
คืนนี้ภาพยนตร์ของประชาคมจะมาฉายที่หมู่บ้านผานสือของพวกเขา
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ลู่จิ่งซานก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก
“จิ่งเหนียน เดี๋ยวอย่างลืมเอาเก้าอี้ไปด้วยนะ” สวี่จือจือพูดจากข้างนอก
ลู่จิ่งซาน “...”
สรุปคือเขายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน แต่กลับไม่มีใครสนใจเขาเลย
“พี่สาม” ลู่จิ่งเหนียนเรียกเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ลู่จิ่งซานรู้สึกยินดี น้องชายคนนี้ก็ไม่ได้เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ แต่แล้วก็ได้ยินลู่จิ่งเหนียนพูดว่า “ขอยืมพัดของพี่ไปใช้หน่อยได้ไหม”
ลู่จิ่งซาน “...”
“ตอนดูหนังตอนเย็นยุงคงเยอะแน่ๆ” ลู่จิ่งเหนียนพูด “ผมจะพัดให้พี่สะใภ้สามกับเสี่ยวอวี่”
ลู่จิ่งซาน “...”
“ได้ไหม?” ลู่จิ่งเหนียนพูด “ยังไงพี่ก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้วนี่นา ขาดไปสักคืนคงไม่เป็ไรหรอก”
ลองฟังดูสิ นี่มันคำพูดของคนหรือเปล่า? อะไรคือเขาไม่ได้ใช้สักคืนก็ไม่เป็ไร? แค่ชวนเขาไปดูหนังด้วยกันมันยากขนาดนั้นเลยหรือไง?
“คืนนี้ฉายหนังเื่อะไร?” ลู่จิ่งซานลูบจมูกอย่างไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย แล้วถามลู่จิ่งเหนียน
“วันฟ้าใส” ลู่จิ่งเหนียนพูด “พี่สาม ไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่ชอบดูหนังอยู่แล้ว ผมจะดูแลเสี่ยวอวี่กับพี่สะใภ้สามให้ดีเอง”
ลู่จิ่งซานแทบจะสำลักตายเพราะน้องชายคนนี้
เขาเดินเข้าห้องไปด้วยความอึดอัด ทั้งโมโหทั้งหดหู่
สวี่จือจือเอามือปิดปากหัวเราะ
ลู่จิ่งเหนียนชี้ประตูที่ปิดอยู่ “พี่สะใภ้สาม พี่สามโกรธหรือเปล่า? โกรธเื่อะไรน่ะ?”
เขาไม่เข้าใจ หรือว่าเป็เพราะเื่ดูหนัง?
แต่อีกฝ่ายไม่เคยชอบดูหนังเลยนี่นา หนังที่ฉายในหมู่บ้านอีกฝ่ายไม่เคยดูเลยสักครั้ง
สวี่จือจือแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“พี่สาม?” เธอโผล่หน้าเข้าไปในห้อง แล้วถามเสียงเบา “ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ?”
“ประหยัดไฟ” ชายหนุ่มนอนอยู่บนเตียงด้วยความหงุดหงิด
สวี่จือจือเม้มปากหัวเราะแล้วเดินเข้ามา “งั้นคุณเข็นคุณย่าไปดูหนังด้วยกันสิ”
“หนังมันมีอะไรน่าดู” ลู่จิ่งซานพูดเสียงอู้อี้ ก่อนที่สวี่จือจือจะได้พูดอะไร เขาก็ลุกขึ้นนั่งแล้วพูด “แต่ถ้าคุณย่าอยากดู ผมก็จะเข็นไป”
สวี่จือจือกลั้นหัวเราะ ไม่นึกเลยว่าลู่จิ่งซานจะมีด้านที่ดื้อดึงแบบนี้ด้วย
“ใช่แล้วๆๆ” เธอพูด “ถ้าไม่มีคุณเข็นไปก็ไม่ได้หรอก”
ผู้ชายก็เป็แบบนี้แหละ รักษาหน้ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คำพูดนี้เป็จริงเสียยิ่งกว่าจริง
ในยุคนี้สิ่งบันเทิงมีไม่มากนัก การได้ดูหนังเื่หนึ่งก็มีความสุขไปได้อีกนาน โดยเฉพาะเด็กๆ หนังฉายที่หมู่บ้านไหนก็แทบจะไม่พลาดสักครั้ง
ตอนที่พวกสวี่จือจือเข็นคุณนายลู่ไปนั้น หนังยังไม่เริ่มฉาย แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนมากที่นำเก้าอี้ไปจับจองที่นั่งกันั้แ่เนิ่นๆ
คุณนายลู่เป็คนที่เข้ากับคนง่ายในหมู่บ้าน เมื่อเห็นเธอมาก็มีคนสละที่นั่งให้เธออย่างรวดเร็ว
“หญิงชราคนนั้นเป็ใครเหรอ?” ไม่ไกลออกไป กลุ่มยุวปัญญาชนก็ถือเก้าอี้มาดูหนังเช่นกัน ฟางย่วนย่วนกินเมล็ดแตงโมแล้วถาม
“คนนี้น่ะเหรอ” หนุ่มน้อยที่คอยเอาใจรีบอธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของคุณนายลู่ “เก่งกาจมากเลย”
ฟางย่วนย่วนเบะปาก
ถ้าจะพูดถึงความเก่ง คนในครอบครัวของเธอก็เก่งไม่แพ้กัน ก็เลยถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่
“ถ้างั้น” อันฉินพูดอย่างแ่เบา “สวี่จือจือคนนี้ก็ถือว่าโชคดีมากนะ”
ถ้าเธอได้แต่งงานกับคนในครอบครัวแบบนี้ มีสามีอยู่ในกองทัพ แถมยังมีคุณย่าที่เก่งกาจขนาดนี้ อีกฝ่ายจะยังต้องกังวลเื่งานหนักงานเบาอะไรอีก?
ได้ยินมาว่าโรงเรียนประถมของทางการจะมีเด็กเข้าเรียนเยอะในเดือนกันยายน และ้าครูเพิ่มอีกสองคน ถ้าให้เธอได้สักที่คงจะดี
อันฉินลูบมือของตัวเอง มาได้ไม่กี่วันก็หยาบกร้านไปหมดแล้ว เมื่อเทียบกับสวี่จือจือหญิงสาวบ้านนอกที่ไม่รู้อะไรเลย ทำไมถึงได้โชคดีขนาดนี้นะ?
“ฉันได้ยินมาว่า” มีคนเดินผ่านมาแล้วพูดเสียงเบา “พวกเขายังไม่ได้เข้าหอกันเลยนะ”
ทุกคนคงจะเข้าใจกันดี
“ทำไมล่ะ?” อันฉินถามด้วยความสงสัย
“ทำไมน่ะเหรอ?” คนคนนั้นตาเป็ประกาย “สวี่จือจือก็แค่หน้าตาดีนิดหน่อย แต่พวกเธอไม่ใช่พูดว่า...จิติญญาคู่ครองอะไรน่ะเหรอ?”
หญิงสาวบ้านนอกแบบนั้น จะมีเื่อะไรที่คุยกันรู้เื่กับลู่จิ่งซานที่เคยเห็นโลกกว้างมาแล้ว? อันฉินเริ่มคิดอย่างจริงจัง
ฟางย่วนย่วนหัวเราะเยาะแล้วเก็บเมล็ดแตงโมของตัวเอง
ไม่มีอะไรน่าสนใจ
“ย่วนย่วน เธอจะไปไหน?” อันฉินถาม
“เดินเล่น” ฟางย่วนย่วนพูด เมื่อเห็นอันฉินลุกขึ้นก็พูดเสริม “ฉันอยากเดินเล่นคนเดียว”
อันฉิน “...”
ยุวปัญญาชนคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ หัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสถานการณ์
อันฉินโมโหแทบตาย แต่ยังคงยิ้ม “งั้นเดี๋ยวเธอกลับมาเร็วๆ นะ ฉันจะจองที่ไว้ให้”
ฟางย่วนย่วนฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด
ทางด้านสวี่จือจือ เมื่อจัดการให้คุณนายลู่นั่งเรียบร้อยแล้ว เธอก็นั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย “คุณย่า เมล็ดฟักทองค่ะ”
เป็เมล็ดฟักทองที่ตากแห้งเอง เธอรู้ว่าคืนนี้มีหนังฉาย สวี่จือจือก็เลยตั้งใจเอาไปคั่วในกระทะ ไม่ได้ใช้น้ำมัน แค่คั่วแห้งๆ ก็ยังหอมมาก
มีเด็กๆ ที่อยู่ข้างๆ อยากกินมาก สวี่จือจือยิ้มแล้วแบ่งให้พวกเขาหลายคน
ใครจะรู้ว่าไม่นานก็มีเด็กๆ มาล้อมหน้าล้อมหลัง ทำให้สวี่จือจือหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เกือบจะก่อให้เกิดาแย่งเมล็ดฟักทอง
สุดท้ายก็ต้องแบ่งเมล็ดฟักทองในมือคุณนายลู่ออกไปด้วย ถึงจะปลอบใจเด็กๆ ได้สำเร็จ แต่ก็ทำให้สวี่จือจือได้รับการยอมรับมากขึ้น
เมล็ดฟักทองเป็สิ่งที่เห็นได้ทั่วไป แต่เมล็ดฟักทองคั่วอร่อยๆ แบบนี้มีไม่มากนัก แถมยังใจกว้างแบ่งให้เด็กๆ อีก น่าชื่นชมจริงๆ
ในเวลาอันสั้นก็มีคนชมสวี่จือจือกับคุณนายลู่มากขึ้น
“พี่” มีหญิงชราคนหนึ่งมาพูดกับคุณนายลู่ด้วยรอยยิ้ม “ฉันได้ยินมาว่าหลานชายกับหลานสะใภ้ของพี่ยังไม่ได้เข้าหอกันเลยเหรอ?”
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะดูมีฐานะ แต่ดวงตาที่ตกลงก็เผยให้เห็นถึงความใจร้ายของอีกฝ่าย
คุณนายลู่เหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเ็า “หม่าซานเซียน ฉันว่าเธอคงอยากให้ฉันสั่งสอนเธออีกแล้วใช่ไหม?”
หม่าซานเซียนหน้าเจื่อนไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า “ดูสิ ทำไมต้องโมโหกันด้วย ฉันก็แค่เป็ห่วงพี่ไม่ใช่หรือไง?”
“พี่บอกว่ารักลู่จิ่งซานมาก รอที่จะอุ้มเหลนอยู่ไม่ใช่เหรอ?” หม่าซานเซียนพูด “นี่แต่งงานกันมานานเท่าไหร่แล้วยังไม่ได้เข้าหอกันอีก เมื่อไหร่พี่ถึงจะได้อุ้มเหลนสักทีล่ะ” อย่ารอให้เข้าโลงไปแล้วก็ยังไม่ได้อุ้ม
“พูดจาเหลวไหล” คุณนายลู่สีหน้าดำคล้ำ “คนในตระกูลลู่ของฉันมีลูกมีหลานเยอะแยะ ฉันอุ้มเหลนมาั้แ่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว”
“คิดว่าใครๆ ก็เหมือนบ้านเธอเหรอ? พวกไร้ศีลธรรม ใกล้จะสูญพันธุ์กันหมดแล้ว”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้