สวี่เหรากลับมาเกี่ยวข้าวสาลีต่ออีกครั้ง การเก็บเกี่ยวในฤดูร้อน นั่นก็คือการแย่งอาหารออกจากหัตถ์ของเทพเซียน หากฝนตกขึ้นมา การเก็บเกี่ยวในปีนี้ก็จะล้มเหลว ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่สั่งให้คนในสำนักงานเขตมาช่วยกันเกี่ยวข้าว สวี่เหราได้กำชับแล้วกำชับอีก ว่าจะต้องให้ทุกคนรีบลงมือ อย่าได้เห็นว่าแดดดีแล้วจะเก็บเกี่ยวล่าช้าได้ อากาศในตอนนี้เปลี่ยนไปไวมากเกินไป ผู้ใดจะไปรู้ว่าเมฆสีใสพวกนี้จะนำพาฝนมาด้วยหรือไม่?
ตรงหน้าแปลงนาได้สร้างลานขนาดใหญ่เอาไว้ เพื่อตอนที่เก็บเกี่ยวเสร็จยังพอที่จะเอามาใช้ตากแห้งได้ ปกติแล้วตรงนี้จะเป็พื้นที่กว้าง ซึ่งมักจะมีพวกเด็กๆ มาวิ่งเล่นกัน
ข้าวสาลีที่เกี่ยวออกมาจะถูกนำมาวางและตากเอาไว้ตรงลานกว้าง บุรุษที่มีกำลังวังชาดีก็จะลากคราดที่ทำจากไม้วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในแปลงนา เมื่อถึงเวลาเอาข้าวสาลีมาตี ร่อนข้าว ตากแดด ทุกวันตรงลานกว้างจะเต็มไปด้วยความครึกครื้น
ตอนกลางวันแสงแดดจากดวงอาทิตย์ร้อนมาก ทว่าหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้วลมกลางคืนกลับหนาวเย็น
สวี่ตี้ที่งานยุ่งมาทั้งวันก็ย้ายเก้าอี้ไม้เล็กๆ มานั่งตรงด้านข้างลานตากข้าวแล้วมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว หัวหน้าหมู่บ้านที่มาจากหมู่บ้านจางเห็นเด็กชายอายุสิบสองปีผู้นี้ ในใจรู้สึกว่าเด็กอายุน้อยคนนี้น่านับถือจริงๆ ตอนกลางวันก็ทำงานทำการ และมิใช่เพราะว่าตนเองมีบิดาเป็ถึงผู้พิพากษาประจำท้องถิ่นจึงไม่คิดจะทำอะไร แล้วก็มิใช่เพราะตนเองอายุน้อยจึงทำงานน้อย นี่ทำให้เหล่าบุรุษในหมู่บ้านต่างนับถือเขามาก
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว สวี่ตี้รีบไปยกเก้าอี้ไม้ในเรือนมาอีกหนึ่งตัว แล้วก็สั่งให้หัวหน้าผู้ดูแลสวนสกุลจ้าวไปย้ายโต๊ะไม้มาที่นี่พร้อมชงชามาให้
หัวหน้าหมู่บ้านรีบกล่าวขอบคุณ และไม่ได้พูดอ้อมโลกอันใดอีก เขาเปิดประเด็นขึ้นมาตรงๆ “คุณชายขอรับ ข้ามาที่นี่เพื่ออยากจะบอกว่า หมู่บ้านของพวกเราอยากจะปลูกข้าวสาลีกับท่านในฤดูใบไม้ร่วงขอรับ”
หมู่บ้านสกุลจางได้เช่าที่นามานานหลายปีแล้ว สวี่ตี้เองก็ไม่อยากจะทำการเปลี่ยนแปลงอะไรจึงกล่าว “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน หมู่บ้านของพวกท่านอยากจะปลูกข้าก็ต้องยินดีอยู่แล้ว ท่านมองดูข้าวโพดในที่นาพวกนั้นสิขอรับ รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว เก็บข้าวโพดเสร็จแล้วก็จัดการหน้าดิน จากนั้นค่อยปลูกข้าวสาลี วนกันไปเช่นนี้ หนึ่งปีก็เท่ากับว่ามีธัญพืชที่สามารถเก็บเกี่ยวได้สองครั้ง”
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าอย่างแข็งขัน “คนส่วนมากในหมู่บ้านของพวกเราเห็นท่านปลูกเช่นนี้มาสองปีแล้ว ได้ผลผลิตอย่างไรในใจของพวกเราย่อมรู้ดีที่สุด ชาวบ้านอย่างพวกเราน่ะไม่มีความ้าอย่างอื่น เพียงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากๆ เติมท้องให้อิ่มในแต่ละมื้อ หาเงินได้มากขึ้น ทำให้บุตรหลานในเรือนสามารถแต่งงานหาภรรยาหรือสามีแต่งออกไปได้เท่านี้ก็พอแล้วขอรับ”
สวี่ตี้ยิ้มรับคำพูดที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดกับตน หัวหน้าหมู่บ้านชราพูดอยู่นานก็มองเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ ก่อนที่ตนเองจะหัวเราะออกมา “ข้าอายุปูนนี้แล้ว ท่านอย่าได้รังเกียจที่ข้าบ่นเลยนะ”
สวี่ตี้ส่ายหน้า “ท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ ข้าไม่รังเกียจเลย ไม่รังเกียจ ท่านเห็นทางน้ำในที่นาของข้าหรือไม่ ข้าอยากจะทำให้ที่ดินพวกนี้ทำเหมือนกัน ขุดทางน้ำเอาไว้ในที่นา เช่นนี้ตอนที่รดน้ำก็จะสะดวกมากขึ้น ท่านกลับไปปรึกษากับคนในหมู่บ้านของท่านดูนะขอรับ หากยินยอม รอจนถึงตอนที่ปลูกข้าวสาลีแล้วค่อยมาขุดทางน้ำด้วยกัน ต่อไปปลูกพืชผักยามรดน้ำก็จะสะดวกขึ้นเยอะเลยขอรับ”
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้ารับ หนึ่งปีกว่านี้ มองดูคุณชายอายุน้อยคนนี้ทำที่ดินขนาดใหญ่ให้เป็ระเบียบ ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านเองก็เป็คนที่มีความรู้ รู้ว่าพืชพันธุ์ที่คุณชายปลูกส่วนมากเป็สิ่งที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงสนใจกับมันมาก ในใจก็คิดอยู่ตลอดว่าเมื่อใดจะสามารถเอาเมล็ดจากทางคุณชายมาปลูกได้ พอเห็นสวี่ตี้หาคนมาทำที่นาหลายไร่ ทั้งยังใช้เถาวัลย์ล้อมเอาไว้ ก็รู้แล้วว่าเ้าสิ่งนี้ไม่เหมือนกับของปกติ โชคดีที่คนในที่นามีไม่มาก ตอนที่งานในที่นาเยอะก็จ้างคนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านจึงเริ่มที่จะให้ความสนใจกับเื่นี้
แน่นอนว่าสวี่ตี้เข้าใจว่าหัวหน้าหมู่บ้านนั้นหมายความว่าอย่างไร ตอนนี้กลัวก็แค่เขามีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ขอแค่มีความคิดเหมือนกันเขาก็สามารถทำตามความคิดของสวี่ตี้ได้ ผักหลายชนิดที่อยู่ในนา ต่อไปการดูแลจะต้องใช้คนมากขึ้น สวี่ตี้จึงคิดที่จะจ้างคนในหมู่บ้านจางเจีย
สวี่จือมาถึงที่นาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากในทุกๆ วัน เย็นวันนี้อาหารที่กินก็คือข้าวธัญพืช ธัญพืชสดใหม่หลังจากใช้หินมากลิ้งทับหลายรอบ เมื่อได้ที่ก็เอามาต้มใส่ถั่วเขียว ต้มจนเหนียวติดกันก็ได้ที่ รับประทานคู่กับอาหารดอง เพียงกับข้าวถ้วยใหญ่ๆ แค่นี้ก็อิ่มได้แม้ไม่ต้องทานข้าว
หลังจากสวี่จือช่วยมารดาของตนเองทำงานบ้านงานเรือนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่หน้าประตูเรือนเห็นสวี่ตี้กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น จึงเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงด้านข้าง “เกอเกอ ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเ้าคะ?”
นี่เป็ยามราตรีในเดือนห้า ท้องนภาทางตะวันตกเหลือเพียงเส้นสีแดงทึบ ท้องนภาทางด้านตะวันออกมีเศษเสี้ยวของพระจันทร์ ทั่วทั้งฟากฟ้าสามารถมองเห็นดวงดาวนับพันอยู่รางๆ
สภาพแวดล้อมที่ไร้มลพิษจากโรงงาน ดวงดาวบนท้องฟ้ามองแล้วจึงสว่างเป็พิเศษ สวี่ตี้รู้สึกว่าไม่ต้องทำอย่างอื่น เพียงแค่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน มองดวงดาวพร่างพราวส่องสว่างเต็มท้องฟ้าอารมณ์ก็ดีมากๆ แล้ว
สวี่ตี้ถอนหายใจยาว “พี่กำลังคิดว่าดาวบนท้องฟ้านี่สวยจริงๆ”
สวี่จือเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าแล้วถามออกมาด้วยความสงสัย “ดวงดาวมีอะไรงดงามหรือเ้าคะ ั้แ่เด็กจนโตก็เป็เช่นนี้มาตลอดมิใช่หรือเ้าคะ?”
สวี่ตี้หัวเราะ น้องสาวของตนคนนี้ไม่เคยผ่านเื่ราวอย่างที่ตนเองเคยผ่านมา จึงไม่รู้อยู่แล้วว่าเด็กที่เติบโตในเมือง ตอนกลางคืนมองเห็นเพียงแสงจากไฟฟ้าเท่านั้น มีหรือจะเห็นดวงดาวเช่นนี้?
สวี่จือมองพี่ชายของตนเองไม่ได้พูดอะไรต่อ จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ท่านพี่เ้าคะ ที่แท้การปลูกพืชก็ทำให้ในใจของคนอารมณ์ดีนะเ้าคะ เอาเมล็ดใส่ลงไปในดิน จากนั้นก็รอดูเมล็ดค่อยๆ งอกรากออกมา เติบโต ออกดอก ออกผล สุดท้ายก็เป็อาหารของพวกเรา ทำให้ท้องของทุกคนไม่หิว เกอเกอ ต่อไปข้าจะเรียนการปลูกพืชตามท่านดีหรือไม่เ้าคะ?”
สวี่ตี้ได้ยินคำพูดของน้องสาวก็ใเป็อย่างยิ่ง หากเคยอยู่ในยุคที่ตนเองเคยอยู่ น้องสาวชอบเรียนเกษตร อย่างมากก็ให้น้องสาวไปสอบวิชาเกษตรได้ ต่อไปบางทีก็ทำวิจัยหรือปลูกพืชได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้น้องสาวได้รับสิ่งตอบแทนจากสิ่งที่ได้เรียนมา แต่ว่าที่นี่ อุตสาหกรรมไม่ได้พัฒนา เครื่องจักรทางการเกษตรยิ่งไม่ต้องพูดถึง เกษตรกรนั้นต้องพึ่งแรงงาน การจะเก็บเกี่ยวแต่ละครั้งจะดีร้ายก็ต้องดูสีหน้าของเหล่าเทพเซียนบน์ อยากจะปลูกพืชเป็เื่ที่ยากมากๆ
สวี่จือเห็นพี่ชายมองมาที่ตนเองอยู่ตลอดไม่ได้พูดอะไร จึงเอ่ยปาก “เกอเกอ ไม่ได้หรือเ้าคะ?”
สวี่ตี้พูดว่า “จือเอ๋อร์ การปลูกพืชไม่ใช่เื่ที่สตรีเขาทำกัน พวกเราไปทำอย่างอื่นกันเถิด อย่างเช่นเรียนรู้การค้าขาย ต่อไปเปิดร้านหลายร้านก็สามารถหาเงินมาให้ตนเองได้”
สวี่จือเอ่ย “แต่ว่าพวกพี่สาวในหมู่บ้านต่างก็ทำไร่ทำนามิใช่หรือเ้าคะ? พวกพี่สาวทำได้ ข้าเองก็สามารถทำได้เช่นกันเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือออกมาจากในเรือนได้ยินคำพูดนี้ของสวี่จือนางจึงกล่าวขึ้นว่า “จือเอ๋อร์กำลังพูดถึงอะไรหรือ? อะไรที่พวกพี่สาวทำได้ เ้าเองก็ทำได้กัน?”
สวี่จือเห็นจางจ้าวฉือมาแล้วก็พูดออกมาด้วยความดีใจ “ท่านแม่ ท่านรีบมาเ้าค่ะ ข้ากำลังพูดกับท่านพี่ว่าต่อไปข้าอยากจะเรียนรู้การปลูกพืชผักตามท่านพี่เ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็รู้สึกตลกมาก หลังจากนั่งลงข้างสวี่จือแล้วก็ดึงสวี่จือเข้ามาในอ้อมกอด “มา พูดกับแม่สิว่าเหตุใดถึงอยากเรียนการปลูกพืชตามพี่เขา?”
สวี่จือตอบ “การปลูกพืชผักเป็เื่ที่ดีเ้าค่ะ เมื่อมีอาหารท้องก็จะไม่หิวเ้าค่ะ”
เื่นี้เป็ความแตกต่างของคนโบราณกับคนยุคปัจจุบันหรือ?
ในใจของจางจ้าวฉือมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย ตนเองเคยมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง บ้านเก่าอยู่ที่หมู่บ้านห่างไกล ลูกในครอบครัวไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ เพื่อนร่วมงานทั้งสองคนดูแลไม่ไหว จึงพาลูกอายุสิบกว่าปีกลับบ้านเก่า พวกเขาบอกกับลูกว่า จะไม่เรียนหนังสือก็ได้นะ เช่นนั้นก็กลับไปปลูกพืชไป พอดีกับตอนนั้นเป็่เก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง เด็กไปเด็ดฝักข้าวโพดในไร่ ทำได้อยู่หนึ่งวัน เด็กคนนั้นรับไม่ได้จึงร้องไห้บอกว่าจะกลับบ้านไปตั้งใจเรียน ต่อมาการเรียนของเด็กๆ ก็ไม่ได้ทำให้พ่อแม่หนักใจอีกต่อไป
แต่ว่าลูกสาวที่แสนน่ารักของนางกลับบอกว่าจะเรียนปลูกพืชผักตามพี่ชาย การปลูกพืชนั้นเหนื่อยแค่ไหนหลายวันมานี้เด็กคนนี้ได้เห็นอยู่ในสายตาแล้ว
จางจ้าวฉือเอ่ย “จือเอ๋อร์ ตอนนี้เ้ายังเล็ก อยากจะทำอะไรตนเองอาจจะยังไม่ได้รู้ดีมากนัก พวกเราน่ะ มีเวลาก็ตามพี่ชายไปทำงานที่สามารถทำได้ รอจนเ้าโตขึ้นมาอีกหน่อย หากยังอยากจะเรียนปลูกผักแบบพี่ชาย เช่นนั้นพวกเรากลับเมืองหลวงไปแล้วจะซื้อสวนที่ชานเมืองหลวงให้เ้าปลูกพืชดีหรือไม่?”
สวี่จือพยักหน้า “เ้าค่ะท่านแม่ รอจนข้าปลูกพืชได้ดีแล้วจะเอาอาหารมาให้ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ แล้วก็แม่นมลู่ทานนะเ้าคะ”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็หัวเราะออกมาแล้วก้มลงไปหอมแก้มสวี่จือ “ได้สิ เช่นนั้นแม่จะรอจือเอ๋อร์ของพวกเราเอาอาหารมาให้กินนะ”
ตอนกลางคืนหลังจากสวี่จือหลับไปแล้วสวี่ตี้ก็พูดกับจางจ้าวฉือ “เื่เรียนของจือเอ๋อร์เราต้องรีบหน่อยนะขอรับ ลูกสาวบ้านใดจะเหมือนนางที่จะเรียนปลูกพืชกัน”
จางจ้าวฉือหัวเราะก่อนจะเอ่ย “ความคิดของเด็ก วันหนึ่งเป็อย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ก็อีกอย่าง จะไปเอาแน่เอานอนได้ที่ไหน? ตอนเ้าเด็กๆ ยังอยากจะเป็นักบินอวกาศอยู่เลย ข้าเองก็ไม่เห็นเ้าเป็นักบินอวกาศนะ”
สวี่ตี้ตอบ “มันจะเหมือนกันได้อย่างไรขอรับ? นี่มันยุคไหน ยุคนั้นของพวกเราเป็อย่างไร? ยุคนี้ไม่เป็มิตรกับเด็กผู้หญิงมากขนาดนั้น ไม่สั่งสอนให้เด็กมีเกราะป้องกันเอาไว้ ข้าก็ไม่กล้าให้จือเอ๋อร์ออกจากเรือนไปหรอกนะขอรับ”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “เ้าคิดมากไปแล้ว มันจะไปรุนแรงอย่างที่เ้าคิดเสียเมื่อไหร่ จือเอ๋อร์ยินดีทำอะไรก็ให้ทำไป ยังมีแม่กับเ้า แล้วก็พ่อของเ้าอยู่ไม่ใช่หรือ”
สวี่ตี้ฟังแล้วถอนหายใจ มองไปยังน้องสาวที่นอนหลับจนใบหน้าเล็กๆ นั่นแดงระเรื่ออยู่บนตั่ง ก็รู้สึกว่าตนเองจะต้องตั้งใจเรียน เรียนดีแล้วไปสอบเข้าขุนนาง เด็กหญิงตอนที่อยู่ในเรือนจะเป็อย่างไรก็ได้ แต่เมื่อแต่งงานออกไปแล้วเขาก็คือเกราะหลังที่แข็งแกร่งของนาง ในเมื่อมีครอบครัวฝั่งมารดาที่แข็งแกร่งแล้ว ครอบครัวสามีก็ไม่กล้าที่จะรังแกได้ง่ายๆ
หลังจากจบการเก็บเกี่ยวหน้าร้อน ฝนก็ตกลงมาสองรอบ ข้าวโพดในที่นาก็เติบโตได้ดี ผักชนิดต่างๆ ที่ปลูกลงไปก่อนหน้านั้นก็เติบโตงดงามเช่นกัน
สวี่ตี้เดินตรวจตราในที่นาของตนเอง รู้สึกว่าที่ไหนๆ ก็ทำให้ตนเองนั้นรู้สึกดีใจ โดยเฉพาะพริกพวกนั้น ต้นกล้าของพริกถูกปลูกลงไปเป็แถวๆ ปุ๋ยใส่อย่างเพียงพอ มองเห็นใบพริกสีเขียวเป็แถวๆ เช่นนี้ดูแล้วรู้สึกแข็งแกร่งมาก
พริกพวกนี้เป็ต้นทุนของตนเองกับสกุลเว่ยร่วมมือกัน
เว่ยหลางได้พูดกับคนในตระกูลแล้ว คนในครอบครัวจึงส่งพี่สาวคนโตของเว่ยหลางให้มาร่วมมือกับจางจ้าวฉือเพื่อเปิดร้านหม้อไฟ
เพราะเหตุนี้ ตอนที่เพิ่งจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ พี่สาวของเว่ยหลางจึงมาที่เหอซี ซึ่งจางจ้าวฉือไม่ได้พูดอะไร หลังจากรับประทานหม้อไฟด้วยกันมื้อหนึ่ง พี่สาวคนโตของเว่ยหลางก็กลับไปเตรียมตัวเื่เปิดร้านหม้อไฟ ที่เมืองหลวงสกุลเว่ยมีหน้าร้านอยู่ อีกทั้งในที่ดินที่ดีที่สุดก็ยังมีโรงเตี๊ยมอยู่แห่งหนึ่ง เว่ยหลางวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะเอาโรงเตี๊ยมมาเป็ร้านหม้อไฟ กลับไปทำการซ่อมแซมดีๆ สักหน่อยก็เป็อันใช้ได้แล้ว
ในเมื่อจะเปิดร้าน เช่นนั้นก็จะต้องซ่อมแซมก่อน ครอบครัวสวี่ทั้งสามคนปรึกษากันเื่ซ่อมแซมร้านหม้อไฟอยู่นานมาก หลังจากพี่สาวคนโตของเว่ยหลางมาถึง ทั้งสองฝ่ายจึงนั่งลงแล้วปรึกษารายละเอียดกันจนเรียบร้อย ทางด้านสกุลเว่ยก็เลือกวันเริ่มซ่อมแซม ทางด้านสกุลสวี่หรือ หลังจากรอให้พริกชุดแรกสุก ก็ทำเครื่องแกงหม้อไฟส่งไปที่เมืองหลวง
สวี่ตี้มองพริกเป็แถวๆ ในแปลงก็ถอนหายใจ นี่มันใช่พริกที่ไหนกัน นี่มันเป็เงินทั้งนั้น ต่อไปเงินค่าใช้จ่ายของตนเองก็จะมาจากตรงนี้นี่แหละ
เมื่อมีแรงผลักดันจะทำเื่อะไรก็ราบรื่นมาก บวกกับฟ้าฝนเป็ใจ พืชพันธุ์ในไร่จึงเติบโตดีมาก ผักในแปลงผักเองก็เติบโตดี ทุกวันสวี่ตี้จึงมีเรี่ยวแรงในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม
ทางด้านสวี่ตี้ยุ่งอยู่กับไร่นา เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับการค้าขายของร้านหม้อไฟที่ตนเองร่วมมือกับสกุลเว่ย ทุกวันจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในไร่นา จางจ้าวฉือพาสวี่จือกลับไปที่ในเมืองเหอซี สวี่เหราหรือก็ยุ่งอยู่กับการแลกเปลี่ยนของกับกลุ่มคนในเขตทุ่งหญ้า ขนแกะที่แลกกลับมาก็ส่งไปที่จวนแม่ทัพเพื่อทำให้เป็เส้นไหม
ชุดกันหนาวที่ใช้ขนแกะมาถักนั้นได้ราคาดีมาก หนึ่งชุดใหญ่ๆ มีมูลค่าถึงหนึ่งถึงสองร้อยตำลึง เว่ยหลางแอบทำสัญญากับสกุลจาง พอถักชุดกันหนาวออกมาแล้วก็จะใช้ร้านค้าสกุลจางส่งไปขายที่เมืองหลวงและหัวเมืองต่างๆ เพราะว่าชุดขนแกะทำให้เว่ยหลางกับสวี่เหราหาเงินมาได้มากมาย เว่ยหลางนั้นเอาเงินมาใช้กับกองทัพ ส่วนสวี่เหรานั้นเอาเงินมาใช้กับการพัฒนาเมืองเหอซี
เมืองเหอซีในตอนนี้ มองจากด้านนอกก็ดูเก่า แต่ถนนหนทางในเมืองได้ปูพื้นหินแล้ว สวี่เหราได้ซื้อเรือนเอาไว้หลายหลัง แล้วสร้างเรือนที่งดงามมากๆ หลังหนึ่งให้เป็ที่เรียนรู้ของที่นี่ ในเมืองมีห้องเรียน และเขาก็ได้จ้างซิ่วไฉจากด้านนอกมาหลายคน ก่อนจะรับสมัครเด็กที่อายุเหมาะสมในเมืองมาเรียนหนังสือ สวี่เหรายังจัดตั้งซิ่วไฉเหล่านี้ไปสอนหนังสือชาวบ้านตามหมู่บ้าน หากปกติว่างจากงานเกษตรเขาก็จะไปที่หมู่บ้านเพื่อสอนหนังสือให้ทุกคนรู้ตัวหนังสือง่ายๆ จะได้ไม่เป็คนที่ไม่รู้เื่อะไรเลย เพราะว่าการทำเช่นนี้ ทำให้ประชาชนในเหอซีต่างนับถือสวี่เหราผู้เป็ผู้ปกครองเขตเมืองนี้กันมาก
เหอซีอยู่ทางเหนือ ท้องฟ้าเปิดกว้าง ตอนที่ฝนตกก็เป็ฝนตกหนักเพียงครู่หนึ่ง หลังจากฝนตกไปแล้วฟ้าก็สดใส ไม่เหมือนกับทางใต้ที่พอถึงฤดูฝนก็จะอากาศอึมครึมทั้งวัน มักจะรู้สึกว่าเสื้อผ้าบนตัวตากไม่แห้ง
ฤดูฝนที่นี่น้ำฝนค่อนข้างมาก เพราะว่าอยู่ใกล้กับแม่น้ำ บางครั้งฝนตกถี่ขึ้น น้ำในแม่น้ำก็จะเอ่อล้นออกมา สวี่ตี้เฝ้าที่ไร่นาของตนเองอยู่หลายครั้ง โชคดีที่ข้าวฮ่านต่าวที่ปลูกใกล้กับแม่น้ำ หลังจากฝนตกไปแล้ว ขอแค่ระบายน้ำออกจนหมดก็ไม่เสียหายอะไร
ตลอดทั้งฤดูร้อน ผักในแปลงเก็บมาได้ตลอดเวลา จางจ้าวฉือก็ได้กินมะเขือเทศผัดไข่ที่ตนเองอยากกินมาตลอด สวี่เหราก็เอาแตงกวามาหลายลูก ส่วนแตงกวาที่โตไม่ค่อยจะดีมากเท่าไหร่ก็ถูกจางจ้าวฉือเอามาทำเป็แตงกวาดอง ตอนกลางคืนยามทานโจ๊กธัญพืชก็ไม่ต้องทานคู่กับกับข้าวอื่นๆ เพียงแค่ทานคู่กันกับแตงกวาดองก็พอ
ผักทุกอย่างสวี่ตี้ได้เก็บเมล็ดเอาไว้เพียงพอแล้ว ผักพวกนี้สวี่ตี้ได้แบ่งเอาไปให้คนในหมู่บ้าน ตอนนี้ทุกคนต่างคาดหวังว่าปีหน้าจะปลูกข้าวสาลีและผักอื่นๆ กับคุณชาย
ในที่สุดพริกก็สุก พริกในแปลงมีทั้งแดงทั้งเขียว ก่อนจะเลือกเด็ดอันที่มีสีแดงมาทีละอันๆ ก่อนจะเอาไปวางในตะกร้าใบใหญ่อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอาไปตากแดดให้แห้ง