“ก็ไม่แน่” ซูฉีฉีไม่ได้ตอบกลับด้วยท่าทีเ็าแต่กลับเอ่ยออกมาอย่างมีมารยาท
นางรู้ดีว่าตนไม่สามารถมีปัญหากับบุรุษผู้นี้ได้
“ข้าเองก็ชื่นชมในตัวเ้ามาก” ม่อเวิ่นเฉินปล่อยมือจากผมองนางก่อนจะเอ่ยเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่ง
จากนั้นเขาก็เอนตัวลงพิงกับผนังของรถม้าแกล้งหลับตาพักผ่อนทำท่าทีประหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
จะพูดว่าการกระทำของเขานั้นเปรียบเสมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ก็มิปาน ซูฉีฉีในเวลานี้เกิดการสับสนขึ้นมาจริงๆนางไม่เข้าใจบุรุษตรงหน้าแม้แต่น้อย
บุรุษผู้นี้้าจะสื่ออะไรออกมากันแน่? ชื่นชม? มุมปากของนางกระตุกยิ้มขึ้น ในใจมีความรู้สึกแปลกใหม่บางอย่างถ้าหากจะพูดว่านางไม่ใจเต้นเลยนั่นคงจะเป็การหลอกตัวเอง หรือว่า...
ซูฉีฉีใช้สายตาวิเคราะห์ม่อเวิ่นเฉินที่กำลังปิดเปลือกตาอยู่ความโหดร้ายที่เป็เอกลักษณ์ประจำตัวเขา โครงหน้าที่คมเข้มดั่งผลงานแกะสลักชิ้นเอกทุกอย่างบนตัวเขาล้วนแต่ทำให้สตรีนั้นต้องหลงใหลจนมิอาจถอนตัวได้ซูฉีฉีเองก็เป็เพียงหญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เติบโตมาแต่ในเรือนนางเองก็คาดหวังว่าจะมีคนคนหนึ่งเดินเคียงคู่กันตลอดชีวิตทว่าั้แ่เริ่มแรกนางก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะไม่มีวันมีความสุข
รถม้าค่อยๆ วิ่งไปข้างหน้า ซูฉีฉีเองก็พยายามควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วนของตนและหันสายตามองไปทางอื่น
นางคอยบอกกับตนเองว่าอย่าลืมตนไปหน่อยเลยยังมิต้องพูดถึงฐานะของนางที่แสนกำกวมแค่เพียงรูปลักษณ์ของตนก็ไม่มีทางเข้าไปอยู่ในสายตาของม่อเวิ่นเฉินได้แล้วบนโลกนี้มีบุรุษใดบ้างไม่ชอบหญิงงาม!
ั้แ่เด็กนางก็รู้ตัวดีอยู่แล้ว
พวกเขาเข้าไปที่เมืองหลวง เมืองชิงได้อย่างราบรื่น
ขุนนางนับร้อยได้ออกมาต้อนรับอยู่หน้าประตูวังด้วยเหตุที่ว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นมีฐานะที่พิเศษทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเพิกเฉยต่อการมาเยือนของเขา
บิดาของซูฉีฉี ซูชือฉางก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเมื่อเขาเห็นหญิงสาวผู้สวมชุดในตำแหน่งสีแดงข้างกายม่อเวิ่นเฉินนั้นคือบุตรสาวของตนที่บัดนี้มีโฉมหน้างามสะอาดหมดจดและยังมีเสน่ห์สะดุดตาผู้คนนั้น สายตาของเขาก็จับจ้องไปด้วยความอาฆาตแค้น
ตลอดทางที่มาถึงนั้นทุกการกระทำและทุกอย่างที่ม่อเวิ่นเฉินประสบนั้นได้ถูกรายงานแก่ม่อเวิ่นเสวียนจนหมด
พวกเหล่าขุนนางนั้นก็ชื่นชมซูฉีฉีอย่างไม่หยุดปากพวกเขาบรรยายจนนางกลายเป็สตรีที่มีความสามารถรอบด้านไปเสียแล้ว
โดยเฉพาะผู้คนภายนอกเมืองหลวง พวกเขาต่างพูดกันว่านางใช้เพียงเข็มเล่มเดียวก็สยบศัตรูได้มีความสามารถพลิกวิกฤตให้เป็โอกาส ชวนให้ผู้คนนับถือเป็อย่างยิ่ง
ทุกคนล้วนแต่ชื่นชมว่าอัครมหาเสนาบดีนั้นมีบุตรสาวที่ดีถึงสองคน
ทว่าเมื่อข่าวลือเช่นนี้กระจายออกมากลับทำให้สีหน้าของม่อเวิ่นเสวียนย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆเขาเคยโต้ฝีปากกับซูฉีฉีมาก่อน เขาเพียงรู้ว่านางมิได้ดูอ่อนแอบอบบาง ยอมให้คนควบคุมได้โดยง่ายเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก
แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือนางนั้นมีสัมมาคารวะไม่ให้ผู้ใดจับผิดหรือว่ากล่าวเอาได้ซ้ำยังไม่ทำให้เสียหน้าและเสียเปรียบต่อผู้อื่นอีกด้วย
สตรีเช่นนี้ เหนือชั้นยิ่งกว่าบุรุษ
ม่อเวิ่นเสวียนเองก็พาซูเมิ่งหรูมารับขบวนด้วยตนเองเช่นกันใบหน้าที่น่าเกรงขามยังคงประดับด้วยรอยยิ้มมีเพียงดวงตาของเขาที่ฉายความเยือกเย็นออกมาแวบหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงเสียทีแต่ที่ทำให้คนคาดคิดไม่ถึงก็คือการที่พวกเขาไม่ได้ตายไประหว่างทาง
ทว่าไม่เป็ไร ตายที่เมืองชิงนั้นก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
“ถวายพระพรฝ่าา ขอทรงมีอายุหมื่นปีหมื่นหมื่นปีฮองเฮาทรงมีอายุพันปีพันพันปี” ม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีล้วนก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสดงความเคารพทว่าทั้งคู่ล้วนไม่ได้ทำการคุกเข่า
นี่เป็สิ่งที่ผู้คนต่างรู้กันทั่วว่าฮ่องเต้องค์ก่อนมีราชโองการรับสั่งว่าติ้งเป่ยโหวนั้นมีคุณงามความดีช่วยให้ประเทศนั้นสงบสุขเขาสามารถไม่คุกเข่าเมื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้
“น้องข้าไม่ต้องมากพิธีไป เดินทางมาทั้งวันลำบากเ้าแล้ว” ต่อหน้าขุนนางนับร้อยม่อเวิ่นเสวียนก็ได้แสดงละครฉากมิตรสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องนั้นเข้มข้นกว่าน้ำได้ดีเยี่ยมประชาชนที่คอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ต่างก็รู้สึกว่าเขาเป็ฮ่องเต้แสนดีที่หาได้ยากจริงๆ
ม่อเวิ่นเสวียนเป็คนฉลาด แม้ว่าเขาจะโหดร้ายทารุณไร้ความปราณีต่อม่อเวิ่นเฉิน ในใจคิดแต่จะหาทางกำจัดเขาทิ้งเสียทว่ากลับประชาชนและขุนนางนับร้อยนั้นเขากลับเป็คนจิตใจดีมีเมตตาเป็ยิ่ง
“ขอบพระทัยเสด็จพี่” ท่าทีของม่อเวิ่นเฉินนั้นมีความห่างเหินอยู่บ้างเขาไม่ชอบที่จะแสดงละครเบื้องหน้าเท่าใดนัก
ภายใต้สายตาที่อิจฉาของเหล่าขุนนางและประชาชนคนทั้งสี่ก็ได้ก้าวเข้าไปในวังหลวงอย่างช้าๆ
ซูเมิ่งหรูนั้นยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนนางกำมือของซูฉีฉีไว้ไม่ปล่อย ขานเรียกนางว่าพี่สาวไม่หยุดหย่อนเป็มิตรจนเกินไปทำให้ซูฉีฉียากที่จะยอมรับได้ไหว
ั้แ่เล็กจนโต น้องสาวผู้นี้ของนางนอกจากจะดูถูกนางต่อหน้าผู้อื่นแล้วดูเหมือนว่าจะไม่เคยเรียกนางว่าพี่สาวเลยสักครั้ง
ในใจของนางรู้ดีว่าครั้งนี้คงจะต้องเข้าไปในกับดักที่ลึกกว่าเดิมเป็แน่นางเดินหน้ามาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีทางใดให้ถอยแล้ว และนางก็จะถอนไม่ได้ทำได้เพียงแค่ก้าวต่อไปเท่าที่จะทำได้
“ฮองเฮา หม่อมฉันมิบังอาจให้พระองค์เรียกว่าพี่สาวจริงๆ เพคะ” ซูฉีฉีตั้งใจจะดึงระยะห่างระหว่างตนกับซูเมิ่งหรู “คำขานเรียกพี่น้องนั้นเป็เพียงอดีตไปแล้วตอนนี้กรุณาเรียกหม่อมฉันว่าน้องสะใภ้เถอะเพคะ”
ในเรือนรับรองที่ได้มีการจัดรองรับไว้แล้วนั้นมีเพียงซูฉีฉีและซูเมิ่งหรูสำหรับการตีสนิทของซูเมิ่งหรูนั้นซูฉีฉีคอยระวังอยู่เสมอซ้ำนางเองก็ได้เอ่ยปากสร้างระยะห่างระหว่างทั้งสองแล้วอีกด้วย
“ในยามที่ไม่มีข้ารับใช้พวกเราก็ยังคงเรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาวเถิดแบบนี้ถ้าท่านแม่ใหญ่เห็นเข้าจะได้รู้สึกสบายใจด้วย” ซูเมิ่งหรูยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนทว่าประโยคที่นางพูดเหมือนจะแฝงด้วยความนัยบางอย่าง
“ท่านแม่ของข้า...นางยังสบายดีอยู่หรือไม่?” เมื่อเอ่ยถึงมารดาของนางความสงบนิ่งของซูฉีฉีก็น้อยลงไปมาก
ใบหน้าของนางฉายความร้อนใจ
ครั้งนี้นางสามารถมีชีวิตกลับมาถึงเมืองหลวง เมืองชิงได้นั้นก็ดีใจไม่น้อยในที่สุดนางก็จะสามารถพบกับมารดาของตนได้อีกครั้งจากกันครั้งก่อนก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว ทุกครั้งที่นางรู้สึกอดทนต่อไปไม่ได้นั้น ความคิดที่ว่าจะทำให้มารดาของนางเสียใจก็ผุดขึ้นมานางถึงสามารถยืนหยัดและมีความกล้าที่จะมีชีวิตต่อมาได้จนถึงทุกวันนี้
สีหน้าของซูเมิ่งหรูเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากนั้นก็ยกมือขึ้นตบบนไหล่ของซูฉีฉีเบาๆ “ท่านแม่ใหญ่ต้องดีอยู่แล้วเพียงแต่...”
ทว่าประโยคสุดท้ายของนางกลับตั้งใจลากยาว ไม่เอ่ยออกมา
“แม่ของข้า นางเป็อะไร?” ครั้งนี้ซูฉีฉีร้อนรนจริงๆที่พึ่งพาเดียวในชีวิตของนางก็คือมารดาของตน ถ้าหากมารดาของนางเป็อะไรไปนางก็ไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เมื่อเห็นสีหน้าเป็กังวลของซูฉีฉี ซูเมิ่งหรูก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจทว่ารอยยิ้มของนางนั้นกลับดูร้ายกาจยิ่ง ไม่นานรอยยิ้มนั้นก็หายไปและแทนที่ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล“พี่สาวมิต้องกังวลไปมีน้องสาวอยู่ทั้งคนจะต้องไม่ให้ท่านแม่ใหญ่โดนเอาเปรียบเป็แน่ท่านแม่ใหญ่เพียงแต่คิดถึงพี่มากไป หลายวันก่อนล้มป่วยหนักด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ก็เลยมีราชโองการให้ท่านและท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวกลับมาเยี่ยมอย่างไรเล่า”
ประโยคนี้ทำให้ใจของซูฉีฉีสั่นไหวมากขึ้นนางจับแขนของซูเมิ่งหรูอย่างอ่อนแรง “แม่ของข้าตอนนี้เป็เช่นใดบ้าง?”
“พรุ่งนี้น้องสาวก็จะกลับจวนไปเยี่ยมมารดาเช่นกัน พี่สาวอย่าได้ร้อนใจไปพรุ่งนี้ก็สามารถพบท่านแม่ใหญ่แล้ว” ซูเมิ่งหรูตั้งใจจะหยั่งเชิงดูหลายปีมานี้นางมิค่อยเข้าใจพี่สาวต่างมารดาของตนเท่าใดนัก
ตอนนี้ฮ่องเต้อยากจะใช้หมากตัวนี้นางก็จำเป็ต้องทำความเข้าใจให้ดีเสียหน่อย
เมื่อซูฉีฉีเห็นว่าในแววตาของซูเมิ่งหรูมีประกายเกิดขึ้นแวบหนึ่งนางก็รู้แล้วว่าตนเองแสดงออกชัดเจนเกินไป เห็นได้ชัดว่าม่อเวิ่นเสวียน้าจะต่อกรกับม่อเวิ่นเฉินและนางนั้นก็จะกลายเป็หมากตัวหนึ่งบนกระดาน
เช่นนั้นการจะควบคุมนางได้ก็คือต้องหาจุดอ่อนของนางให้พบ
เมื่อคิดได้ดังนี้ มุมปากของนางก็กระดกขึ้น นางยิ้มในใจรู้สึกอ่อนแรงยิ่งนัก
บางที คนทั่วแผ่นดินอาจไม่รู้ แต่ซูฉีฉีนั้นกลับรู้ดีที่สุดว่าต่อให้ตนตายไปต่อหน้าม่อเวิ่นเฉินเขาก็คงไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าม่อเวิ่นเสวียนนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่
ทว่า ต่อให้ต้นไม้คิดอยากจะหยุดแต่สายลมนั้นไม่เคยหยุดซูฉีฉีในตอนนี้ทำได้เพียงเดินดูไปทีละก้าวเท่านั้น
คืนวันนี้ม่อเวิ่นเสวียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีที่ตำหนักเริงสำราญไม่ครึกครื้นแม้แต่น้อย
ในงานเลี้ยงยังมีพระสนมเอกและสนมคนอื่นๆ อีก
ตามคำโบราณเขาว่าไว้ สตรีสามนางมาพบกันก็จะเกิดละครฉากหนึ่ง
“ได้ยินมาว่าฮองเฮานั้นชำนาญด้านดนตรีและร่ายรำกาพย์กลอนหมากพิณล้วนไม่เป็รองผู้ใดคิดว่าพระชายาคงจะมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันกระมัง” สนมเอกเฉินนั้นแสดงสีหน้าประหนึ่งกำลังดูละครสนุกก่อนจะตั้งใจยื่นศรมาทางซูฉีฉี
นางคิดอยากที่จะประจบฮองเฮาซูเมิ่งหรู
.”คงต้องทำให้พระสนมเอกผิดหวังเสียแล้วกาพย์กลอนหมากพิณหม่อมฉันล้วนไม่ชำนาญสักอย่าง ล้วนแต่รู้เพียงผิวเผินเท่านั้น” ซูฉีฉีตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบไม่เปลี่ยน
นางมิได้รู้สึกอันใดกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันข้างล่างแม้แต่น้อย
ยังคงมีท่าทีไม่ถือสาใดๆ
ม่อเวิ่นเฉินกวาดตามาทางนี้ทำให้สนมเอกเฉินที่พึ่งเอ่ยปากหาเื่ไปเมื่อครู่นั้นถึงกับตัวสั่นน้อยๆ
ท่าทางเปี่ยมด้วยอำนาจนั้น ความโหดร้ายเ็านั้นเหนือกว่าฮ่องเต้ม่อเวิ่นเสวียนถึงสามส่วน