หลังจากอวี้ฉู่ซวนเดินออกไป หรงจิ่งจึงเอ่ย “่นี้องค์ชายสองมักจะคอยติดตามอัครเสนาบดีฝ่ายขวาฉิน ดูท่าต้องเล็งเป้าไปที่องค์ชายห้าเป็แน่ นอกจากนี้ ดูจากท่าทีการเผชิญหน้าขององค์ชายสองกับองค์ชายห้าในการเข้าหารือเช้านี้แล้ว ต้องมีการต่อสู้ระหว่างนกกระสากับหอยกาบ1 เป็แน่พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของอวี้ฉู่จาวยังคงเหมือนเดิม “ครั้งนี้พวกเราแค่รอเป็ชาวประมงก็พอ”
ครู่ต่อมา ทั้งคู่เดินออกไปจากวังหลวง
การหารือในเช้านี้พูดถึงภัยหนาวของทางเหนือ ยังมีการวิเคราะห์ถึงการเก็บภาษีในปีนี้ของทางเหนืออีกด้วย
ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็คาดการณ์และวางแผนรับมือเสร็จสิ้น
ความเป็จริงเื่นี้้าแค่ให้เสนาบดีกรมพระคลังจัดสรรภาษีกับจัดส่งเสนาบดีเข้าไปจัดการเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็ไม่น่าเกิดปัญหา
ทว่าสุดท้ายกลับเกิดความไม่ชัดเจนในการจัดสรรคนไปจัดการ
ทั้งองค์ชายสองและองค์ชายห้าต่างก็้าเสนอตัวที่จะส่งคนของตนไป
การบรรเทาวิกฤตใน่หน้าหนาวของทุกปีนับเป็งานที่ค่อนข้างหนัก เพราะเื่ของการคลังนั้นเป็เื่ที่จะต้องชี้แจงต่อราชสำนัก ไม่อาจที่จะฉ้อโกงได้
เวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างไม่อาจดึงอำนาจทหารมาอยู่ในมือ การคลังจึงเป็อีกทางที่พวกเขาพยายามที่จะยึดอำนาจไว้
กฎของต้าอวี้ระบุไว้อย่างชัดเจน ไม่อนุญาตให้เ้าหน้าที่หรือข้าหลวงประกอบการค้า
ถึงแม้ว่าบริเวณถนนเส้นเดียวกัน ข้าหลวงหลายคนจะมีร้านค้ามากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักไม่ได้ใช้ในนามของข้าหลวง อีกทั้งรายได้ที่ได้จากร้านค้าเหล่านี้ ส่วนมากจะเป็เงินที่นำมาใช้สำหรับดูแลเหล่านางบำเรอกับคนรับใช้เท่านั้น
ดังนั้น เงินส่วนใหญ่ที่พวกเขาจะได้รับเป็เงินก้อนโตนั้น จึงมักเป็เงินจากการทุจริตและการติดสินบนซึ่งมักถูกหยิบยื่นให้กับพวกเขาเป็การส่วนตัว
ด้วยวิธีนี้เอง อวี้ฉู่ซวนกับอวี้ฉู่หลิงที่อยากจะทำการใหญ่ ้าแสวงหาทรัพย์สินส่วนตัวไว้สำหรับเลี้ยงดูกองทัพในภายภาคหน้า จึงต้องพยายามดึงเอาอำนาจในการบรรเทาทุกข์ครั้งนี้มาให้จงได้
ทั้งสองฝ่ายถกเถียงกันไม่จบสิ้น หลังจากนั้นอวี้ฉู่ซวนจึงได้เอ่ยนามคนผู้หนึ่งออกมา
คนผู้นั้นคือจ้าวเซียน เ้าเมืองแห่งเมืองหุยอันในปีก่อน เย่อหยิ่ง กดขี่รังแกชาวเมือง เื่ไหนไม่เลวทรามไม่กระทำ
จ้าวเซียนผู้นี้เป็จองหงวน2 ในปีรัชศกที่ 18 ซึ่งเป็ปีที่อัครเสนาบดีฝ่ายขวาฉินทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลการสอบบรรจุขุนนาง
หลังจากประกาศรายชื่อได้ไม่นาน บุตรชายคนที่สองของเขาซึ่งมีนามว่าฉินข่ายก็ใช้เวลาอันสั้น กลับสามารถมีที่ดินมากมายภายใต้นามของตนเอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหุยอันปีที่แล้ว ซึ่งเป็เมืองที่อวี้ฉู่จาวผ่านทางหลังกลับจากา จ้าวเซียนถูกเหล่าชาวเมืองขวางทางก่อนดึงลงมาจากหลังม้าจนเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวาย
จากการตรวจสอบในครั้งนั้นทำให้รู้ว่า จ้าวเซียนผู้นี้เป็คนไม่รู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้เล็กน้อย แต่ไม่ได้มีทักษะพื้นฐานเลย
แล้วเมื่อทำการตรวจสอบฉินฉือ เขาพูดแค่ว่าการสอบขุนนางในครั้งนั้นยึดตามคะแนนในข้อสอบที่ผู้เข้าสอบส่งมา นี่คือเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสิน
ในที่สุดเื่นี้จึงปล่อยผ่านไปอย่างคลุมเครือ ไม่มีผู้ใดสนใจจะตรวจสอบที่ทางหรือทรัพย์สินส่วนตัวของฉินข่ายแม้แต่ผู้เดียว
อวี้ฉู่ซวนรู้สึกว่าเื่นี้ช่างแปลกประหลาด เขาได้ตรวจสอบจนพบกับเบาะแสบางอย่าง ทั้งสองฝ่ายจึงได้ถกเถียงกันวันนี้อย่างดุเดือดในท้องพระโรง จ้องมองกันไปมาก่อนกล่าวถึงเื่นี้ขึ้นมา
ฮ่องเต้ฉงเต๋อครองราชย์มานานหลายปี เด็ดขาดและชัดเจนทางการเมืองมาเสมอ แล้วพระองค์จะปล่อยให้มีการทุจริตและติดสินบนได้อย่างไร
เวลาต่อมา ฮ่องเต้ฉงเต๋อจึงทำการซักถามฉินฉือและได้ส่งคนไปตรวจสอบรายละเอียดเื่ของจ้าวเซียนอีกครั้ง
แน่นอนว่าเื่นี้สร้างความสงสัยให้กับอวี้ฉู่ซวน มีการดำเนินการเพียงเล็กน้อย จัดการอย่างเงียบเชียบ
ให้คนไปตรวจสอบ? หรือว่าพรงองค์คิดจะล้มล้างอัครเสนาบดีฝ่ายขวา?
จิตใจคนเรานั้นยากแท้หยั่งถึง ความโลภก็มีมิใช่น้อยในใจของมนุษย์
ความขัดแย้งในราชสำนัก อวี้ฉู่จาวไม่เคยคิดอยากเข้าร่วม เพียงแค่มองอยู่เงียบๆ ในท้องพระโรงเท่านั้น
หลังจากการหารือเสร็จสิ้น อวี้ฉู่จาวกลับไปยังตำหนักในวังหลวงก่อน ตอนแรกคิดว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปหาหลินหร่านที่จวนตระกูลหลิน แต่ใครจะไปคิดว่าเปิดประตูเข้าไปแล้วจะได้พบกับคนที่อยากเจอมารออยู่ตรงหน้า
พอเขามาถึงหน้าประตูหอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซีก็พบหลินหร่านที่กำลังตัดดอกไม้อยู่กับลุงตง
มือหนึ่งของลุงตงถือกรรไกร อีกมือหนึ่งสวมถุงมือผ้าฝ้าย
หลินหร่านก็ถืออุปกรณ์เช่นเดียวกัน
“ปีใหม่แล้ว ฤดูใบไม้ผลิกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หากไม่ตัดดอกไม้ ต้นกล้าที่งดงามก็จะไม่เติบโตขอรับ” ลุงตงเอ่ยไปพลาง ฝ่ามือลงมือตัดแต่งดอกไม้
“ดอกไม้ในตำหนักแสนจะบอบบาง หากไม่ดูแลเอาใส่ใจให้ดีก็จะไม่ผลิบานให้”
“ข้าไม่เคยเห็นดอกไม้พวกนี้เลย…” หลินหร่านใช้มือขวาถือกรรไกร มือซ้ายจับก้านของดอกไม้ไว้ เขาลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ควรตัดตรงไหนถึงจะเหมาะสม
ตอนที่เขาออกมาก็เห็นว่าลุงตงกำลังตัดดอกไม้อยู่คนเดียว
หลินหร่านจึงทักทายอย่างนอบน้อมพร้อมกล่าว “ลุงตง...ให้ข้าช่วยไหมขอรับ”
หลังจากลุงตงมองเขาด้วยท่าทีชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมรับในท่าทีดูสุภาพของเขา
“ได้สิ เดี๋ยวข้าเตรียมของให้คุณชายน้อยแล้วกันขอรับ”
แล้วก็เป็เช่นนั้น หลินหร่านถูกนำถุงมือมาสวมให้ อีกทั้งยังถือกรรไกรที่มีขนาดใหญ่กว่ามือตนเองหลายเท่า
หลินหร่านมองดูท่าทางของลุงตง เขาพยายามเรียนรู้และทำตาม แต่ก็ไม่กล้าลงมือตัดเพราะกลัวว่าจะทำผิด
ลุงตงเห็นท่าทีที่แสนจะระมัดระวังของหลินหร่านพลันลอบคิดว่าช่างน่าขัน เ้าเด็กคนนี้นี่จริงๆ เลย
“ตัดตรงนี้ มันจะมีปมอยู่ คุณชายน้อยลองลูบๆ ดูก็จะเห็นว่ามันเปราะบางยิ่งนัก หากเป็เช่นนั้นต้นกล้าต้นนี้อาจทำให้ดอกไม้ไม่ผลิออกมา” สุดท้ายลุงตงจึงค่อยๆ สอนวิธีตัดให้หลินหร่านทีละขั้นตอน
หลินหร่านยื่นมือออกไปลูบแ่เบา เหมือนกับที่ลุงตงบอกไม่มีผิด หลังจากแน่ใจแล้วก็ตัดก้านดอกไม้ก้านนั้นทันที
ภายหลังได้เห็นลุงตงเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ดีกับตนเอง หลินหร่านดีใจเป็อย่างมาก
บทสนทนาจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ “ดอกไม้ก็เหมือนกับคน หากดูแลมันเป็อย่างดี มันถึงจะทำให้เราเห็นในมุมที่สวยงามที่สุด ให้คนที่ดูแลมันได้ชื่นชมอีกด้วย”
ลุงตงหยุดมือครู่หนึ่งแล้วหันไปมองหลินหร่าน แววตาไม่ได้มีความหมายใดแอบแฝง
หลินหร่านที่ถูกจ้องมองกลับใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไป
ก่อนที่ลุงตงจะเอ่ยขึ้น “อันที่จริงสุดท้ายแล้ว เราต้องจริงใจซึ่งกันและกันถึงจะถูกต้อง”
อวี้ฉู่จาวยืนมองอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นหลินหร่านเป็ฝ่ายเข้าหาผู้อื่นก่อน เขารู้สึกดีใจไม่น้อย
การที่ลุงตงยอมเปิดใจหลินหร่านนับว่าเป็เื่ดี เพราะคนเหล่านี้ล้วนเป็คนสำคัญในชีวิตเขา
หลินหร่านกำลังจะขึ้นรับตำแหน่งพระชายา หากว่าคนเหล่านี้ไม่อาจยอมรับในตัวของหลินหร่านได้ ก็นับเป็เื่ที่น่าเสียดาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางทอดทิ้งอวิ๋นซีของเขาแน่
“อวิ๋นซี”
หลินหร่านที่ได้ยินเสียง เขารู้ได้ทันทีว่าเป็เสียงของอวี้ฉู่จาว จึงหันไปมองท่านอ๋องด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอ๋อง”
หลินหร่านวางของในมือก่อนเดินเข้าไปหา
“ท่านอ๋องประชุม่เช้าเสร็จแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านเดินเข้ามาพร้อมจับมือของอีกคน
“อืม เ้ามานานแล้วหรือ”
“ไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋อง” ลุงตงกับติงหร่วนก้าวเข้ามาถวายบังคม
อวี้ฉู่จาวพาหลินหร่านเข้าไปในหอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซี
“อาการเ้าดีขึ้นหรือยัง” อวี้ฉู่จาวยังคงนึกถึงเื่ที่หลินหร่านสลบไปเมื่อวานนี้ จึงได้เอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง
“ไม่เป็อะไรมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ่ที่อยู่ในเรือนชุนอวี่ ข้าดื่มยาไปแล้ว”
หลังจากทั้งคู่เข้าไปในห้องก็มีคนนำฉางฝู3 เข้ามาให้
หลินหร่านจึงหลบออกไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นนางกำนัลเข้ามาเปลี่ยนชุดให้กับอวี้ฉู่จาว ในใจพลันรู้สึกหึงหวงอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านอ๋อง ให้ข้าทำเถิด” หลินหร่านก้าวเข้ามาใกล้อีกครั้ง
“ให้เ้าทำงั้นหรือ...อย่าเลย เื่พวกนี้ให้พวกนางทำเถิด เ้าพักผ่อนเสีย” เพราะคิดว่าหลินหร่านยังป่วยอยู่ รวมถึงไม่อยากให้เขาทำเื่ของเหล่านางกำนัลเช่นนี้ด้วย จึงได้ปฏิเสธออกไป
“แต่ข้าอยากทำ ท่านอ๋อง...ให้ข้าช่วยท่านถอดเสื้อผ้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลังงานอภิเษกสมรส อย่างไรเื่เหล่านี้ถือเป็สิ่งที่ข้าต้องทำ”
ประโยคหลังที่แอบแฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง เหตุใดอวี้ฉู่จาวจะไม่เข้าใจกัน
เขายิ้มพลางเอ่ยตอบ “ได้ ข้าจะให้เ้าทำ ขอแค่เ้าบอก อยากหรือไม่อยากทำข้าก็ให้เ้าเป็คนเลือก”
อวี้ฉู่จาวโบกมือทีหนึ่ง เป็การบอกให้เหล่านางกำนัลออกไปจากห้องแล้ววางเสื้อผ้าไว้
“มาสิ” อวี้ฉู่จาวกางแขนออก ให้หลินหร่านเป็คนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตนเองแทน
หลินหร่านก้าวเข้าไปด้านหน้าพลางยื่นมือออกไปลูบบนชุดเฉาฝู4 ของอวี้ฉู่จาว โดยเฉพาะงูตัวใหญ่ที่ถูกปักเอาไว้ตรงตำแหน่งหน้าอก
หลินหร่านหลบสายตา อวี้ฉู่จาวก็ไม่รู้ว่าหลินหร่านกำลังคิดอะไรอยู่
“เป็อะไรหรือ อวิ๋นซี”
“ข้า..ข้า...ข้าไม่รู้ว่าต้องเริ่มถอดจากตรงไหน”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหร่าน อวี้ฉู่จาวนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
เฉาฝูนั้นไม่เหมือนกับฉางฝู การสวมใส่ค่อนข้างมีความยุ่งยากกว่า คนทั่วไปจึงไม่ค่อยรู้วิธีการถอดที่แน่นอน
-------------------------------
1 การต่อสู้ระหว่างนกกระสากับหอยกาบ เป็สำนวนจีน มีความหมายว่า สองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่กลับให้ฝ่ายที่สามได้กอบโกยผลประโยชน์ไป
2 จองหงวน หมายถึง ข้าราชการในสมัยโบราณ
3 ฉางฝู หมายถึง เสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ทั่วไป
4 เฉาฝู หมายถึง ฉลองพระองค์ทางการ