สวี่ตี้ตามมารดาของตนเองไปที่เรือนสกุลหลี่ เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังฮูหยินหลี่ตรงซุ้มประตูดอกไม้ ต่อไปคงจะเป็ภรรยาของตนเอง
แม่นางน้อยระมัดระวัง ในแววตาที่มองมายังตนเองเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฝืนทำตัวนิ่งแล้วยิ้มมาให้เขา หลังจากยิ้มแล้ว ใบหน้าเล็กๆ นั้นแดงราวกับผลผิงกั่ว [1]
แต่สวี่ตี้กลับไม่ได้รู้สึกเก้อเขินหรือเขินอายเลยแม้แต่น้อย อายุิญญาของเขาโตขนาดนั้นแล้ว อีกทั้งยังเคยผ่านการดูตัวมาแล้วหลายครั้ง สามารถพูดได้ว่ามีประสบการณ์มาก แต่คู่ในการดูตัวครั้งนี้พิเศษอยู่เล็กน้อย นางเพิ่งจะอายุสิบปีเท่านั้น จะคิดอย่างไรก็มีแต่ความรู้สึกแย่ๆ อยู่อย่างนั้น ทว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จะต้องแต่งงานไว เพื่อตัดปัญหาเมื่อถึงเวลาที่จะต้องแต่งจริงๆ จะได้ไม่ไปคลำหามามั่วซั่ว อีกทั้งการหมั้นและแต่งงานในตอนนี้ยังมีโอกาสที่จะคว้ามันมาไว้ด้วยตนเอง ผู้ใดจะไปรู้ว่าต่อไปการแต่งงานของตนเองจะถูกผู้ใดแทรกแซงใช้ประโยชน์หรือไม่ เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆ คนที่จะแต่งกับตนเองก็ไม่รู้จะเป็สุนัขหรือแมวที่ไหน
ฮูหยินทั้งสองคนเจอหน้ากันเรียบร้อย จากนั้นก็ให้เด็กๆ ในเรือนมาทักทาย แม่นางน้อยทั้งสองของสกุลหลี่ บวกกับลูกสะใภ้ที่ตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ของฮูหยินหลี่มาทำความเคารพจางจ้าวฉือ ทางสวี่ตี้กับสวี่จือเองก็ทำความเคารพฮูหยินหลี่ด้วยเช่นกัน จากนั้นฮูหยินทั้งสองก็จูงมือเดินเข้าไปในเรือน
สวี่ตี้เดินตามอยู่ด้านหลัง ก็เห็นลูกสะใภ้ของสกุลหลี่และคุณหนูใหญ่ยกมือปิดปากยิ้มใส่ตนเอง สวี่ตี้เองก็ไม่ได้หงุดหงิดอันใด ทั้งยังยิ้มให้พวกนางอย่างใจกว้าง แต่นั่นกลับทำให้ทั้งสองคนหน้าแดงแจ๋ บุตรสาวคนน้องของสกุลหลี่กลับหน้าแดงอยู่ตลอดเวลา แล้วค่อยเดินตามหลังฮูหยินหลี่ไป
ฮูหยินหลี่เชิญฮูหยินสวี่เข้ามานั่ง ก่อนที่ฮูหยินทั้งสองจะเข้าไปนั่งด้วยกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าซุบซิบอะไร ฮูหยินหลี่เห็นบุตรสาวทั้งสองคนที่ตามหลังตนเองมา ก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ “เยว่ซี ต้นเหมยฮวา [2] ที่พวกเราปลูกเอาไว้เรือนหลังไม่ค่อยจะออกดอกเท่าไหร่ เ้าพาคุณชายสวี่ไปดูเสียหน่อย ด้านนอกหนาวใส่เสื้อหนาๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่สบายเอา”
นี่คือการสร้างโอกาสให้เด็กทั้งสองคนได้มีโอกาสได้คุยกันครั้งแรก ซึ่งเป็อะไรที่หาได้ยากมาก หลายคนเพิ่งจะรู้หน้าตาคู่ของตนเองตอนที่ส่งตัวเข้าหอ ซึ่งนั้นเป็การพนันดีๆ นี่เอง เพราะต่อไปในภายภาคหน้าจะต้องใช้ชีวิตคู่กัน ก็เหมือนกับการปิดหูปิดตามาแต่งงานเป็คู่สามีภรรยากัน จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก่อนจะคลอดลูกเลี้ยงลูกใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งร่วมกัน
หลี่เยว่ซียิ่งหน้าแดงมากกว่าเดิม หูขาวทั้งสองข้างเองก็แดงแจ๋ แต่ก็ยังทำความเคารพมารดาของตนเองและจางจ้าวฉืออย่างมีมารยาท จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก สวี่ตี้เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพทั้งสองมารดา ก่อนจะตามเด็กหญิงออกไปที่ประตูเรือน
ตอนที่สร้างเรือนนี้ สวี่ตี้เคยมาดูก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สกุลหลี่พักอยู่ในเรือนสี่ทางเข้าด้านหน้า เรือนเล็กๆ ด้านหลังสุดก็คือทางเข้าออกของคลังเก็บอาหารใต้ดิน สกุลหลี่ปิดตายประตูระหว่างทางเข้าเรือนสี่กับทางเข้าเรือนที่ห้าเอาไว้ ทั้งยังสั่งให้คนในเรือนว่าห้ามมาที่นี่ หลี่เยว่ซีพาสวี่ตี้ไปที่เรือนหลัง ก็คือเรือนที่อยู่ตรงทางเข้าที่สาม เรือนนี้เป็เรือนที่สกุลสวี่มีไว้ให้ใช้รับรองแขก ในเรือนปลูกต้นเหมยฮวาเอาไว้หนึ่งต้น บนต้นมีดอกไม้บานอยู่หลายดอก ยามสายลมเย็นพัดผ่านก็จะมีกลิ่นหอมของดอกไม้แฝงมาด้วย ทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น
มาดูต้นเหมยฮวานั้นเป็เพียงแค่ข้ออ้าง นี่ก็เพื่อที่จะสร้างโอกาสให้ทั้งสองคนได้อยู่กันตามลำพัง สวี่ตี้เข้าใจดี ในใจของหลี่เยว่ซีเองก็รู้ดี
หลี่เยว่ซีคลุมด้วยผ้าคลุมสีแดงหนึ่งตัวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ใช้ปลายเท้าเหยียบหิมะที่กองรวมกันอยู่ใต้เท้า หลายวันก่อนหน้านี้ที่นี่ก็มีหิมะตกลงมาอีกแล้ว หิมะที่กองรวมกันในเรือนนั้นได้ทำความสะอาดออกจนหมดแล้ว หิมะใกล้ๆ ต้นเหมยฮวากลับไม่ค่อยได้จัดการสักเท่าไหร่ จนกระทั่งยังกวาดหิมะมากองเอาไว้ใต้ต้นเหมยฮวาอีกด้วย
สวี่ตี้เองก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร แต่ว่าตนเองเป็บุรุษ จะมาหวังให้เด็กหญิงคนหนึ่งพูดก่อนก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงกระแอมในลำคอ “แม่นางหลี่ เื่ของพวกเราสองคนฮูหยินหลี่ได้พูดกับเ้าทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่? ตอนนี้พวกเรายังเด็ก รอผ่านไปอีกหลายปีค่อยแต่งงานกัน พวกเราจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันทั้งชีวิต เื่พวกนี้ ข้าคิดว่าพวกเราจะต้องพูดกันให้ชัดเจนก่อนถึงจะดี”
หลี่เยว่ซีพยักหน้า ตอนนี้นางเองก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับสวี่ตี้ จึงทำได้แค่ฟังสวี่ตี้พูด
สวี่ตี้เอ่ย “ถึงแม้ครอบครัวของเราจะออกมาจากจวนโหว แต่ว่าครอบครัวของเราไม่เหมือนกับครอบครัวนั้น ท่านพ่อท่านแม่ของข้าเป็บิดามารดาที่ดีมาก ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับระดับครอบครัวสักเท่าไหร่ ท่านแม่ของข้าชอบเ้ามาก บอกว่าเ้าไม่เพียงแต่หน้าตาหรือว่านิสัยก็ล้วนได้ใจนาง ท่านแม่ของข้าถึงได้สนับสนุนให้พวกเราแต่งงานกัน เพราะว่านางคิดว่าเ้ากับข้าจะมีชีวิตที่ดีร่วมกันได้”
เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ ใบหน้าของหลี่เยว่ก็ยิ่งแดง จึงก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง สวี่ตี้ถอนหายใจในใจ แต่ว่าคำพูดบางคำยังต้องพูดออกไป
สวี่ตี้เอ่ย “เ้าวางใจได้ ต่อไปข้าจะต้องปกป้องเ้าให้ดีแน่นอน” นี่คือการให้ความมั่นใจกับหลี่เยว่ซี ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ยังตัวผอมอยู่เล็กน้อยตรงหน้าตนเอง เพราะว่าอากาศหนาว จมูกจึงเย็นจนแดงอยู่นิดหน่อย ก่อนนางจะพยักหน้ารับ “ขอบคุณพี่ชายสวี่เ้าค่ะ”
สวี่ตี้ถึงได้หัวเราะออกมา “เอาล่ะ อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ต่อไปพวกเราก็ไปมาหาสู่กันแบบญาติไปก่อน เ้าเองก็ทำความรู้จักข้าดีๆ ผ่านไปอีกไม่กี่ปี รอข้าสอบเป็จวี่เหรินได้ พวกเราก็ค่อยแต่งงานกัน ข้าคิดเอาไว้แล้ว หลังจากแต่งงานกันแล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ดูสถานที่กว้างใหญ่ในแคว้นของเรา จากนั้นก็ค่อยกลับมาเตรียมตัวสอบขุนนางอีกครั้ง”
สวี่ตี้พูดคุยเกี่ยวกับความคิดของตนเองให้กับหลี่เยว่ซีฟัง ซึ่งนางเองก็หน้าแดงพลางอมยิ้มไปฟังไป จนกระทั่งพี่สะใภ้ของหลี่เยว่ซีเดินมาเรียก ทั้งสองคนถึงได้กลับไปที่เรือนหน้า
ทั้งหมดผ่านไปอย่างราบรื่น เทศกาลตรุษจีนทุกคนก็เฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข หลังจากผ่านวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งไปแล้ว จางจ้าวฉือกับสวี่ตี้ก็จ้างผู้ช่วยที่อายุมาก มีความซื่อสัตย์จากจวนแม่ทัพคนหนึ่งมาเป็พ่อสื่อ ไปพูดเื่สู่ขอของสวี่ตี้ที่สกุลหลี่
ครอบครัวสกุลสวี่ให้ความสำคัญกับเื่แต่งงานของสวี่ตี้มาก จึงดำเนินการทำตามขั้นตอนการแต่งงานหกพิธีการ ตอนนี้ทำได้แค่สี่ประการคือ สู่ขอ ถามชื่อ ตรวจชะตา หมั้นหมาย ดำเนินการจนถึงสิ้นเดือนสอง เื่แต่งงานของสวี่ตี้กับหลี่เยว่ซีถึงได้ถูกกำหนดขึ้นจริงๆ
มองหนังสือแต่งงานสีแดงบนโต๊ะ สวี่ตี้ก็ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ย “คู่อีกครึ่งชีวิตของข้าก็ถือว่ากำหนดเอาไว้แล้ว รอจนพวกเราโตเป็ผู้ใหญ่แล้วก็แต่งภรรยาของข้าเข้าเรือนมา ก่อนจะคลอดลูกสองสามคน ชีวิตของข้าก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว”
จางจ้าวฉือเอ่ย “รอเ้าแต่งภรรยาเข้ามาแล้ว ข้าก็จะมอบให้นางดูแลเรือน ถึงตอนนั้นข้าก็จะมีเวลาไปจัดการกับการศึกษาปัญหาการเจ็บป่วยต่างๆ ของข้าเสียหน่อย ข้าจะออกหนังสือแพทย์น่ะ”
สวี่เหราเอ่ย “เช่นนั้นเมื่อถึงตอนนั้น รอลูกของพวกสวี่ตี้คลอดออกมา ข้าก็รับผิดชอบเลี้ยงหลาน ข้าจะสอนหนังสือหลาน ข้าที่เป็จิ้นซื่อสอบผ่านสองระดับสอนหนังสือให้ลูกเ้าก็ยังพอได้ใช่หรือไม่?”
สวี่ตี้ได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา “พวกท่านสองคนนี้ เื่ในอนาคตที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา เหตุใดพอมาเป็พวกท่านพูดแล้วก็เหมือนจะเกิดขึ้นทันทีเสียอย่างนั้นน่ะขอรับ ภรรยาของข้าปีนี้เพิ่งจะสิบขวบ ยังไม่ผ่านวันเกิดอายุสิบเอ็ดเลย ตอนนี้ข้าไม่เพียงจะต้องหาเงินมาซื้อบ้านสวนบ่อน้ำร้อนให้ท่านแม่ ข้ายังจะต้องเลี้ยงภรรยาให้ดี ข้าเพิ่งจะกี่ขวบเอง ความกดดันของข้าก็มากมายขนาดนี้แล้ว”
สวี่เหราฟังแล้วก็เอ่ย “เ้าอย่าพูดกับข้าว่าเ้ากดดันมากนะ เ้าพูดสิ ร้านหม้อไฟที่เ้าเปิดกับพวกเว่ยหลาง ั้แ่เปิดกิจการปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ หาเงินมาได้ตั้งเท่าไหร่? นั่นก็คือรวยมากนะ เ้ายังมาร้องบอกว่าจนต่อหน้าพวกเรา นี่มันหมายความว่าอย่างไร”
สวี่ตี้เอ่ย “ร้านหม้อไฟหาเงินได้นั้นเป็เพราะของแปลก ถ้าหากในมือของข้าไม่มีพริก จะไปมีเครื่องแกงหม้อไฟที่อร่อยขนาดนั้นได้อย่างไร จะไปเปิดร้านหม้อไฟได้อย่างไร สองปีนี้ข้าเองก็หาเงินมาได้สองพันตำลึง รอถึงตอนที่ทักษะการปลูกพริกนี้ถูกคนค้นพบแล้ว ท่านก็รอดูเถิด ร้านหม้อไฟจะไม่ผุดขึ้นมาเหมือนกับดอกเห็ดหลังฝนตกหรือ? ดังนั้นข้าจึงได้ปรึกษากับผู้ดูแลมาแล้ว ให้หม้อไฟเปิดต่อไป สามารถหาเงินได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ต่อมายังต้องพัฒนาของสิ่งใหม่ เพราะรสชาติหอมๆ พวกนั้นของอาหารเสฉวนมีเสน่ห์ที่ทำให้คนไม่ลืมกลิ่นหอมๆ ในปาก”
จางจ้าวฉือเอ่ย “หากพวกเ้าจะพัฒนาอาหารพวกนี้ออกไป เช่นนี้ก็ยิ่งดี ตอนนี้ข้ารู้สึกว่ากินอะไรก็ไม่มีรสชาติ ตอนนี้ถึงได้พบว่า ที่แท้ก็ไม่ได้กินอาหารเสฉวนบ่อยๆ ให้ข้าได้เรียกน้ำย่อยนี่เอง”
บ้านเกิดของจางจ้าวฉืออยู่ที่หูหนาน อยู่ที่บ้านเกิดจนถึงอายุสิบกว่าปี ก็ตามพ่อแม่มาที่เมืองหลวง ต่อมาชีวิตก็อยู่ที่เมืองหลวงตลอด แต่กลับชอบอาหารที่เคยกินที่บ้านเกิดตอนเด็กๆ มาก แต่ตนเองก็ดันทำไม่เป็ ในครอบครัวสวี่เหรารับผิดชอบเื่ทำอาหาร เขาเกิดที่เมืองหลวง โตที่เมืองหลวง ทำจาเจี้ยงเมี่ยนได้รสชาติต้นตำรับมาก แต่อาหารเสฉวนกลับทำไม่ค่อยเป็เท่าไหร่ จางจ้าวฉือชอบไปกินร้านอาหารลับในซอยเล็กๆ เพื่อหาอาหารเสฉวนที่ทำกับข้าวออกมารสชาติต้นตำรับ
สวี่ตี้เอ่ย “เื่นี้ก็ยังมีความยากอยู่นิดหน่อย ข้าปรึกษากับผู้ดูแลมาแล้วก็คือให้พาเหล่าพ่อครัวไปยังร้านอาหารของสถานที่ต่างๆ ทั้งเป็ร้านที่มีชื่อเสียง ดูว่าอาหารพิเศษพวกนั้นของเขานั้นทำอย่างไร จากนั้นก็กลับมาแก้ไขของเราให้ดีขึ้น ขอแค่อร่อย ก็ทำให้เหล่าคนที่ชอบกลิ่นหอมมาทาน ยังกังวลว่าไม่เป็ต้นตำรับอีกหรือ?”
สวี่เหรายิ้มแล้วเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าความกล้าของเ้าในตอนนี้ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อีกทั้งก้าวย่างก็กว้างอยู่เล็กน้อย พวกเราควรจะเดินให้ช้าลง จากนั้นก็พักเท้าสักหน่อยแล้วเดินต่อเป็อย่างไร?”
สวี่ตี้ถอนหายใจ “ข้าก็อยากจะเดินช้าๆ แต่เวลามันไม่ทัน ครึ่งปีนี้มีคนมาสอบถามเื่พริกอยู่ตลอด บางคนก็ไปแอบมองอยู่หลังร้านหม้อไฟ ดีที่ข้าปลูกพริกอยู่ในที่ไกลหลายพันลี้ อีกทั้งพริกพวกนั้นก็ผ่านการผลิตเป็เครื่องแกงแล้วถึงจะส่งไปเมืองหลวง ขอแค่สิ่งนี้มันสามารถหาเงินได้ มีใครบ้างที่ไม่ตาร้อน เงินต้นทุนที่ต้องให้ภรรยาข้ายังหามาไม่พอเลย ท่านจะให้ข้าเดินช้าลงหน่อยได้อย่างไร?”
สวี่เหรากับจางจ้าวฉือต่างพากันถอนหายใจ สวี่เหราเอ่ย “สวี่ตี้เอ๋ย เ้าไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้ การแต่งงานของเ้าไม่เพียงแต่พวกเราจะต้องดูแล ที่จวนโหวก็ต้องปวดหัว เ้าเป็ถึงหลานชายคนโตของจวน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปล่อยมือไม่สนใจ”
สวี่ตี้เอ่ย “แต่ว่าข้าเองก็ว่าการแต่งงานของข้าจวนโหวก็คงจะไม่เห็นด้วย คนที่ข้าถูกใจ จวนโหวคาดว่าก็ยิ่งให้ความสำคัญกับชาติตระกูล อยากจะใช้การแต่งงานของเด็กในครอบครัวทำให้จวนโหวยิ่งมีอำนาจ ไม่รู้ว่าถึงตอนที่จะต้องแต่งงานจะเกิดเื่วุ่นวายขนาดไหน?”
จางจ้าวฉือเอ่ย “สินเดิมของข้าก็เก็บเอาไว้ให้เ้ากับจือเอ๋อร์ ถึงตอนนั้นเ้าสามารถแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อนำไปสู่ขอภรรยา หากพวกเ้าสองคนไม่ใช้เงินพวกนี้ ข้าจะเก็บเอาไว้ให้ใครใช้ล่ะ?”
สวี่ตี้มองบิดามารดาของตนเอง ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านเคยคิดหรือไม่ว่าจะมีลูกเพิ่มอีกคนหนึ่ง?”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็ตบแขนสวี่ตี้ไปทีด้วยความโกรธ “พูดไร้สาระอะไรน่ะ ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว”
สวี่ตี้เอ่ย “อายุร่างนี้ของท่านเพิ่งจะสามสิบ นี่เป็อายุที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในประเทศเราคลอดลูกเลยนะขอรับ ท่านน่ะ คนที่นี่ให้ความสำคัญกับการมีลูกเยอะความสุขก็มาก ครอบครัวพวกเราก็มีข้ากับจือเอ๋อร์สองคน พอถึงตอนที่แบ่งสมบัติหรือทะเลาะกับใคร พวกเราก็ต้องมีคนเพิ่มมาอีกใช่หรือไม่?”
สวี่ตี้ยุให้พ่อแม่ของตนเองมีลูกเพิ่มอีก แม้แต่สวี่เหราเองก็ถูกคำพูดของสวี่ตี้กระตุ้นใจ มองจางจ้าวฉือตาปริบๆ
จางจ้าวฉือโบกมือ “ไม่ได้ ข้ามีลูกสะใภ้แล้ว มีลูกเพิ่มอีกคนจะถือว่าเป็เื่ใหญ่ เช่นนี้จะทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเอานะ”
สวี่เหราเอ่ย “ในยุคโบราณไม่ใช่แม่สามีหลายคนอยู่ไฟร่วมกับลูกสะใภ้หรือ หากจะพูดเื่นี้ขึ้นมาจริงๆ เ้ายังไม่แก่ เ้าลองคิดดูสิ พวกเรามีลูกสาวที่เหมือนกับจือเอ๋อร์เพิ่มมาอีกคน ถึงตอนนั้นก็เลี้ยงั้แ่ตัวเล็กตัวน้อยจนกระทั่งตัวสูง รูปร่างผอมเพรียว ดีจะตาย”
ความจริงแล้วจางจ้าวฉือเองก็สนใจ นางชอบเด็กผู้หญิง ชอบเด็กผู้หญิงน่ารักๆ ตัวอ้วนๆ จะมองอย่างไรก็ชอบ
จางจ้าวฉือเริ่มสนใจแล้ว สวี่ตี้ยืดอก “ท่านแม่ หากท่านคลอดลูกแล้ว ข้าจะดูแลท่านอย่างดี ช่วยท่านดูแลน้อง ข้ายังสามารถหาเงินได้ ทั้งยังเป็คนใส่ใจ แล้วก็ไม่ใช่คนที่ชอบก่อเื่ ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตัวข้า ข้าคิดว่ามีลูกออกมาอีกสักคนเถิด ครอบครัวพวกเราจะได้มีความสุขกับการเลี้ยงเด็กสักครั้งหนึ่ง”
สวี่เหราฟังแล้วก็ยิ้มแล้วเอ่ย “ก็ถือว่าให้สวี่ตี้ฝึกก่อนล่วงหน้า หลังจากลูกของพวกเขาออกมาแล้วจะได้ไม่ต้องมึนๆ งงๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี”
ตอนกลางคืนจางจ้าวฉือคิดจนนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา สวี่เหราสะลึมสะลือเห็นจางจ้าวฉือลุกขึ้นมานั่ง เพียงครู่เดียวก็ตื่นขึ้นมาเต็มตา “เ้าเป็อะไรไปน่ะ? นี่มันเวลาไหนแล้วยังไม่นอนอีกหรือ?”
จางจ้าวฉือตอบ “นี่มันผ่านเวลาห้าทุ่มเที่ยงคืนไปแล้ว เหล่าสวี่ เ้าว่าพวกเราจะมีลูกอีกคนดีหรือไม่ ข้าเองก็รู้สึกว่าลูกของพวกเราน้อยไปหน่อย เพิ่งจะสองคนเอง บ้านอื่นๆ มีกันสามคน สี่คน ห้าหกคน”
สวี่เหราให้จางจ้าวฉือนอนลง ห่มผ้าให้ ชายแดนในเวลานี้ตอนกลางคืนก็ยังหนาวมาก
สวี่เหราเอ่ย “จะมีไม่มีก็อยู่ที่เ้านี่ เ้าอยากจะมีข้าก็รับผิดชอบเื่เลี้ยง เ้าไม่อยากมี ข้าเองก็ไม่มีปัญหา”
จางจ้าวฉือตอบปัด “ช่างเถิดๆ เช่นนั้นยาคุมข้าก็จะหยุดก่อนแล้วกัน พวกเราก็ปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติ มีก็เอา ไม่มีก็ถือว่าชะตาของเรานั้นไม่มี”
อายุสามสิบกว่าแล้ว จางจ้าวฉือกับสวี่เหราก็ต่างเป็คนที่มีความสุขกับชีวิต ระดับชีวิตภายในบ้านจึงอยู่ในระดับสูงมาตลอด อีกทั้งจางจ้าวฉือยังมีประจำเดือนมาปกติ เพราะกลัวว่าจะมีลูกอีกคน ถึงได้ทำยาคุมกำเนิดดื่มเป็ประจำ
สวี่เหราเอ่ย “เอาเถิด อย่าคิดมากเลย รีบนอนเถิด คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์”
หลังจากจางจ้าวฉือหยุดกินยาคุม แม่นมลู่ก็เข้าใจว่าเื่ราวเป็อย่างไร จึงมาถามนางว่าจะมีลูกอีกคนใช่หรือไม่ นางรู้สึกอายนิดหน่อย แต่แม่นมลู่กลับสนับสนุน
แม่นมลู่เอ่ย “ถึงแม้การคลอดลูกจะอันตรายมาก แต่ตอนสาวๆ ข้าเรียนว่าจะบำรุงร่างกายคนท้องอย่างไรกับเหล่าผู้าุโในวัง ทั้งยังทำคลอดเป็ อย่าเห็นว่าข้าไม่เคยคลอดลูกนะ องค์ชายหลายองค์ในวังล้วนเป็ข้าที่ช่วยทำคลอดออกมา อีกทั้งเ้าก็ยังเป็หมอ จะต้องคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
เชิงอรรถ
[1] แอปเปิล
[2] ดอกบ๊วย