ม่อเวิ่นเฉินมองไปทางซูฉีฉีที่อยู่ในอ้อมกอดของตนสีหน้าของเขายังคงเ็าเหมือนเคย ในขณะที่ซูฉีฉีรีบดันตัวเองออกอย่างรวดเร็วใบหน้าของนางเป็สีแดงจางๆ ก่อนจะเลิกผ้าม่านขึ้นดูว่าข้างนอกนั้นเกิดเหตุอะไรขึ้น
ยังมิทันที่ผ้าม่านจะเปิดขึ้นม่อเวิ่นเฉินที่อยู่ด้านหลังก็โน้มตัวลงมาทับนางลงกับพื้นธนูขนนกกว่าสิบดอกลอยเฉียดศีรษะของนางไปก่อนจะทิ่มแทงเข้ากับตัวรถม้าผ่านไปเนิ่นนานเสียงฟิ้วของลูกธนูก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ไกลออกไปบนผืนน้ำแข็งก็มีคนชุดขาวปิดหน้ากว่าสิบคนกำลังบุกเข้ามา
ในมือของทุกคนมีดาบเล่มยาวที่พร้อมจะฆ่าฟันผู้คนที่มาขวางหน้าพวกเขา
ม่อเวินเฉินกอดซูฉีฉีไว้ก่อนจะพานางกลิ้งออกจากรถม้าไปด้วยกันจากนั้นเขาก็คว้าเอาดาบยาวที่ผูกไว้อยู่ข้างเอวออกมาเผชิญหน้ากับนักฆ่าสิบกว่าคนที่กำลังบุกเข้ามาม่อเวิ่นเฉินฟาดฟันกว่าสิบกระบวนท่า ทุกท่านั้นล้วนเต็มไปด้วยไอสังหาร
แค่ประมือกันเพียงครู่เดียวคนชุดขาวกว่าสิบคนก็ก้าวถอยออกไปอย่างหวาดกลัว
เหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนที่จัดการกับพลธนูเรียบร้อยแล้วก็วิ่งเข้ามาสมทบ
บุกมานั้นง่ายนักแต่ถ้าคิดจะหนีกลับไปคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว
การเดินทางครั้งนี้ของม่อเวิ่นเฉินมิได้แจ้งกับคนภายนอกว่ามีเหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงเดินทางมาด้วยด้วยเหตุนี้พวกคนเ่าั้ได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนต้องตาย
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูฉีฉีได้รู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นางมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยยิ่งไปกว่านั้นใจของนางนั้นสงบนิ่งมาก
“ม่อเวิ่นเฉิน ทิ้งศีรษะของเ้าเอาไว้แล้วพวกเราจะยอมไว้ชีวิตลูกน้องของเ้า”หัวหน้าของคนชุดขาวะโออกมาเสียงดัง เหมือนว่า้าให้เสียงปลุกขวัญกำลังใจที่สูญหายไปของตน
ถ้าหากเขารู้ว่าเหลยอวี๊เฟิงได้ติดตามมาด้วยการค้าครั้งนี้ต่อให้ตายเขาก็คงไม่รับมันไว้แน่
เขาไม่มีทางทำเพื่อเงินจนไม่สนใจชีวิตของตนอย่างแน่นอน
สาเหตุที่เขายอมรับปากไล่ฆ่าม่อเวิ่นเฉินนั้นก็เพราะได้ยินมาว่าม่อเวิ่นเฉินโดนพิษมาเป็เวลานานวรยุทธ์นั้นได้สูญสิ้นไปจนหมดแล้ว
แน่นอนว่าข่าวลือเช่นนี้ล้วนถูกกระจายออกมาจากสำนักเหลย
“ปากกล้าไม่เบา”ใบหน้าของเหลยวอวี๊เฟิงยังคงประดับด้วยรอยยิ้มทว่ายิ้มนั้นกลับดูเหมือนยมบาลที่ถูกส่งตัวมาปลิดชีพมนุษย์จากแดนนรกก็มิปาน
นักฆ่าสิบกว่าคนนี้แค่เหลยอวี๊เฟิงคนเดียวก็จัดการได้แล้ว
ต่อให้ทั้งหมดนั้นร่วมมือกันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาเจอกลุ่มนักฆ่าไม่ต่ำกว่าสิบกลุ่มล้วนแต่เป็พวกอ่อนหัดด้อยฝีมือและคนพวกนั้นก็ล้วนแต่ต้องตายให้เืไหลอาบโลหิตยาวตามทางที่พวกเขาวิ่งผ่านมา
เมื่อมองกลับไปที่สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินที่ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนับั้แ่ออกมาจากจวนอ๋องเขาไม่มีทีท่าจะใส่ใจพวกนักฆ่าเหล่านี้แม้แต่น้อย
พวกตัวประกอบเหล่านี้ไม่ควรค่าแก่การนำมาใส่ใจจริงๆ
แค่เหล่ากองทหารโลหิตที่คุ้มกันอยู่ในที่ลับก็สามารถจัดการพวกเขาได้โดยง่ายแล้ว
แต่เพราะว่าหอเงาคมนั้นได้ฆ่ากองทหารโลหิตของเขาไปแล้วกลุ่มหนึ่งครั้งนี้ม่อเวิ่นเฉินต้องคิดละเอียดรอบคอบมากขึ้นจะให้พวกพี่น้องของเขาต้องมาเสียสละชีวิตตัวเองด้วยเื่เช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว
เนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่บริเวณใกล้เมืองหลวงนั้นพวกม่อเวิ่นเฉินก็ถูกขวางทางโดยคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่ง
แน่นอนว่าพวกเขาก็เป็กลุ่มนักฆ่าอีกกลุ่มหนึ่งพวกเขานั้นเห็นได้ชัดว่าเก่งกาจว่าพวกขยะก่อนหน้านี้อยู่ไม่น้อยพวกเขาไม่ได้แอบลอบโจมตีหรือว่าปล่อยอาวุธลับแต่กลับมาขวางถนนอย่างเปิดเผย
“ข้างหน้ามีพวกสุนัขมาขวางทางพวกเราคงต้องพักการเดินทางสักระยะหนึ่ง” เหลยอวี๊เฟิงที่อยู่บนหลังอาชาะโออกมาเสียงดังเขามีนิสัยเช่นนี้มาโดยตลอด
นิสัยของเขามักทำให้คนรู้สึกหมั่นไส้เข้ากระดูก
แต่ถ้าหากต้องสู้กันแล้ว พวกเขาก็มักจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
“รนหาที่ตายซะแล้ว”หนึ่งในคนกลุ่มนั้นะโกลับมาข้างกายของเขาดูเหมือนว่าจะเป็ลูกพี่ใหญ่ทว่าคนผู้นั้นที่ดูราวกับบัณฑิตผู้หนึ่งกลับหันไปถลึงตาใส่ผู้ที่ะโขึ้น
คนผู้นั้นจึงยอมเก็บดาบที่ชักออกมาของตนกลับที่เดิม
“เบื้องหน้าผู้นี้ใช่ท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวหรือไม่? ข้าน้อยพรรคเด็ดบุปผาฮวาฉือ!” บุรุษเสื้อสีไพลินผู้มีลักษณะเหมือนบัณฑิตนั้นเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเคารพนอบน้อมพร้อมยกมือทำความคารวะ
“นี่กำลังแสดงละครฉากไหนอยู่งั้นหรือ”เหลยอวี๊เฟิงนิ่งอึ้งไป
พรรคเด็ดบุปผา? เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ก็ยังคงเทียบไม่ได้กับสำนักเหลย
พวกเขาก็มาเพื่อเงินรางวัลของม่อเวิ่นเสวียนงั้นหรือ?
ฟังดูไม่เข้าท่าเสียเท่าไรนัก
ม่อเวิ่นเฉินเลิกผ้าม่านในรถม้าขึ้นก่อนจะมองไปที่กลุ่มคนขี่ม้าที่อยู่เบื้องหน้า “คือข้าน้อยเอง ไม่ทราบว่าเ้าบ้านฮวามาหาเปิ่นหวังมีเื่อันใด?”
บุรุษผู้นี้สวมชุดยาวสีดำสนิทเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็มีบารมีของผู้สูงศักดิ์ที่สามารถข่มขวัญผู้อื่นอย่างง่ายได้
เสียงของเขาเรียบนิ่งทำให้ผู้ที่ฟังไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นใดอยู่ในตอนนี้
“มาจัดการคิดบัญชีเก่าเสียหน่อย”บุรุษที่ยืนอยู่ข้างฮวาฉือเอ่ยออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง
“มิผิด” ครั้งนี้ฮวาฉือมิได้ขัดคำพูดของพี่น้องตนแต่กลับพยักหน้าอย่างเปิดเผย “เมื่อหนึ่งปีก่อนท่านอ๋องได้นำทหารมีฝีมือห้าพันนายมากวาดล้างพรรคเด็ดบุปผาของข้าวันนี้ต่อให้ข้าฮวาฉือต้องตายก็ต้องล้างแค้นให้กับพี่น้องของข้า”
“ที่แท้เป็เช่นนี้”ม่อเวิ่นเฉินนั้นยังคงมีท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “อยากล้างแค้น ได้สิ ขอแค่เ้ามีความสามารถมากพอที่จะฆ่าเปิ่นหวัง”
ความทะนงถือตนเป็ใหญ่ของเขานั้นทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามนั้นอยากจะพุ่งเข้าไปฆ่าเขาให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น
ดูเหมือนว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นมีความสามารถทำให้คนอารมณ์เสียได้มากกว่าเหลยอวี๊เฟิงเสียอีก
ทว่าฮวาฉือกลับมิได้โมโหเขายังคงจ้องมองไปทางม่อเวิ่นเฉิน “พวกเราเป็ขโมยเป็โจรูเา พวกเราไม่สนใจหลักการความถูกต้องและยิ่งไม่คิดจะทำอะไรตามกฎเกณฑ์แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็คำที่พวกราชสำนักอย่างพวกท่านพูดถึงพวกเราอยู่แล้วเพราะฉะนั้นอย่าโทษว่าข้าน้อยมิได้เตือนท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวล่วงหน้าเสียก็แล้วกัน”
“ขอบคุณ” ม่อเวิ่นเฉินนั้นชื่นชมในตัวฮวาฉือที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากขึ้นมิน้อยคนผู้นี้ถือได้ว่าเป็ลูกผู้ชาย
ทว่า คนหนึ่งเป็โจร อีกคนเป็ขุนนางพวกเขาถูกกำหนดแล้วว่าต้องเป็ศัตรูกัน
“ลงมือ”
ทันทีที่ฮวาฉือยกมือขึ้นคนชุดดำข้างหลังกว่าร้อยคนก็พุ่งตัวไปข้างหน้า สัญลักษณ์ของพวกพรรคเด็ดบุปผานั้นก็คือชุดสีดำ
“ดูเหมือนว่าปีก่อนตอนเปิ่นหวังกวาดล้างรังโจรนั้นถือว่าพลาดพลั้งไปแล้วถึงทำให้พวกเ้าสามารถฟื้นคืนกลับมาได้เร็วถึงเพียงนี้”ม่อเวิ่นเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ยั่วยุโทสะคนเป็อย่างมาก
ซูฉีฉีที่อยู่บนรถม้านั้นกลับรู้สึกประหลาดใจที่แท้ม่อเวิ่นเฉินเองก็มีมุมเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
ความจริงแล้วการกวาดล้างรังโจรเมื่อปีก่อนนั้นม่อเวิ่นเฉินมิได้เข้าร่วมเป็เพียงการอ้างนามเขาของม่อเวิ่นเสวียนเพื่อล้างอำนาจของเหล่าจอมยุทธ์และโจรูเาเท่านั้นเนื่องจากใช้เพียงชื่อเสียงของม่อเวิ่นเฉินนั้นก็เพียงพอจะข่มขวัญพวกพรรคเล็กๆ ได้แล้ว
องครักษ์ข้างกายของม่อเวิ่นเฉินเองก็พุ่งตัวออกไปเช่นกันเหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงย่อมไม่อาจแอบซ่อนตัวต่อไปได้อีกล้วนแต่บุกเข้าโจมตีกันทั้งสิ้น
แต่เดิมคิดว่าคนเหล่านี้เป็พวกนกกระสาด้อยฝีมือแต่เมื่อประมือกันแล้วเหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนก็อดใมิได้ฝีมือของบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายฮวาฉือเมื่อครู่นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลยอวี๊เฟิงเลย
ถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปโฉมดิบเถื่อนเหมือนโจรูเาแต่เมื่อลงมือเข้าจริงๆ กลับไม่มีท่าทีประมาทแม้แต่น้อย ทุกกระบวนท่าทุกฝ่ามือล้วนแต่ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย
แน่นอนว่าบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังฮวาฉือโดยไม่เอ่ยวาจาใดๆ ออกมาผู้นั้นก็มีฝีมือไม่เป็รองเหลิ่งเหยียนเช่นกัน
ดูเหมือนว่าพรรคเด็ดบุปผาจะมีการเตรียมการมาก่อนแล้ว
พวกเขาลั่นวาจาว่าจะปลิดชีพของม่อเวิ่นเฉินล้างแค้นคดีเก่าที่ติดค้างกันมา
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีฝีมือที่แข็งแกร่งเช่นนั้นแต่สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินก็ยังคงนิ่งเรียบไม่เปลี่ยนทว่าในใจก็เข้าใจได้โดยทันทีมิน่าเล่าพวกเขาถึงสามารถฟื้นคืนกำลังมาได้ในเวลาเพียงหนึ่งปีดูเหมือนว่าฝีมือจะไม่ด้อยเลย
“ท่านจะมองดูพวกพี่น้องของท่านต้องเสียชีวิตไปเปล่าๆ เช่นนี้หรือ?”ฮวาฉือไม่รีบร้อนเช่นกันเขามองไปที่ท้องฟ้าอันไกลโพ้นพลางหันไปมองม่อเวิ่นเฉินยิ้มๆ
เป็ดั่งคาดกองทหารโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ที่มืดนั้นก็ถูกบีบให้ลงมือแล้วเช่นกันทว่าพวกเขาก็ยังคงอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบกว่า
กองทหารโลหิตที่เขาฝึกฝนมาอย่างดีนั้นก็ยังแข็งแกร่งสู้กลุ่มโจรเหล่านี้ไม่ได้
บางทีอาจเป็เพราะพวกเขาไม่ได้สู้รบเป็เวลานานไม่ได้อาบร่างกายดด้วยโลหิตมานานแล้วก็เป็ได้
ม่อเวิ่นเฉินจับดาบยาวในมือแน่นก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในสมรภูมิรบตรงหน้าเช่นกันเหตุการณ์เบื้องหน้านั้นถือเป็าอาบโลหิตที่แท้จริง
การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วมากเร็วจนเพียงพริบตาเดียวคนชุดดำเื้ัเขาก็ล้มนอนลงกันเป็แถบ
โจรูเาต่อให้แข็งแกร่งเท่าใดต่อหน้าม่อเวิ่นเฉินแล้วก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
ฮวาฉือไม่อาจคงใบหน้าให้สงบนิ่งได้อีกแล้วเมื่อเขาหันไปเห็นม่อเวิ่นเฉินที่ดาบอาบไปด้วยโลหิตเสมือนเป็ยมบาลเตรียมมาพรากชีวิตคนนั้นเขาก็กำมือแน่นก่อนจะพุ่งตัวออกไปเช่นกัน
ทว่าเขานั้นกลับไม่ได้ไปประชันฝีมือกับม่อเวิ่นเฉินแต่เลือกที่จะพุ่งไปทางรถม้าที่อยู่ด้านข้างของถนนแทน
ซูฉีฉีรู้ว่ามีเพียงการอยู่นิ่งๆ ในรถม้าเท่านั้นถึงจะถือเป็การช่วยเหลือม่อเวิ่นเฉินทว่าที่นางคิดไม่ถึงก็คือในเวลานี้มีมือหนึ่งจากด้านนอกยื่นเข้ามาในรถม้ามือนั้นพุ่งตรงเข้ามาคว้าตัวนางในทันที