“เอาละ เริ่มจากตรงนี้” อวี้ฉู่จาวจับมือน้อยๆ ของหลินหร่านมาวางไว้บนสายคาดเอวของตน
“แกะปลายสายคาดเอวออกก็ได้แล้ว”
มีท่านอ๋องคอยแนะนำ หลินหร่านจึงถอดเฉาฝูออกได้เป็ที่เรียบร้อย
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลุงตงก็เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าตึงเครียด
“ท่านอ๋อง งานอภิเษกสมรสกำหนดวันแล้ว…เป็วันที่สามเดือนสามพ่ะย่ะค่ะ”
“วันที่สามเดือนสาม? เทศกาลรำลึกถึงฮ่องเต้พระองค์ก่อนอย่างนั้นหรือ ได้ออกจากบ้านใน่ฤดูใบไม้ผลิ ดื่มด่ำจัดงานรำลึก ช่างเป็วันที่ดีจริงเชียว” สีหน้าของอวี้ฉู่จาวไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับคำพูดที่เขาเอ่ยออกมาเลย
“วันที่สองเดือนสองวันัชูหัว วันที่สามเดือนสามวันที่ฮ่องเต้ซวนหยวน…” ลุงตงเอ่ยต่อจากคำพูดของอวี้ฉู่จาว
“ใครเป็คนเลือก” อวี้ฉู่จาวให้หลินหร่านนั่งลงก่อนเอ่ยถาม
“ฉินเทียนเจี้ยน1 นำวันเดือนปีเกิดของท่านอ๋องกับคุณชายน้อยมาคำนวณพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่มีใครโง่เขลากระทั่งไม่รู้เื่นี้หรอก วันที่สามเดือนสามเป็วันจัดพิธีบวงสรวง นับเป็วันดีก็จริง
แต่อย่างไรก็นับว่าเป็เื่ที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อความรู้สึก ถือเป็คำใบ้จาก์งั้นหรือ นอกจากนี้ หากเลือกจากวันเดือนปีเกิดอย่างนั้น นี่คงเป็ลิขิตของ์กระมัง
อวี้ฉู่จาวหมุนตัวไปหาหลินหร่านพลางเอ่ย “อวิ๋นซี เ้าอยากรีบแต่งงานกับข้าหรือไม่”
“หือ?” หลินหร่านไม่เข้าใจคำถามของอวี้ฉู่จาว ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
“เ้าแค่ตอบว่าเ้ารีบร้อนหรือไม่ก็พอ”
แน่นอนว่าเขาต้องรีบร้อนอยู่แล้ว เขารีบจนแทบอยากเอาตัวเองห่อของขวัญมอบให้ท่านอ๋องด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“...รีบพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านก้มศีรษะลง รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรที่เอ่ยออกไปเช่นนั้น นี่เป็สิ่งที่ไม่น่าเปิดเผยเอาเสียเลย แต่ตัวเขาก็ไม่อยากโกหก
อวี้ฉู่จาวพึงพอใจ “ข้าก็รีบ เช่นนั้นพวกเราจัดงานให้เร็วขึ้นเถิด เอาให้มีเวลาพอให้เ้าได้เตรียมตัว เช่นนั้นเป็หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน เราจะจัดงานอภิเษก วันที่หนึ่งเดือนสองก็นับเป็วันที่ไม่เลวเช่นกัน”
หลังจากนั้น อวี้ฉู่จาวจึงได้ทำการเขียนราชสาส์นและให้คนนำส่งเข้าไปในวังหลวง
ฮ่องเต้ฉงเต๋อรู้สึกมีความสุขในการได้จัดเตรียมวันอภิเษกสมรสให้กับอวี้ฉู่จาว แต่พระองค์ก็เพิ่งจะเห็นว่าวันที่สามเดือนสามเป็วันที่ไม่เหมาะสมเท่าไร ถ้าอย่างนั้น ที่พระองค์ได้ทำการพิจารณากับฉินเทียนเจี้ยนเมื่อสักครู่มันเพื่ออะไรกัน
จากราชสาส์นที่ได้รับ อวี้ฉู่จาวเลือกที่จะกำหนดวันจัดงานอภิเษกสมรสด้วยตนเอง โดยให้เหตุผลว่าหากจัดวันที่สามเดือนสามอาจล่าช้าเกินไป เขากับพระชายามีความรู้สึกอันลึกซึ้ง มิอาจรอได้นานนัก
ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะจริงหรือเท็จประการใด ฮ่องเต้ฉงเต๋อก็ไม่ได้อยากขัดความปรารถนาของบุตรชาย
ภายหลังได้รับราชสาส์นจากอวี้ฉู่จาวแล้ว ฮ่องเต้ฉงเต๋อจึงได้ทำการเลือกวันตามที่อวี้ฉู่จาว้าโดยปรึกษากับฉินเทียนเจี้ยนอีกครั้ง
ท้ายที่สุด วันจัดงานอภิเษกของเทพเ้าแห่งาจึงถูกกำหนดเป็วันที่หนึ่งเดือนสอง
ในขณะเดียวกัน จวนของตระกูลหลินได้รับทราบข่าวแล้วเช่นกัน ทุกคนในจวนต่างพากันเริ่มเตรียมการจัดงานอภิเษกสมรสของคุณชายน้อยหลินหร่าน
หลินฮวาเหนียนในตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลจวนพร้อมจัดเตรียมสินสอด ของใช้ เครื่องประดับและเครื่องแต่งกายสำหรับเ้าสาว
นางเว่ยถูกเขาขับไล่ออกจากตระกูลไปแล้ว ทำให้เวลานี้ในจวนไม่มีฟูเหริน
นางซ่งเป็คนไม่น่าไว้ใจเท่าไร ส่วนนางเฉินก็ไม่มีความสามารถและไม่มีความกล้าหาญพอที่จะขึ้นเป็ฟูเหริน
เื่เหล่านี้เขาจัดการด้วยตนเองย่อมเป็การดีที่สุด เขาปล่อยปละละเลยหลินหร่านมาถึงเจ็ดปี เวลานี้เขาต้องพยายามชดใช้ให้ดีที่สุด
กู่อวี่ มารดาของหลินหร่านไม่ได้นำข้าวของเครื่องใช้สำหรับเ้าสาวมาด้วย นางนำมาเพียงตำรายาสมุนไพรจีนที่ศึกษาด้วยตนเอง
หลังจากหลินฮวาเหนียนถามความเห็นของหลินหร่าน พวกเขาก็นำตำรานี้ไปรวมอยู่ในรายการของที่ต้องเตรียมด้วย
ก่อนหน้านี้ หลินหร่านคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถอะไร เวลาต่อมา เมื่อรู้ว่าผู้เป็มารดาได้ทิ้งตำรายาสมุนไพรจีนไว้ให้จึงมีความคิดว่าตนเองควรศึกษา
อาจมีประโยชน์และช่วยเหลือท่านอ๋องได้ มิใช่ค่อยหลบอยู่ข้างหลังท่านอ๋องไปตลอด
กู่อวี่เป็ผู้สืบทอดหมอยาโบราณของเผ่าจือเม่ย หากไม่ได้พบกับหลินฮวาเหนียน นางคงจะอยู่ในเผ่าเพื่อศึกษาตำรายาสมุนไพรไปตลอดชีวิต
หลินฮวาเหนียนได้แบ่งทรัพย์สินหนึ่งในสามส่วนของตระกูลหลินมาเป็สินสอดของหลินหร่าน
เื่นี้ถูกกล่าวถึงจนกระทั่งนางซ่งได้รับรู้ เมื่อนางรู้ก็เอะอะโวยวายยกใหญ่
นอกจากหลินหร่าน ในตระกูลยังมีบุตรชายและบุตรสาวอีกห้าคน หากบุตรสาวหนึ่งในสามคนนั้นจะต้องออกเรือนและเตรียมสินสอด หรือหากบุตรชายจะแต่งงานก็ต้องจ่ายเงินสินสอด และถ้าเป็เช่นนั้น เงินในส่วนที่เหลือเพียงแค่สองส่วนสามก็ไม่มีอะไรมายืนยันว่าพวกเขาจะได้ใช้เงินในส่วนนั้นทั้งหมด
หากเป็เช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่ได้ส่วนแบ่งอะไร
ทว่า ถึงนางโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ เพียงแค่หลินฮวาเหนียนจ้องมองมาก็ทำให้นางสงบปากสงบคำได้ทันที ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงคัดค้าน
สำหรับเดือนนี้ มีเื่น่าสนใจถึงสองเื่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เื่แรกคือเื่ของจ้าวเซียนที่เกี่ยวข้องกับอัครเสนาบดีฝ่ายขวาฉินฉือ บุตรชายของเขาถูกคุมตัวไปสอบสวนที่หน่วยงานต้าหลี่ ทำให้หลายคนต่างอดไม่ได้ที่จะคิดว่า อำนาจบางส่วนที่อยู่ในมือของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาฉินอาจหยุดชะงักลง แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงติดตามข่าวคราวอยู่ที่บ้านของตนเองเท่านั้น
อีกเื่หนึ่งคืองานอภิเษกสมรสของชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็เทพเ้าแห่งา
เนื่องจากนางเว่ยถูกตัดสินให้โดนตัดหัว ทำให้ทุกคนในเมืองอวี้อันล้วนเข้าใจกระจ่างถึงความสัมพันธ์ขององค์ชายสามกับพระชายาองค์ใหม่ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
แม้งานอภิเษกสมรสครั้งนี้จะมาจากการแต่งตั้งของฮ่องเต้ แต่พวกเขาก็คงเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน
ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ความรู้สึกเ่าั้จะมากหรือน้อยเพียงใด เื่นี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยั่งรู้ และเมื่อเป็เช่นนั้น เหล่าหญิงสาวที่พากันชื่นชมท่านอ๋องผู้นี้คงใจสลายไปตามๆ กันแล้วกระมัง
วันสุดท้ายของเดือนที่หนึ่ง ข้าหลวงจากในวังหลวงมาหาหลินหร่านเพื่อเตรียมสอนขั้นตอนในพิธี
ประการแรก สอนเื่มารยาทในชีวิตประจำวัน
ประการต่อมา การสอนเกี่ยวกับพระราชประวัติของราชวงศ์ การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แล้วก็มีการสอนเพิ่มเติมเื่การเป็ภรรยาที่ดีหรือการเป็พระชายาในราชวงศ์
ประการสุดท้าย การสอนสำหรับการเป็ภรรยาชายและการปฏิบัติต่อผู้เป็สามีใน่เวลาค่ำคืน
หลินหร่านมาจากยุคปัจจุบัน ข้ามภพมาได้ไม่นานก็ถูกขับไล่ออกจากจวนแม่ทัพ ยังไม่เคยได้เรียนรู้กฎระเบียบในตระกูลด้วยซ้ำ ยิ่งมารยาทต่างๆ เกี่ยวกับทางการทหารหรือมารยาทในราชสำนักยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ได้ร่ำเรียนครั้งแรก เขารู้สึกว่ามันยากยิ่งนัก
ประวัติศาสตร์ พิธีกรรมต่างๆ และการเป็ภรรยาที่ดีนั้นไม่ต้องไปกล่าวถึง ทั้งหมดล้วนเป็เื่ที่น่าเบื่ออย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้
สิ่งเดียวที่ไม่น่าเบื่อคือการเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อผู้เป็สามีอย่างไรใน่เวลาค่ำคืน หากจะอายเกรงว่าคงไม่ทันเสียแล้ว
ถึงเวลาปฏิบัติจริง เขาจะทำได้อย่างน่าเบื่อหรือไม่กันนะ
หลายวันใน่นั้น ใบหน้าของหลินหร่านแดงแล้วแดงอีกนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะใน่เวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้พบกับอวี้ฉู่จาว ไม่ใช่แค่ใบหน้าของเขาที่แดง สายตาแทบจะไม่กล้ามองหน้าอวี้ฉู่จาวเลยด้วยซ้ำ
“เ้าเป็อะไรหรือเปล่า” อวี้ฉู่จาวยกมือแตะหน้าผากของหลินหร่าน เพราะคิดว่าอาจไม่สบาย
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่ได้เป็อะไร” หลินหร่านดึงมือของอวี้ฉู่จาวมากุมไว้ เขาก้มหน้าลงพร้อมพูดติดขัด “ก็...ก็คือ...ท่านกงกง...สอน...สอน...สอนข้าให้...เอ่อ...ไอ้นั่น”
“อะไรหรือ?” เมื่อมองดูหลินหร่านที่เริ่มพูดไม่ปะติดปะต่อ อวี้ฉู่จาวจึงพอจะเดาออกได้ไม่ยาก
“ก็...ก็คือ...การปรนนิบัติท่านออ๋อง” ในที่สุดหลินหร่านก็สามารถเลือกพูดคำที่คิดว่าน่าจะอธิบายได้เข้าใจง่ายที่สุด
อวี้ฉู่จาวยิ้มกว้าง “ทำไมหรือ เ้าเขิน?”
“อื้อ” หลินหร่านพยักหน้า “พวกเขาอธิบายอย่างละเอียด อีกทั้ง...หลายอย่างข้ารู้อยู่แล้ว” ที่หลินหร่านอยากจะบอกก็คือ เื่เหล่านี้จริงๆ แล้วไม่จำเป็ต้องสอนเลย
“เ้ารู้ทั้งหมดเลยหรือ?” อวี้ฉู่จาวถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ...” หลินหร่านชะงักไปทันที
หรือความจริงเขาต้องไม่รู้เื่พวกนี้ เขาลืมไปเลยว่าเขาอยู่ในยุคโบราณ เป็เพียงเด็กอายุสิบเจ็ด
เื่ที่เขาต้องปฏิบัติกับท่านอ๋อง เขาควรรู้เื่เหล่านี้ที่ไหนกัน
“ข้า...ข้าไม่ได้รู้ทั้งหมดหรอก ข้ารู้แค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
หลินหร่านรีบกล่าวโดยสรุป เขากลัวอวี้ฉู่จาวจะเข้าใจผิด
“ไม่เป็ไร รู้ก็รู้ เพราะอย่างไรก็เป็เื่ของเราสองคน พวกเขาบอกอะไรเ้าก็ฟัง ไม่ต้องสนใจมากก็ได้ คิดแค่เื่งานอภิเษกสมรสของพวกเราเป็พอ ข้าจะตั้งตารอคืนวันเข้าหอกับอวิ๋นซี”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าก็ตั้งตารอเช่นกัน” ประโยคนี้หลินหร่านไม่รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย เอ่ยจบเขาเป็ฝ่ายโถมตัวเข้าไปหาอวี้ฉู่จาว เป็ผู้หยิบยื่นริมฝีปากเล็กๆ อันแสนหวานให้ท่านอ๋องด้วยตนเอง
“และข้าก็รอที่จะมีลูกกับท่านอ๋องด้วย” นี่เป็ถ้อยคำที่กล่าวออกมาจากความปรารถนาในใจของตนเอง
-----------------------------
1 ฉินเทียนเจี้ยน หมายถึง ปรมาจารย์โหราศาสตร์จีน ผู้ตรวจดวงชะตา