ดาบฟันลงไปเพียงหนึ่งครั้งก็มีโจรูเาล้มลงหนึ่งคนดวงตาเ็าที่กำลังกระหายเืของม่อเวิ่นเฉินค่อยๆ เข้มขึ้น มือของเขากำดาบแน่นขณะหันไปมองซูฉีฉีที่ตกอยู่ในเงื้อมือของฮวาฉือเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
สีหน้าของซูฉีฉีในตอนนี้ยังคงสงบนิ่งไม่ต่างจากเดิมความสงบนิ่งนั้นเป็การแสดงถึงความเฉยชา เป็ความเยือกเย็นประหนึ่งว่าตนได้ปลงตกกับทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้แล้ว
ซูฉีฉีที่เป็เช่นนี้นั้นทำให้ม่อเวิ่นเฉินอดตะลึงไม่ได้สตรีนางนี้ช่างรู้ตัวดีเสียจริงๆ
แน่นอนว่าซูฉีฉีนั้นเข้าใจอยู่แล้วเวลาเช่นนี้ม่อเวิ่นเฉินจะต้องไม่มีทางเลือกที่จะทิ้งพี่น้องของเขาเพื่อนางเป็แน่เพาะฉะนั้นนางมิได้คาดหวังให้คนผู้นั้นมาช่วยเหลือนาง
นางเงียบไม่พูดไม่จาและไม่แม้แต่จะมองไปทางม่อเวิ่นเฉินสายตานางจับจ้องไปเพียงแค่ทิวทัศน์อันไกลโพ้น
“อ๋องติ้งเป่ยโหวพระชายาของเ้าในตอนนี้อยู่ในมือของข้าแล้ว” ฮวาฉือในเวลานี้กลับดูเรียบเฉยไม่ได้โมโหหรือรู้สึกยินดีแต่อย่างใด
มือหนึ่งของเขาถือพัดเอาไว้เล่มหนึ่งพัดเล่มนั้นไม่ได้กางออกแต่กลับทาบอยู่ตรงลำคอของซูฉีฉี
ความรู้สึกเย็นๆ นั้นกำลังเตือนสติซูฉีฉีว่าพัดเล่มนี้มิได้ต่างอะไรกับดาบคมในมือของม่อเวิ่นเฉินแม้แต่น้อย
บุรุษที่มีท่าทีอ่อนโยนผู้นี้ซึ่งเป็ถึงหัวหน้าของกลุ่มโจรเขาไม่มีทางใจอ่อนยอมปล่อยนางอย่างแน่นอน
“แล้วอย่างไร?”ม่อเวิ่นเฉินฟันดาบฆ่าโจรูเาไปอีกคนหนึ่งทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยเื ดาบที่อยู่ในมือก็เช่นกันหยดเืค่อยๆหยดจากปลายดาบลงสู่พื้นดินทีละหยดๆ!
“ไม่อย่างไร เอาชีวิตท่านมาแลก” ฮวาฉือพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมากเสื้อคลุมยาวสีไพลินนั้นปลิวสะบัดไปตามสายลม หากมองข้ามไอสังหารและความอาฆาตแค้นที่แฝงอยู่ในแววตาของเขาแล้วจากโฉมหน้าของเขาทำให้คนที่พบเห็นต้องเชื่อว่าเขานั้นเป็เพียงแค่บัณฑิตหนุ่มที่สุภาพอ่อนโยนคนหนึ่งเป็แน่
ซูฉีฉีกลับเงยหน้าขึ้นน้อยๆ และยิ้มเย็นออกมารอยยิ้มนี้นางตั้งใจจะมอบให้กับฮวาฉือ
แต่นั่นกลับทำให้ฮวาฉือนิ่งอึ้งไปสักพักหนึ่งนางเป็สตรีประเภทใดกัน ั้แ่นางตกอยู่ในมือของเขาจนถึงตอนนี้นางไม่ได้หวีดร้องด้วยความกลัวหรือะโขอให้คนมาช่วย อีกทั้งยังไม่มีแม้แต่ท่าทีใ
สมกับที่เป็พระชายาของติ้งเป่ยโหวม่อเวิ่นเฉินจริงๆ
ม่อเวิ่นเฉินเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่างออกมาแต่เมื่อเขาหันไปเห็นรอยยิ้มเย็นของซูฉีฉีในใจของม่อเวิ่นเฉินก็นิ่งไปเช่นกัน สตรีนางนี้มักจะรู้เสมอว่าตนอยู่ในสถานะใดสินะ
ซูฉีฉีที่เป็เช่นนี้นั้นทำให้เขาเ็ปใจอยู่ไม่น้อย
แต่ติดตรงที่เขาคือม่อเวิ่นเฉิน เพราะฉะนั้นซูฉีฉีสำหรับเขาแล้วเป็ได้แค่ตัวตนที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้น
“ฮ่าๆๆ” ไม่นานม่อเวิ่นเฉินก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะยกดาบในมือของตนขึ้น “มิสู้เ้าช่วยข้าจัดการกับนางให้เสร็จในดาบเดียว?”
แม้ว่านางจะรู้ว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่มีทางช่วยชีวิตนางแน่แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดจาเช่นนี้ออกมาร่างกายที่บอบบางของนางก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเบาๆ
สีหน้าของฮวาฉือก็เปลี่ยนไปเช่นกันในที่สุดเขาก็มีโทสะปรากฏอยู่บนใบหน้าแล้ว “ม่อเวิ่นเฉินขนาดชีวิตของชายาเ้ายังทิ้งได้งั้นหรือ?”
“ชายาแต่ในนามเท่านั้น” ม่อเวิ่นเฉินไม่เคยยอมรับว่าซูฉีฉีนั้นคือชายาของตน
“ข้าลงมือเองก็แล้วกัน”ตอนนี้ซูฉีฉีทนฟังต่อไปไม่ได้อีกแล้วแม้ว่าตอนที่นางช่วยม่อเวิ่นเฉินไว้จะเพราะจุดประสงค์เล็กๆ น้อยๆและภายหลังที่ผสมยาถอนพิษนั้นก็เพราะถูกบีบบังคับโดยไม่มีทางเลือกทว่านางก็ยังคงหวังว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นจะเปลี่ยนท่าทีของเขาที่มีต่อนาง
แต่ว่าตอนนี้นางรู้แล้วเื่บางเื่นั้นไม่มีทางที่จะเปลี่ยนได้
สถานะเช่นนางคงเป็ได้เพียงความอัปยศของม่อเวิ่นเฉินเท่านั้น
แต่ในนาม...ซูฉีฉียิ้มออกมาอย่างหมองหม่นแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความทะนงตัวของตนไว้อยู่
ฮวาฉืออึ้งใอีกครั้งเขาจับพัดในมือของตนก่อนจะจ้องตรงไปที่ซูฉีฉีเขาถึงขั้นลืมไปแล้วว่าตนนั้นควรจะทำอะไร สตรีผู้นี้พูดว่านางจะลงมือเอง!
นางไม่คิดจะทำตัวเป็ภาระต่อม่อเวิ่นเฉิน? หรือว่า?
เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนใกล้จะเป็บ้าแล้วหลายปีมานี้ฮวาฉือพาพี่น้องของเขาบุกเหนือล่องใต้ สร้างพรรคเด็ดบุปผาขึ้นประสบพบเจออะไรมาก็มาก แต่เขากลับไม่เคยเจอหญิงประหลาดเช่นนางมาก่อนเลย
ซูฉีฉีไม่ได้หันไปมองม่อเวิ่นเฉินแต่กลับหยิบเอาเข็มทองจากแขนเสื้อตนเองออกมานางหนีบเข็มทองสองเล่มไว้ระหว่างนิ้วของตน เข็มเล่มหนึ่งแทงลงไปตรงลำคอของตนเื่ของจุดบนร่างกายคนนั้นนางระบุได้อย่างแม่นยำเข็มเล่มนี้ถ้าหากทิ่มลงไปแล้วจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เดิมนางใช้เข็มทองเพื่อช่วยคนตอนนี้นางกลับใช้เข็มทองเพื่อฆ่าตัวตาย
ช่างน่าตลกเสียจริง
แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวนี้เหน็บหนาวอยู่ไม่น้อยเมื่อมันส่องลงไปบนเข็มทองนั้นก็ทำให้รู้สึกแสบตาอยู่บ้าง
ม่อเวิ่นเฉินเองก็จ้องตรงไปที่เข็มทองในมือของซูฉีฉีมือที่กำดาบอยู่นั้นบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆเส้นเืบนหลังมือนูนขึ้นจนเหมือนจะะเิออกมาได้ทันใดนั้นเขาก็ร้องะโเสียงดังก่อนจะยกดาบขึ้นฟันโจรูเาที่พุ่งมาข้างหน้าจนขาดท่อน
โลหิตพุ่งกระจายไปรอบๆ ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมากลับทำให้ภาพนั้นดูสวยงามอย่างน่าประหลาด
ทุกคนในที่นั้นเสมือนกำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้าและในขณะที่ทุกคนได้สติคืนมาแล้วหันไปมองทางซูฉีฉี
พวกเขากลับพบว่านางนั้นไม่ได้ล้มลงและฮวาฉือที่เมื่อครู่กำลังจับซูฉีฉีไว้เป็ตัวประกันนั้นก็ได้ถูกเข็มทองเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งทิ่มลงไปที่จุดบนลำคอเสียแล้ว
ร่างอันบอบบางของซูฉีฉีโอนเอนเล็กน้อยทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านหัวหน้าพรรคฮวาฉือ บอกให้ลูกน้องของท่านถอยไปให้หมด”
“ไม่มีทาง” ริมฝีปากของฮวาฉือเม้มสนิทไอสังหารกระจายออกมาจากดวงตาทั้งสองทำให้ภาพลักษณ์บัณฑิตของเขานั้นจางลงไม่น้อย
นิ้วมือของนางออกแรงเพียงนิดเดียวก็ทำให้เข็มทองที่ปักอยู่บนลำคอของฮวาฉือนั้นได้กรีดไปบนผิวขาวรอยเืจางๆ ก็ปรากฏออกมาให้ทุกคนได้เห็น
เ้าบ้านสองและเ้าบ้านสามที่กำลังประมือกับเหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงนั้นก็หยุดกระบวนท่าของตนก่อนจะพร้อมใจกันล่าถอยและะโออกมาอย่างร้อนรน “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
พวกคนที่กำลังสู้รบกับม่อเวิ่นเฉินก็ล้วนถอยออกไปก้าวหนึ่งเช่นกันพวกเขาไม่กลัวตาย จะกลัวก็แต่ว่าหัวหน้าพรรคของตนนั้นจะได้รับอันตราย
เหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อครู่ตอนที่พวกเขาเหลือบไปมองนั้นคือภาพที่ซูฉีฉีได้ถูกฮวาฉือจับเอาไว้เพียงชั่วพริบตาเดียว ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปแล้ว
“ไม่ต้องเข้ามาฆ่าม่อเวิ่นเฉินทิ้งซะ” ฮวาฉือะโออกมาโอกาสที่จะฆ่าม่อเวิ่นเฉินนั้นมีไม่มาก เพราะฉะนั้นเขาไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้
ทุกคนล้วนไม่กล้าขยับตัว
ต่อให้ต้องล้างแค้นแต่จะเสียสละหัวหน้าพรรคไม่ได้
พวกเขารู้ แม้ว่าในมือของซูฉีฉีจะมีเพียงเข็มทองเล็กๆ เล่มหนึ่งเท่านั้นแต่ว่าเื่ใดที่เกี่ยวกับลูกพี่ของพวกเขาล้วนไม่ควรเสี่ยงทั้งนั้น
“หากชีวิตยังมีอยู่ย่อมไม่กลัวที่จะไร้โอกาส” ซูฉีฉีเขย่งปลายเท้าขึ้นก่อนจะกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของฮวาฉือ
ตอนนี้ซูฉีฉีทำเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเท่านั้นนางไม่ฝากความหวังใดๆ ไว้กับม่อเวิ่นเฉินอีกแล้ว
นางไม่ได้คิดอยากจะฆ่าฮวาฉือ
และฮวาฉือในตอนนี้รู้สึกมึนงงอย่างถึงที่สุดเขาไม่เข้าใจสตรีตรงหน้านี้ ใบหน้าที่เกือบจะงามบริสุทธิ์ตัวตนที่ดูลึกลับประกอบกับโครงหน้าที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานนั้นกลับสะกดสายตาเขาอย่างประหลาด
จากนั้นเขาก็หรี่ตาลงและมองไปทางเ้าบ้านสองและเ้าบ้านสาม “ให้พวกพี่น้องถอยไปให้หมด”
ั้แ่พบเจอกับฮวาฉือจนถึงตอนนี้เื่ที่เกิดขึ้นสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนไปไม่น้อย ทั้งการโจมตีกลับของซูฉีฉีทั้งการเปลี่ยนแปลงของฮวาฉือ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
ม่อเวิ่นเฉินเดิมคิดอยากให้ซูฉีฉีจัดการกับฮวาฉือทิ้งเสียแต่เพราะตนเกรงว่าจะต้องสูญเสียกองทหารโลหิตไปอีกกลุ่มหนึ่งเขายังต้องเก็บกำลังไว้สำหรับเข้าเมืองหลวง เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงทำได้แค่อดทน
จนกระทั่งคนเ่าั้ถอยไปจนถึงระยะที่ปลอดภัยแล้วจึงยอมปล่อยให้ฮวาฉือกลับไป
ก่อนจากไปนั้นฮวาฉือกลับยกพัดขึ้นมาสะบัดเบาๆ “พระชายา แล้วพบกันใหม่”
จากนั้นร่างกายเขาก็ขยับเพียงเล็กน้อยก่อนจะหายออกไปจากสายตาของทุกคน
วิชาตัวเบาของเขาดูเหมือนจะสูงกว่าม่อเวิ่นเฉินอยู่ระดับหนึ่ง
รถม้าออกตัวไปข้างหน้าต่อทว่าบรรยากาศในรถม้ากลับประหลาดผิดปกติ
ซูฉีฉีหลุบตาลงน้อยๆผมยาวสลวยไหลลงมาบริเวณอกของนาง นางมิได้มองม่อเวิ่นเฉินแม้แต่น้อย ตัวนางในตอนนี้ให้ความรู้สึกหยิ่งทะนงอยู่บางๆ
“เ้าพูดอะไรกับเขาไป?”ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยขึ้นมาก่อน
“หากชีวิตยังมีอยู่ย่อมไม่กลัวที่จะไร้โอกาส” ซูฉีฉีก็พูดออกมาโดยไม่ปิดบังใจของนางตอนนี้เย็นะเืไปแล้วนางไม่กล้าที่จะคาดหวังอะไรจากม่อเวิ่นเฉินอีกแล้ว
นอกเสียจากว่าซูฉีฉีจะเป็คนโง่
นิ้วมือของม่อเวิ่นเฉินค่อยๆ ลากผ่านผมที่ยาวสลวยของซูฉีฉีเขาเองก็ตกตะลึงในการกระทำของตัวเอง การกระทำนี้ของเขาเป็ไปเองโดยธรรมชาติไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา “เป็เช่นนั้นจริง”
สำหรับการกระทำของม่อเวิ่นเฉินนั้น ซูฉีฉีรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินนักคิ้วของนางขมวดเข้าหากันน้อยๆ
นางไม่อยากจะมีความหวังใดๆ อีกโดยเฉพาะเมื่อตอนที่ใจของนางได้ตายไปแล้วแต่บุรุษผู้นี้กลับกระทำอันใดอยู่...
ผมยาวของซูฉีฉีเสมือนผ้าแพรชั้นดีเส้นผมค่อยๆ ลากผ่านหว่างนิ้วของม่อเวิ่นเฉินก่อนที่มือที่มีความหยาบกระด้างอยู่บ้างของเขาหุบลงนำเอาเส้นผมของนางกำไว้อยู่ในฝ่ามือ “แล้วพบกันใหม่ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชมในตัวเ้ามาก”