สวี่ตี้เริ่มเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว จางจ้าวฉือให้ป้าจ้าวสั่งให้คนอยู่ดูแลเรือน ส่วนตนเองก็พาคนในเรือนส่วนหนึ่งไปที่ไร่ แม้แต่ตัวป้าเหอเองก็ตามมาช่วยทำครัวด้วยเช่นกัน
นี่เป็ครั้งแรกที่สวี่จือเห็นภาพการเก็บเกี่ยว และนี่ก็เป็ครั้งแรกที่สวี่จือรู้ว่า ที่แท้การเก็บเกี่ยวเป็เื่ที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
ต้นข้าวสาลีเป็เรียงรายเต็มท้องทุ่ง รวงข้าวสาลีสีทองอร่ามโค้งตัวงอลง ยามสายลมอ่อนๆ พัดผ่านต้นข้าวสาลีสีทองขยับไหวๆ อยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันร้อนแรงที่แผดเผา
คนหนุ่มร่างกายกำยำถือเคียวเอาไว้ในมือยืนเรียงกันตรงหน้าดินเป็แถวๆ เมื่อสวี่เหราออกคำสั่ง หลังจากเสียงดังขึ้นพวกเขาก็โค้งเอวลงแล้วเริ่มเก็บเกี่ยว
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็คนที่ทำงานในที่นาจนเคยชิน ความเร็วในการเก็บเกี่ยวนั้นฉับไวมาก
แขนคว้าข้าวสาลีมาหนึ่งกำ อีกมือก็ถือเคียวคมมาเกี่ยวต้นข้าวสาลีร่วงมาเป็แถบ ร่างของคนหนุ่มก้มหน้าทำงานไปด้วยกัน ดูแล้วมีเสน่ห์ที่ทำให้คนหลงใหล สวี่จือที่ยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์มองคนที่กำลังเกี่ยวข้าวสาลีพวกนั้น นางก็รู้สึกว่าภายใต้แสงสว่างของพระอาทิตย์ นี่เป็ภาพที่น่าหลงใหลภาพหนึ่ง
สวี่จือยืนอยู่ตรงพื้นดิน เห็นต้นข้าวสาลีที่ถูกตัดล้มเป็แถบๆ อยู่ด้านหลังร่างของคนหนุ่มที่ก้มตัวเกี่ยวข้าวสาลีแล้วเดินถอยหลัง ซึ่งความเร็วในการเกี่ยวของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ที่นาแห่งนี้ก็เหมือนจะเป็พื้นพรมข้าวสาลีขนาดใหญ่ จากตรงด้านหน้าเป็ต้นไป มีสีสันหลากหลายเป็ทาง ภายใต้แสงอาทิตย์ได้แสดงให้เห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก
จางจ้าวฉือได้นำน้ำถั่วเขียวต้มมาให้กับคนที่มาเกี่ยวข้าว เมื่อเห็นสวี่จือยืนอยู่ตรงบริเวณที่นาก็เอ่ย “จือเอ๋อร์ อย่าไปยืนกลางแดดสิลูก เดี๋ยวจะโดดแดดเผาเอา”
สวี่จือเห็นมือหนึ่งของจาวจ้าวฉือถือหม้อมาด้วยก็รีบเข้าไปช่วยถือ จางจ้าวฉือจึงรีบยกหม้อขึ้นให้สูง “ไอ๊หยา จือเอ๋อร์ที่รัก ทำเช่นนี้มิได้นะ มันหนัก เ้ายังถือไม่ไหวหรอก อีกเดี๋ยวแม่จะพาเ้ากลับ พวกเราไปดื่มน้ำถั่วเขียวเย็นๆ กันเถิด”
จางจ้าวฉือถือหม้อขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุน้ำถั่วเขียวได้หลายสิบจิน ก่อนจะวางน้ำถั่วเขียวลงตรงหน้าที่นา แล้วเรียกคนงานที่กำลังช่วยกันเกี่ยวข้าวสาลีในที่นาขึ้นมาพักดื่มน้ำดื่มท่า จากนั้นจึงจูงมือสวี่จือกลับเรือนไป
ตลอดทางยังแวะเก็บรวงข้าวที่แก่แล้วมากำเอาไว้ในมือ “จือเอ๋อร์ พวกเรากลับไปทำโจ๊กข้าวสาลีกันดีกว่า”
สวี่จือมองจางจ้าวฉือที่ถูกแดดเผาจนหน้าแดง “ท่านแม่เ้าคะ เหตุใดท่านถึงได้รู้จักของมากมายขนาดนี้เ้าคะ?”
จางจ้าวฉือเอ่ยตอบ “เพราะว่าแม่นั้นเห็นอะไรมาเยอะน่ะสิ ตอนเด็กแม่ไม่ได้เหมือนกับสตรีคนอื่นๆ ที่วันๆ เอาแต่อยู่ในเรือน แม่เคยออกทะเลกับพวกลุงๆ ของลูก แม่ยังเคยตามท่านตาออกไปเก็บสมุนไพรบนูเา รอจนลูกเห็นทะเลที่กว้างใหญ่ รวมทั้งรู้จักไปถึงความสุขของเกษตรกร ลูกจะรู้สึกว่าภายในใจเหมือนได้อาบด้วยน้ำแร่ในูเา จะไปที่ใดก็ปลอดโปร่งโล่งใจ”
สวี่จือฟังแล้วใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวัง ตอนนางเด็กๆ ก็เติบโตที่เรือนเล็กในจวนโหว หลังจากแต่งงานแทนพี่สาวออกไป ก็ไปอยู่ที่เรือนเล็กๆ ในจวนติ้งกั๋วกง สถานที่เดียวที่เคยไปด้านนอกก็คือหลิงหนานที่ตามคนของจวนติ้งกั๋วกงไป แต่ว่าตอนนั้นเดินทางไปยังสถานที่ไกลแสนไกล ก็ต้องใช้เท้าเดินไปทีละก้าว ทั้งยังต้องกังวลว่าจะกินอิ่มหรือไม่ ตลอดทางจะเจอกับสภาพอากาศไม่ดีหรือไม่ มีหรือจะมีอารมณ์ไปมองทิวทัศน์รอบข้าง?
จางจ้าวฉือเห็นสวี่จือที่หลังจากได้ฟังคำพูดของตน ใบหน้าเล็กๆ ก็จ้องไปยังที่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “วางใจเถิด ต่อไปพวกเราจะต้องมีโอกาสไปดูอีกหลายที่แน่นอน”
ที่แปลงนาต่างพากันเก็บเกี่ยวอย่างครึกครื้น ทว่าคนที่สำนักงานเขตได้ขี่ม้าเร็วมาหาสวี่เหรา บอกว่าในสำนักงานเขตมีงานด่วนที่จำเป็จะต้องให้ใต้เท้าสวี่กลับไปทันที สวี่เหราเองก็ทำได้แค่จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ รีบตามคนที่มาแจ้งกลับไปยังสำนักงานเขต
สวี่ตี้พูดกับจางจ้าวฉือด้วยความแปลกใจ “มีเื่อันใดถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น ท่านพ่อก็จัดคนให้มาช่วยเก็บเกี่ยวมานานแล้วไม่ใช่หรือ?”
จางจ้าฉือตอบ “ผู้ใดจะไปรู้กันล่ะ”
หลังจากสวี่เหราตามกลับมาที่เขตแล้วถึงได้รู้ว่า ที่แท้คนกลุ่มหนึ่งของนอกด่านเอาขนแกะจำนวนมากมาหาซื่อจื่อเว่ยหลาง บอกว่าจะนำมาแลกใบชาและเกลือ
การแลกเปลี่ยนมาถึงที่ด้านหน้าของด่านเยี่ยนเหมินแล้ว เพื่อความปลอดภัย เว่ยหลางกับสวี่เหราได้จัดตลาดแลกเปลี่ยนใหม่ให้ไปอยู่ที่ด้านนอกด่านเยี่ยนเหมิน ใช้รั้วไม้มาล้อมพื้นที่ใหญ่ๆ เอาไว้ สวี่เหรายังใช้ไม้มาทำรั้วประกาศ ้าเขียนราคาแลกเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ เอาไว้
เว่ยหลางได้เปิดประตูด่านเยี่ยนเหมินออก ตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูด่าน เมื่อเห็นสวี่เหรารีบเดินทางมา ก็ทำมือคำนับแล้วพูดเสียงเบา “ใต้เท้าสวี่ ข้ามารายงาน กลุ่มที่มาแลกเปลี่ยนในครั้งนี้คือกลุ่มเล็กๆ ในแถบทุ่งหญ้า แต่ว่าที่ตามมาด้วยมีคนสำคัญของราชวงศ์เป่ยตี้ ส่วนรายละเอียดนั้นยังไม่แน่ชัด ตลาดแลกเปลี่ยนเป็สิ่งที่สำนักงานเขตเป็คนสร้างขึ้นมา พวกข้าที่เป็ทหารไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวตรงๆ ได้ ดังนั้นจึงขอให้ใต้เท้าให้ความสนใจขอรับ”
สวี่เหราแค่ฟังก็เข้าใจแล้ว เกรงว่าครั้งนี้การแลกเปลี่ยนของจะเป็ฉากหน้า ความจริงคือทางเป่ยตี้ส่งคนมาดูลาดเลาเสียมากกว่า
สวี่เหราพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ย “ข้าจะพาคนไป พวกท่านส่งคนมาดูแลประตูใหญ่ให้ดีนะขอรับ”
ตลาดแลกเปลี่ยนในตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะสามารถแลกเปลี่ยนของกันได้อย่างไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า ทุกครั้งในเวลาที่แน่นอน สวี่เหราจะให้คนรวบรวมของ จากนั้นก็เอามาที่ตลาดแลกเปลี่ยน แล้วทางพวกนอกด่านน่ะหรือ ก็รู้ว่าเวลาใดสามารถมาแลกเปลี่ยนสินค้าได้ ทุกกลุ่มจะสะสมของเอาไว้ เมื่อสะสมเพียงพอแล้วก็จะหาวันเวลาที่ตลาดเปิดจึงจะเอามาแลกเปลี่ยนที่นี่
เมื่อมาหลายครั้งเข้า สวี่เหราก็รู้จักกับผู้นำกลุ่มหลายคนของพวกเขตทุ่งหญ้า
ที่มาครั้งนี้เป็หัวหน้ากลุ่มที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าขนาดก็ไม่ได้เล็กมากเช่นกัน หัวหน้ากลุ่มนามว่าจี๋เหรินไท่ เป็คนรูปร่างสูงใหญ่อายุห้าสิบกว่าปี เพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากด่านเยี่ยนเหมิน จึงมักจะเอาของมาแลกเปลี่ยนบ่อยครั้ง คนในกลุ่มของพวกเขาหลังจากแลกใบชากับเกลือไปแล้ว ก็ยังพากลุ่มที่อยู่ลึกๆ ของเขตทุ่งหญ้ามาที่นี่อีกด้วย
จี๋เหรินไท่เห็นสวี่เหราก็หัวเราะฮ่าๆ ใช้ภาษาจีนแปร่งๆ อยู่เล็กน้อยพูดกับเขา “ใต้เท้าสวี่ ข้าขออภัยจริงๆ ทางพวกเรามีขนแกะอยู่ชุดใหญ่ จำเป็ต้องใช้ใบชาและเกลือด่วนขอรับ”
สวี่เหรายิ้มพลางเอ่ย “เื่ที่ได้ผลประโยชน์ทั้งคู่ นี่เป็สิ่งที่ทุกคนต่างยินดีที่จะได้เห็นมัน ข้าได้จัดคนให้ไปขนของมาแล้ว อีกประเดี๋ยวพวกเราก็เริ่มได้แล้วขอรับ”
สวี่เหราไม่ใช่คนที่เก่งด้านการสนทนามากนัก หลังจากพูดกับจี๋เหรินไท่ได้ไม่กี่ประโยค ก็เริ่มตรวจสอบขนแกะที่นำมา
ขนแกะมีหลายคันรถใหญ่ ผ้าขนแกะจะน้อยกว่ามาก สวี่เหรามองขนแกะสกปรกพวกนี้ก็ขมวดคิ้ว “เหล่าจี๋ ขนแกะในครั้งนี้ดูแล้วสู้ครั้งที่แล้วมิได้เลยนะ”
แววตาของจี๋เหรินไท่วาววับ ก่อนจะเอ่ย “ปกปิดมิได้จริงๆ สินะ ครั้งนี้บางอย่างก็เป็ของกลุ่มอื่นที่ส่งมาด้วย ขนแกะของแต่ละคนมีน้อย หากให้มาเดี่ยวๆ มันไม่คุ้ม พวกเขาก็เลยส่งมาที่ข้าให้เอามันมาด้วยกันน่ะขอรับ”
สวี่เหราพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองคนที่อยู่ด้านข้างรถม้าคันใหญ่หลายคน
ด้านข้างรถม้าคันใหญ่จะมีบุรุษสวมชุดกี่เพ้าสองคนยืนอยู่ บุรุษของทางเขตทุ่งหญ้าปกติแล้วจะเป็คนรูปร่างสูงใหญ่ ดูเช่นนี้แล้วมองอะไรไม่ออกจริงๆ โชคดีที่คนพวกนั้นไม่ได้อยู่ด้านในด่านเยี่ยนเหมิน อีกเดี๋ยวคนทางเหอซีเอาของมาแลกเปลี่ยนมาพวกเขาก็ไปกันแล้ว
พอคิดถึงสินค้าขึ้นมา สวี่เหราที่ชอบดูละครโทรทัศน์เกี่ยวกับาก็นึกถึงการส่งข้อความขึ้นมาได้ จึงอดที่จะหันกลับไปมองด่านเยี่ยนเหมินที่อยู่ด้านหลังตนเองมิได้
ด่านเยี่ยนเหมินเป็ปราการทองคำ ที่แต่เดิมเป็สถานที่ตั้งของที่พักของทหารที่เข้าร่วมต่อสู้า หลังจากสร้างแคว้นต้าเหลียงขึ้น ก็ยิ่ง้าปกป้องสถานที่แห่งนั้นเอาไว้ให้ดี หากด่านเยี่ยนเหมินถูกคนของเป่ยตี้ทำลายแล้วละก็ เช่นนั้นก็มิต่างกับเป็การเปิดประตูของต้าเหลียงออกแล้วเชิญผู้บุกรุกเข้ามา
สวี่เหราคิดถึงตรงนี้ก็พูดกับจี๋เหรินไท่ไม่กี่ประโยค ก่อนจะบอกว่าตนเองจะไปเร่งคนเสียหน่อย จากนั้นเขารีบกลับเข้ามาด้านในด่านเยี่ยนเหมินอีกครั้ง
เว่ยหลางเห็นสวี่เหรากลับมาแล้วก็รีบถาม “เป็อย่างไรบ้างใต้เท้าสวี่?”
สวี่เหราส่ายหน้า “มองไม่ออกว่าเป็คนใด ซื่อจื่อ ท่านว่าครั้งนี้จู่ๆ ก็แลกเปลี่ยนของกะทันหันเช่นนี้จะมีการแอบลักลอบส่งข่าวกันหรือไม่ขอรับ?”
เว่ยหลางฟังแล้วก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด “เื่นี้พูดยาก ข่าวที่ข้าได้มาจากเป่ยตี้ บอกว่าองค์ชายหลายพระองค์ของราชวงศ์เป่ยตี้ตอนนี้ต่อสู้กันรุนแรงมาก ฮ่องเต้เองก็พระชนมายุมากแล้ว ตอนนี้ก็อยากจะเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์จากองค์ชายเหล่านี้”
สวี่เหราพยักหน้า “เื่เช่นนี้คาดว่าเพื่อให้เข้าตาขององค์ฮ่องเต้ จึงมีคนให้ความสนใจกับด่านเยี่ยนเหมินเป็แน่ขอรับ อีกเดี๋ยวสินค้าที่ส่งมาจากในเมืองท่านให้คนไปรับ จะต้องตรวจสอบให้ละเอียดหนึ่งรอบ ไม่ใช่แค่รถม้าหรือว่าสินค้าเท่านั้น ให้คนของท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ชาวบ้านแล้วเอาสินค้ามาส่งให้ข้านะขอรับ”
เว่ยหลางเอ่ยถาม “ใต้เท้าสวี่ ท่านมีความคิดอะไรหรือ?”
สวี่เหราตอบ “ความคิดนั้นไม่มี แต่เตรียมตัวเองไว้จะดีกว่าขอรับ หากหาจดหมายเจอจากสินค้าจริง อย่าเพิ่งไปแตะต้องมัน ดูว่าเนื้อหาเป็อย่างไร เมื่อรู้ว่าเขาจะทำสิ่งใดแล้วพวกเราก็จะสามารถเตรียมรับมือล่วงหน้าได้ขอรับ”
เว่ยหลางหัวเราะแล้วเอ่ย “ใต้เท้าสวี่ ท่านพี่สวี่ ข้ารู้สึกว่าท่านไม่สมควรจะมาเป็ผู้ปกครองเขตนะ ท่านควรจะมาเป็กำลังพลในกองทัพทหารถึงจะถูก”
สวี่เหราเอ่ยอย่างลำบากใจ “บ่าของข้ามิสามารถแบกชุดเกราะได้ มือก็ไม่สามารถถืออาวุธได้ จะไปอยู่ในกองทัพได้อย่างไรขอรับ?”
เว่ยหลางกล่าวอย่างตั้งใจ “ข้าได้ตรวจสอบเื่ราวมาอย่างละเอียดโดยเฉพาะเื่นี้ ไม่เพียงแค่รัชกาลนี้ที่ทำากับเป่ยตี้ แต่รัชกาลก่อนก็เคยสู้รบกับเป่ยตี้มาแล้วหลายครั้ง หลายปีมานี้เป่ยตี้มีคนของเรา พวกเราเองก็มีคนของเป่ยตี้ เ้ามีข้าข้ามีเ้า กลยุทธ์จึงเป็สิ่งสำคัญที่สุดอย่างไรเล่า”
สวี่เหราโบกมือ “ตอนนี้ข้าเป็ผู้ปกครองเขต เป็เพียงขุนนางขั้นเจ็ดคนหนึ่ง มีหรือจะมีความสามารถในการสืบหาคิดวิเคราะห์วางแผนอย่างที่ท่านว่า ตอนนี้ข้าอยากจะทำให้ประชาชนภายใต้การปกครองของข้ามีข้าวกินจนอิ่มท้อง มีเงินใช้ไม่ขาดมือ จำเป็ต้องแก้ไขเขตเมืองเหอซีให้ดีเสียก่อนขอรับ”
เว่ยหลางยิ้มแล้วหัวเราะ “ข้ารู้สึกท่านมีดีแต่เอาความสามารถออกมาใช้น้อยไปเสียหน่อย”
เมื่อมองเห็นรถม้าหลายคันมาจากเหอซีจากที่ไกลๆ สวี่เหราจึงเอ่ยขึ้น “มาแล้วขอรับ อย่าให้คนพวกนั้นอยู่ใกล้กันเกินไป เอาคนมาไว้ด้านข้างก่อน ที่ควรจะค้นตัวก็ค้นเสีย เื่สินค้าขอมอบให้ท่าน ตัวข้าจะไปรับมือกับคนด้านนอกนะขอรับ”
เว่ยหลางรีบสั่งให้คนไปตรวจสอบ และให้คนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ทางด้านสวี่เหราก็ไปพูดคุยหัวเราะฮ่าๆ กับจี๋เหรินไท่
สวี่เหราถามจี๋เหรินไท่ว่าหลังจากฤดูใบไม้ผลิไปแล้วหญ้าที่ทุ่งหญ้าเป็อย่างไรบ้าง ทั้งยังบอกกล่าวกับจี๋เหรินไท่ว่า ตอนฤดูใบไม้ร่วงสามารถรวบรวมพวกเมล็ดต้นหญ้า แล้วเอาไปปลูกในที่ที่ไม่ค่อยจะมีหญ้าเกิดขึ้นได้ ทั้งยังสามารถเอาต้นกล้าของต้นซัวซัวไปปลูกตรงเขตทะเลทรายได้ จี๋เหรินไท่ก็มองสวี่เหราที่พูดกับตนเองราวกับคนโง่ ในใจอยากจะพูดกับเขาว่าทะเลทรายปลูกต้นอะไรก็ไม่ขึ้น แต่ดูจากท่าทางของคนที่อยู่ข้างกายตนจ้องสวี่เหราอย่างตั้งใจแล้ว เขาก็ไม่ได้ไปพูดขัดอันใด
ถึงแม้สวี่เหราจะไม่ค่อยถนัดด้านการสนทนากับคน แต่กลับถนัดในการสังเกตคน เขาเห็นจี๋เหรินไท่มองคนผู้หนึ่งอยู่หลายครั้ง จึงอาศัยช่องว่างตอนหันกลับไปมองแล้วมองพิจารณาคนผู้นั้น
บุรุษร่างกายสูงใหญ่แข็งแกร่ง สวมชุดกี่เพ้าสีดำ ผมถักเป็เปียเอาไว้ ครึ่งใบหน้าเป็หนวด ดูแล้วไม่สะดุดตามากนัก แต่จี๋เหรินไท่มองเขาอยู่หลายครั้ง สวี่เหรารู้สึกว่าคนของราชวงศ์ที่ซื่อจื่อเว่ยหลางพูดถึงคนนั้น แปดในสิบส่วนก็คือคนผู้นี้
เห็นรถม้าหลายคันออกมาจากด้านในด่านเยี่ยนเหมิน ในที่สุดสวี่เหราก็ถอนหายใจ ในเมื่อรถม้าถูกส่งออกมาแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าซื่อจื่อเว่ยหลางได้จัดการเื่ที่ควรจัดการเรียบร้อยแล้ว
จี๋เหรินไท่เห็นรถม้าเคลื่อนตัวออกมาจากด้านในด่านเยี่ยนเหมินก็ถอนหายใจ เขาไม่อยากจะทำลายความสงบกับทางต้าเหลียง เพราะว่าในกลุ่มได้ทำการแลกเปลี่ยนกับต้าเหลียงชีวิตความเป็อยู่จึงดีขึ้นมาก จี๋เหรินไท่ไม่ใช่คนที่มีความทะเยอทะยานอะไรใหญ่โต แค่คิดอยากจะเป็หัวหน้ากลุ่มที่สามารถทำให้ประชาชนหลายร้อยคนสามารถมีชีวิตที่ดีก็เพียงพอแล้ว
หลายปีก่อนเป่ยตี้ทำากับต้าเหลียงไม่หยุดหย่อน กลุ่มเล็กๆ ในเขตทุ่งหญ้าไม่สามารถรับของจากต้าเหลียงได้ทันเวลา คุณภาพชีวิตจึงลดลงไปมาก โชคดีที่สถานการณ์สองปีหลังมานี้ดีขึ้นมาก จี๋เหรินไท่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ชีวิตดีๆ ที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้มาก
จี๋เหรินไท่มองคนที่จัดการสิ่งของพวกนี้ให้กับตนเองไม่ใช่คนที่เจอประจำ จึงเอ่ยปากถามสวี่เหรา “ใต้เท้าสวี่ เหตุใดถึงไม่เห็นพวกพี่น้องที่เห็นประจำหรือ?”
สวี่เหราตอบ “ตอนนี้กำลังอยู่ใน่เก็บเกี่ยวฤดูร้อน คนในสำนักงานเขตต่างถูกส่งไปทำงาน คนพวกนี้ก็เป็คนที่ข้าเรียกมาช่วยงาน เหล่าจี๋ ข้าวสาลีในแปลงนาของข้าได้ถูกเก็บเกี่ยวแล้ว ตลาดแลกเปลี่ยนครั้งหน้าเ้าจะต้องมานะ ข้าจะทำกัวปิ่ง [1] ที่สามารถเก็บได้นานไว้ให้เ้า”
จี๋เหรินไท่ได้ยินก็พูดออกมาด้วยความดีใจมาก “ได้สิขอรับ ถึงตอนนั้นข้าจะรอชิมกัวปิ่งของใต้เท้าสวี่”
เมื่อส่งกลุ่มของจี๋เหรินไท่ออกเดินทางไปแล้ว สวี่เหราก็รีบไปที่ค่ายของซื่อจื่อเว่ยหลางในทันที
เว่ยหลางเห็นสวี่เหราก็เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “ใต้เท้าสวี่ เป็อย่างที่ท่านพูดจริงๆ ขอรับ พวกเราเจอกระดาษแผ่นหนึ่งที่ใต้รถม้าคันหนึ่ง ้าเขียนวิธีปลูกข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวของพวกเราเอาไว้ ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่การสืบราชการทหาร จึงได้ปล่อยไปขอรับ”
สวี่เหราฟังแล้วก็ถอนหายใจ “เอากลับไปแล้วจะอย่างไร ขึ้นไปทางเหนืออีกนิดก็ไม่สามารถปลูกได้แล้ว ถึงแม้จะปลูกได้แต่เมื่อปีใหม่มาถึงก็จะถูกอากาศหนาวทำให้ตายอยู่ดี”
สวี่เหราเอ่ยต่อ “แต่ข้ากลับคิดว่าหากพวกเขาสามารถปลูกได้ดี เช่นนั้นทุกคนก็จะมีข้าวกิน แล้วผู้ใดจะมาปล้นกันอีกหรือ?”
เว่ยหลางส่ายหน้า “ใต้เท้าสวี่ สิ่งที่ท่านคิดนั้นตื้นเขินเกินไปแล้ว นี่เป็แค่ความคิดของคนธรรมดาส่วนใหญ่ ชีวิตของคนธรรมดา ขอเพียงแค่กินอิ่มนอนหลับมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ก็เพียงพอแล้ว แต่ว่าความคิดของคนสูงศักดิ์นั้นไม่เหมือนกัน พวกเขามีอาหาร มีทหารที่ร่างกายแข็งแรง แล้วก็มีแต่ความคิดที่จะรังแกแคว้นของพวกเราขอรับ”
สวี่เหราตอบ “ใช่สินะ มีบางครั้งคนธรรมดามากมายก็จะต่อสู้กันด้วยความโลภ ทั้งๆ ที่นี่เป็ความคิดของคนมีที่อำนาจกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ถึงจะมีคนตาย หรือคนที่ได้รับาเ็ สุดท้ายก็มีแต่คนธรรมดาพวกนั้นเท่านั้นที่รับกรรม เฮ้อ เมื่อยังเป็คนเป็ ก็เป็คนทุกข์ พอตายก็ยังเป็ิญญาทุกข์อีก ช่างน่าเวทนาเสียจริง”
เชิงอรรถ
[1] ขนมแผ่นแป้งกลมๆ หนาๆ ค่อนข้างแข็ง เป็ขนมของคนทางเหนือ