จู่ๆ ก็นึกบางอย่างได้ มู่จื่อหลิงผละออกจากแขนของหลงเซี่ยวอวี่ ยันศอกไว้บนอกแกร่ง ลุกขึ้นจากเบาะนุ่มในทันที
แย่แล้ว แย่แล้ว พระอาทิตย์ขึ้นสูงถึงเพียงนี้แล้ว นางยังต้องเข้าวัง ดวงตาที่ค่อนข้างว่างเปล่าของมู่จื่อหลิงก็สว่างวาบ หัวใจของนางเต้นไม่เป็จังหวะ
เดิมทีก็กลัวอยู่แล้วว่าจะไม่อาจรับมือฮ่องเต้เหวินอิ้นได้ แต่ยามนี้นางสายแล้ว ทั้งยังปล่อยให้ฮ่องเต้รอ...ควรทำอย่างไรดี?
หลังจากสะดุ้งตื่น มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปากเบาๆ กวาดตาไปโดยรอบ ยามนั้นเองที่นางตระหนักถึงสภาพแวดล้อมที่อยู่ในยามนี้ พวกเขาไม่ได้อยู่ในตำหนักอวี่หาน แต่อยู่ในรถม้า
ในรถม้า? มู่จื่อหลิงผงะเล็กน้อย ราวกับว่านางคิดอะไรบางอย่างได้ นางยืดตัวออกไปมองนอกหน้าต่างรถม้าซึ่งมีแสงแดดอุ่นส่องเข้ามา ถนนสายนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังวังหลวง
มองผ่านม่านหยกสามารถเห็นกุ่ยหยิ่งกับกุ่ยเม่ยที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนคุมรถม้า
มู่จื่อหลิงที่ตื่นแล้ว เข้าใจทันทีว่าจะต้องเป็หลงเซี่ยวอวี่ที่อุ้มนางมาที่รถม้าเพื่อเข้าวังหลังจากที่นางหลับไป
มู่จื่อหลิงตบหัวของตนอย่างหงุดหงิด แต่ไม่แปลกไปหน่อยหรือ? เหตุใด่นี้นางไม่รู้สึกอะไรเลย นางหลับลึกขนาดนั้นได้อย่างไร? หากถูกคนจับไปขายคงไม่รู้สึกตัว
มองไปยังม้าเปินเหลยและม้าเมฆาที่วิ่งอย่างสบายๆ ไม่อาจเรียกได้ว่ารถม้ามีคนคอยขับ เนื่องจากม้าทั้งสองสามารถวิ่งลากรถม้าไปได้ด้วยตัวของมันเอง
มู่จื่อหลิงสลดใจ ด้วยความเร็วที่ช้าเช่นนี้ พวกเขาจะไปถึงวังหลวงได้ยามใด? ในเมื่อเดินไปได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นก็เดินเร็วขึ้นสักหน่อยไม่ได้หรือ
คาดว่าหากยังเป็เช่นนี้ ฮ่องเต้เหวินอิ้นคงต้องรอคอยเป็เวลานาน แต่จะรอนานหรือไม่นานก็แค่นั้น ไม่ต้องกล่าวถึงว่ายามนี้นางอยู่กับหลงเซี่ยวอวี่
เมื่อครู่นางลุกขึ้นอย่างกะทันหัน การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ หลงเซี่ยวอวี่ที่กำลังหลับอยู่ก็ต้อง...มู่จื่อหลิงหันศีรษะไปมองหลงเซี่ยวอวี่ซึ่งยังคงหลับใหลอยู่ด้านหลัง...
หลงเซี่ยวอวี่ซึ่งยังคงดื่มด่ำกับความหอมหวาน ไม่อาจหลุดออกจากเมืองที่แสนอ่อนโยนได้ จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยการลุกขึ้นอย่างกะทันหันของมู่จื่อหลิง ใบหน้าของเขามืดลงทันที
เขาลืมตาขึ้น จ้องมองแผ่นหลังของมู่จื่อหลิง ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความทุกข์จากความไม่พอใจ
่เวลาที่มู่จื่อหลิงหันหน้ากลับมา...
แสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาจากหน้าต่างรถม้า กระทบใบหน้าหล่อเหลาของหลงเซี่ยวอวี่ แสงอ่อนๆ ตกกระทบเรือนร่างสมบูรณ์แบบ ภาพนี้ไม่ต่างจากภาพวาดที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน มู่จื่อหลิงสั่นไหวจากภาพที่เห็นในยามนี้
จุดที่นางนั่งอยู่ยามนี้ ทำให้เห็นหน้าเขาไม่ชัดมากนัก แต่ภายใต้แสงสีทองจากดวงตะวันอันอบอุ่น การจ้องมองของเขาดูเหมือนจะเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่อยากสนใจก็ไม่อาจละเลยได้
ดวงตาของมู่จื่อหลิงสบเข้ากับดวงตาที่เปล่งประกายแวววาวของหลงเซี่ยวอวี่
แต่ใครจะคิดว่าสายตาของหลงเซี่ยวอวี่ที่จ้องมองนางจะมีกลุ่มเปลวเพลิงกำลังลุกโชนแ่เบาอยู่ภายใน
ทันใดนั้น มู่จื่อหลิงก็รู้สึกมึนงงกับการจ้องมองของหลงเซี่ยวอวี่ นางกะพริบตาอย่างเลื่อนลอย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนที่ไร้เดียงสา
เกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นี้? เหตุใดถึงมองนางเช่นนั้น? นางยังไม่ได้ทำ...
ความคิดในใจยังไม่จบ ใจของมู่จื่อหลิงก็เต้นรัว ส่วนลึกในใจกรีดร้องอย่างสุดกลั้น
จู่ๆ นางก็รู้สึกผิด เมื่อครู่ชายผู้นี้ยังคงฝันหวาน ยิ้มงดงามไม่ยอมลืมตาตื่น ยามนี้ฝันหวานพังทลายลงแล้ว
ฝันดีพังทลายลง เป็ไปได้ว่าฉีอ๋องกำลังอารมณ์เสียอย่างมากในยามนี้
จากท่าทางเช่นนี้ น่าจะอารมณ์เสียจริงๆ
มู่จื่อหลิงขาดความมั่นใจเล็กน้อย ชายผู้นี้ตื่นขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ เขาจะอารมณ์เสียจนไล่นางออกจากรถม้าหรือไม่?
ยามคิดถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงยิ่งรู้สึกผิดในใจมากขึ้นเรื่อยๆ นางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ฝืนเปล่งเสียงออกจากปากแ่เบาราวกระซิบ กะพริบตาถามอย่างงุนงง “มีดอกไม้ติดหน้าข้าหรือ? เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น?”
หลงเซี่ยวอวี่จ้องมู่จื่อหลิงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกัดฟันและบ่นออกมาประโยคหนึ่งด้วยความหงุดหงิด “เปิ่นหวางยังอยากนอนอยู่”
ความหมายคือ ข้าง่วง เ้าจงเอนกายลงนอนกับข้าอย่างเชื่อฟัง
อาจเป็เพราะเพิ่งตื่นนอน เสียงของหลงเซี่ยวอวี่จึงแหบเล็กน้อย น้ำเสียงนุ่มนวลน่าพึงพอใจอย่างประหลาด
แม้ว่าจะเป็เสียงงัวเงีย เสียงที่แหบแห้งยังมีแววของความไม่พอใจอยู่ในนั้น
โดยปกติแล้ว มู่จื่อหลิงคงจะตอบเขาโดยไม่ลังเลว่า ‘ท่านอยากนอนแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า’
แต่ยามนี้...
มู่จื่อหลิงไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่เลย นางถูกจับจ้องโดยดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่ที่สื่อความหมายออกมาว่า ‘ข้าอยากนอนต่อ’ อย่างตรงไปตรงมา ทำให้นางรู้สึกผิดและอับอายมากยิ่งขึ้น
ปรากฏว่าชายผู้นี้อารมณ์เสียมากที่ถูกนางปลุก!
บาปกรรม บาปจริงๆ ในยามที่กำลังจมอยู่กับความฝันที่สวยงาม จู่ๆ ฝันหวานก็พังทลายลง...ไม่ว่าเป็ใคร ก็ย่อมไม่พอใจ
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็ร้องไห้ในใจโดยไม่มีน้ำตา นางมองใบหน้าที่มืดมนของหลงเซี่ยวอวี่ แม้แต่น้ำเสียงของนางก็ตะกุกตะกักเล็กน้อย “ชะ เช่นนั้น ท่านนอนต่อเถอะ ข้าจะไม่รบกวนท่านอีก”
ขณะพูด มู่จื่อหลิงก็ประคองกายด้วยมือทั้งสองข้างที่ยังคงอ่อนปวกเปียก ขยับไปด้านข้าง ย้ายไปยังจุดที่ไกลที่สุดจากหลงเซี่ยวอวี่
ยามเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ก็มืดลง มันดำมากจนสามารถบีบหมึกออกมาได้
หลังจากนั่งลง เปลือกตาที่หลุบลงของมู่จื่อหลิง ไม่สามารถถูกควบคุมได้อีก นางลอบลืมตาขึ้น หันมองหลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง...
แต่กลับเห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่ลุกขึ้นนั่งแล้ว ใบหน้าของเขาเข้มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เขายังคงมองมาที่นาง
นางรู้ดี...รู้ดีว่าความโกรธของชายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นี้ไม่อาจสลายไปได้โดยง่าย นับประสาอะไรกับการทลายห้วงฝันของเขา
มู่จื่อหลิงกัดริมฝีปากอย่างอึดอัด นางกลัวจริงๆ ว่าจะถูกไล่ออกจากรถม้า
เพียงพริบตาเดียว มู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็ไม่เห็นสิ่งใด คลานไปนั่งริมหน้าต่างรถม้าด้วยความรู้สึกผิด นอนลงบนขอบหน้าต่าง มองภาพด้านนอกที่อยู่ห่างออกไป หลบสายตาไม่มีความสุขของหลงเซี่ยวอวี่
โดยไม่คาดคิด ก่อนที่นางจะระงับความรู้สึกไม่สบายใจและความรู้สึกผิดในใจได้ เสียงของหลงเซี่ยวอวี่ก็ดังมาจากด้านหลังเน้นชัดทีละคำ “มู่ จื่อ หลิง!”
เสียงของเขาไม่ดัง ไม่อื้ออึง แต่กลับเป็เสียงที่สามารถเขย่าใจคนได้
นั่นเป็สาเหตุที่เสียงน่ากลัวนี้ ทำให้กุ่ยหยิ่งกับกุ่ยเม่ยซึ่งกำลังคุมรถม้าอย่างสงบอยู่ด้านหน้าสั่นสะท้านในทันใด จนเกือบมุดหัวทิ่มลงไปใต้รถม้า
เกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย หวางเฟยสามารถยั่วยุท่านอ๋องได้แม้ยามหลับหรือ? แม้ว่าทั้งสองจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าหันหน้าเหลือบมองเข้าไปในรถม้า
พวกเขาเพียงสวดอ้อนวอนในใจอย่างเงียบๆ ให้นายหญิงผู้กล้าหาญผู้นี้
แม้แต่มู่จื่อหลิงก็ใจนแทบะโยามได้ยินสามคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
นางไม่ได้ะโออกไปจริงๆ แต่นางรู้สึกหวาดกลัวและตัวสั่น ทันใดนั้นคางของนางกระแทกเข้ากับขอบหน้าต่างแข็งโดยไม่คาดคิด
กระแทกอย่างแรงจนฟันสั่นะเื มู่จื่อหลิงเ็ปมากจนแทบจะร้องไห้ออกมา
แต่ยามนี้มู่จื่อหลิงไม่สนใจความเ็ปที่กรามของนาง นางระงับความชื้นในดวงตา ปกปิดคางที่เจ็บจากการถูกกระแทก ก่อนจะกลั้นลมหายใจ
ข้าจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่หลงเซี่ยวอวี่เรียกนางด้วยชื่อและแซ่เช่นนี้ อารมณ์ของเขาร้อนจนแทบจะพุ่งไปสังหารคนทั้งใต้หล้า
และยามนี้...ฉีอ๋องต้องตื่นขึ้นมาเช่นนี้จึงโกรธมาก!
ความโกรธครั้งใหญ่นี้ เปรียบได้กับอารมณ์อันร้อนแรงที่้าจะพุ่งไปสังหารคนทั้งใต้หล้าในคราวที่แล้วมันยังร้อนแรงยิ่งกว่า
อุกกาบาตจะถล่มโลกแล้ว! ควรหยุดมันอย่างไรดี?
มู่จื่อหลิงอยากจะกรีดร้องขึ้นไปบน์ [1] รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที
การทำลายความฝันของใครบางคนไม่ใช่เื่ดี ทั้งยังบังเอิญไปทำลายความฝันของฉีอ๋อง มู่จื่อหลิงเสียใจแทบตาย นางอยากใช้โอกาสที่ยังไม่ถูกโยนออกจากรถม้า ะโออกไปก่อนจริงๆ
มู่จื่อหลิงหวาดกลัวมากจนไม่กล้าหายใจ หันหน้าไปมองด้วยความตื่นตระหนก ถามอย่างรู้สึกผิดว่า “ทำ...”
มู่จื่อหลิงยังไม่ทันกล่าวคำหลังว่า ‘อะไร’ ออกไป ก็ตกตะลึงกับใบหน้าหล่อเหลาที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนไม่สามารถใกล้มากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ในชั่วพริบตา มือของมู่จื่อหลิงที่กุมคางอยู่ได้ขยับไปกุมอกข้างซ้ายโดยไม่รู้ตัว นางกลั้นหายใจ กำชุดในตำแหน่งนั้นจนแน่น
มู่จื่อหลิงคิดทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม...
นอนกับฉีอ๋อง ต้องมีความรอบคอบ ต้องระวัง ระวังให้มาก
ดูสิ เหตุการณ์นี้ปลุกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำลายความฝันอันแสนหวานของเขา นางกลายเป็คนที่น่าสังเวชจนบรรยายไม่ถูก
ในภายภาคหน้าไม่ว่านางจะง่วงเพียงใด นางจะไม่มีวันนอนกับเขาอีก ด้วยมันทำให้ใจเต้นแรง อีกทั้งนางยังต้องอดทนมากเกินไป หากปลุกเขาอีกครั้ง สักวันหนึ่งนางอาจจะหัวใจวายจริงๆ...
หากฉีอ๋องรู้ว่ามู่จื่อหลิงกำลังคิดว่าจะไม่ร่วมหลับนอนกับเขาอีกในภายภาคหน้า เกรงว่ารถม้าที่ยากจะทำลายนี้คงจะถูกหักโค่นด้วยอารมณ์รุนแรงของฉีอ๋อง
ยามเห็นดวงตากระจ่างใสของมู่จื่อหลิง ประกายลึกล้ำส่องสว่างในดวงตา หลงเซี่ยวอวี่ก็ขมวดคิ้ว จากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องที่คางบางของนาง
มีรอยแดงจางๆ บนคางที่ขาวราวกับหยก
หลงเซี่ยวอวี่ซึ่งยังคงไม่มีความสุขเพราะมู่จื่อหลิงเคลื่อนกายออกห่างจากเขา ยามนี้ความไม่พอใจและความทุกข์ในใจบีบรัดแน่นในอกของเขาหนักกว่าเดิม
ในยามนี้ คางของมู่จื่อหลิงที่ถูกกระแทก เริ่มเกิดเป็รอยบวมแดงอย่างช้าๆ หลงเซี่ยวอวี่รู้สึกเป็ทุกข์มากยิ่งขึ้น
เขายื่นมือออกไปลูบไล้คางของนางเบาๆ ราวกับจะตำหนินาง แต่ในความเป็จริงเขาพูดอย่างเป็ทุกข์ “เหตุใดเ้าประมาทเช่นนี้ เจ็บมากไหม?”
ใน่เวลาที่หลงเซี่ยวอวี่ยื่นมือออกมา มู่จื่อหลิงยังคงรู้สึกหนักใจเล็กน้อย จนกระทั่งปลายนิ้วอ่อนนุ่มของเขาแตะคางของนาง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก่อนหน้านี้และอารมณ์ที่พลุ่งพล่านก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที
ในความเป็จริง ยามนี้ตรงคางของมู่จื่อหลิงที่ถูกกระแทก อาการปวดแสบปวดร้อนในตอนเริ่มแรกจางหายไปแล้ว แต่หลังจากที่นางได้ยินคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ จู่ๆ หัวใจของนางก็รู้สึกเป็ทุกข์
นางปลุกเขาและทำลายความฝันของเขา แต่นางไม่ได้ตั้งใจ เหตุใดเขาถึงโจมตีนางอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้
หากเขาไม่ดุนาง นางคงไม่ใจนคางกระแทกโดยไม่คาดคิด สุดท้ายนางก็โทษเขาที่ตำหนินาง
ยิ่งมู่จื่อหลิงคิดถึงเื่นี้มากเพียงใด นางก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากเท่านั้น นางหันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อยอย่างเอาแต่ใจ หลีกเลี่ยงััจากมือใหญ่ของหลงเซี่ยวอวี่ ปล่อยเขาให้มีสีหน้าดำคล้ำต่อไป ก้มหน้าลง เม้มริมฝีปาก ไม่พูดไม่จา
มือของหลงเซี่ยวอวี่ที่ยกขึ้นค้างอยู่กลางอากาศ
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กรีดร้องขึ้นไปบน์ (仰天长啸) เป็สำนวน มีความหมายว่า เชิดหน้าขึ้นฟ้าะโเสียงดัง มักใช้แสดงความเศร้าโศก ความขุ่นเคือง หรือแสดงความปรารถนา