ตลอดทางกลับเรือน สวี่จือพูดกับจางจ้าวฉือด้วยความดีใจเป็อย่างยิ่งว่า “ท่านแม่ๆ วันนี้ข้ารู้จักกับคุณหนูของสกุลหลี่ นางดีกับข้ามากเลยเ้าค่ะ”
สวี่จือพูดถึงบุตรสาวคนที่สองของอาลักษณ์หลี่ ซึ่งแก่กว่าสวี่จือสองปี
บุตรสาวทั้งสองคนของอาลักษณ์หลี่ คนโตปีนี้อายุสิบสามปี เป็่เวลาที่กำลังคุยเื่แต่งงาน คนที่สองอายุแปดปี จางจ้าวฉือเคยเห็นสองคนนี้มาก่อน ต่างเป็คนที่มีนิสัยซื่อสัตย์ทั้งคู่ คนโตเพราะว่าถึงวัยที่จะต้องแต่งงานแล้ว ปกติจึงไม่ค่อยจะออกไปด้านนอกเท่าไรนัก กลับเป็น้องคนเล็กที่ติดตามฮูหยินหลี่ออกนอกจวนตลอด จางจ้าวฉือเองก็เคยเจอมาแล้วหลายครั้ง
แม่นมลู่เอ่ย “คุณหนูของสกุลหลี่เป็คนที่ฉลาดจริงๆ หากให้ข้าพูด ความฉลาดนี้ไม่ได้มาจากการสั่งสอน แต่มีมาั้แ่กำเนิด”
จางจ้าวฉือพบว่าน้อยมากที่แม่นมลู่จะชมใคร จึงอดที่จะสนใจไม่ได้ “หืม? หาได้ยากที่แม่นมลู่จะชื่นชมผู้อื่นนะเ้าคะ”
แม่นมลู่กล่าวยิ้มๆ “ทำดีแล้วข้าจะไม่ชื่นชมได้อย่างไรกัน? พูดไปแล้วนี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้เจอคนที่ฉลาดเช่นคุณหนูสองของสกุลหลี่นะ ที่หาได้ยากก็คือนิสัยซื่อสัตย์ ไม่ใช่คนที่พูดจาไม่ดีหรือเ็าใส่ผู้อื่น และไม่ใช่คนที่ชอบดึงความสนใจ มีสายตากว้างไกล มองเื่ราวออกและมั่นคงมาก”
จางจ้าวฉือพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นต่อไปนี้พวกเราก็เชิญนางมาเป็แขกของพวกเราบ่อยๆ จือเอ๋อร์อยากจะหาสหายรู้ใจสักคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?”
สวี่จือฟังแล้วก็พยักหน้า แม่นมลู่เอ่ยถามต่อ “นี่เป็เื่ที่ดีมาก ใต้เท้าหลี่ผู้นี้มีความเป็มาอย่างไรหรือ?”
จางจ้าวฉือคิด “เหมือนว่าหลังจากสอบติดขุนนางก็เริ่มจากพนักงานตำแหน่งเล็กๆ สิบกว่าปีก่อนได้ตำแหน่งอาลักษณ์ของเหอซี ทำมาหลายปีแล้ว ส่วนเื่อื่นๆ ตอนกลางคืนคุณชายสามกลับมาแล้วพวกเราค่อยถามเขาก็แล้วกันนะเ้าคะ”
สวี่เหรากลับมาในตอนกลางคืนก็พูดถึงสถานการณ์ของสกุลหลี่อย่างละเอียด
ครอบครัวของอาลักษณ์หลี่ในรัชกาลก่อนหน้านี้เป็ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ใน่ปลายรัชกาล มีาเกิดขึ้นบ่อยครั้งในทุกๆ พื้นที่ สกุลหลี่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน หลังจากเสียทรัพย์สินไปจนหมดสิ้น ก็ไปแฝงเร้นตัวอยู่ที่หมู่บ้านในูเาเล็กๆ แห่งหนึ่ง ต่อมารัชกาลนี้ก่อตั้งแคว้นขึ้นมาใหม่ ราชวงศ์ก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ตระกูลหลี่ถึงได้ออกมาแสดงตัวและเริ่มสอบราชการอีกครั้ง
ใต้เท้าหลี่ตอนนั้นเดิมทีอยากจะเข้าสอบเตี่ยนซื่อ เพียงแต่น่าเสียดายที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวยมากเท่าไหร่ หลังจากสอบติดแล้วก็หางานทำในทันที และค่อยๆ เริ่มทำงานจากตำแหน่งเล็กๆ ก่อน จนกระทั่งทำมาจนถึงตอนนี้ และกลายเป็อาลักษณ์หรือขุนนางขั้นแปด
ได้ยินแม่นมลู่พูดถึงแม่นางน้อยของสกุลหลี่ในเื่ที่ดี สวี่เหราก็ลูบหัวสวี่จือก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นต่อไปจือเอ๋อร์ของพวกเราก็อยู่กับสหายดีๆ เล่า การมาของคนจากเมืองหลวงในครั้งนี้ อาลักษณ์หลี่ช่วยเหลือข้าไม่น้อยเลย ต่อไปผลประโยชน์ภายในนี้คงขาดเขาไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เพิ่มระดับขั้นขึ้นไปอีก”
สวี่ตี้เอ่ย “วันนี้ข้าเห็นคุณหนูสองคนของสกุลเฉียน ก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ในเรือนของพวกเขาออกคำสั่งมาหรืออย่างไร ถึงได้ทำท่าทางเชิดหน้าเช่นนั้น ครอบครัวขุนนางล้วนเชิญแม่นมมาสั่งสอนมารยาทให้เหล่าคุณหนูในเรือนมิใช่หรือขอรับ? เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าแม่นางสองคนนี้ไม่รู้ความเอาเสียเลย”
จางจ้าวฉือตอบ “ต่อให้หาแม่นมมาสั่งสอนให้ดีอย่างไร สภาพแวดล้อมที่อยู่ก็สำคัญมากเช่นกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือคำพูดและการกระทำที่สืบทอดมาจากบิดามารดา วันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าเจอกับฮูหยินเฉียน แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าสายตาของนางที่มองข้านั้นแปลกไป ท่าทางเหมือนสงสารข้ามาก คาดว่าเพราะนางรู้ว่าใต้เท้าจือโจวได้พูดตำหนิเ้าเอาไว้”
สวี่เหราส่ายหน้า “เพราะว่ามีคนพวกนี้ คนที่อยากจะทำงานอยากจะทำเื่ให้มันสำเร็จก็เจอกับอุปสรรคมากมายมาขัดขวาง”
สวี่ตี้เอ่ย “ท่านพ่อ ท่านดูตัวเองสิ เหตุใดถึงไม่คิดปล่อยวางเล่าขอรับ ที่ใดมีคนที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ ทุกคนต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองกันทั้งนั้น ตอนนั้นมหาวิทยาลัยของท่านพ่อก็สู้กันแทบเป็แทบตายเพื่อตำแหน่งรองศาสตราจารย์มิใช่หรือ”
สวี่เหราฟังแล้วก็เห็นด้วย “เป็ข้าเองที่ยึดติดมากเกินไป มิสู้เ้าที่คิดได้”
สวี่ตี้ถอนหายใจ “ตอนนั้นท่านพยายามเป็ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ส่วนท่านแม่หรือก็ทุ่มเทกับการเป็หมอศัลยแพทย์ที่โดดเด่น วงการของพวกท่านแคบไปหน่อยนะขอรับ”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “ก็ยังมีเ้าอยู่มิใช่หรือ?”
สวี่ตี้ตอบ “ข้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าใคร ข้าที่วันๆ หมกตัวอยู่ในห้องแล็บ ท่านจะมาคาดหวังอะไรกับข้าหรือขอรับ? ข้าจะบอกกับพวกท่านเอาไว้นะ อย่าได้ดูถูกสมองของคนยุคโบราณเชียว เพื่อผลประโยชน์แล้ว จะวิธีการอะไรก็สามารถงัดออกมาใช้ได้ทั้งหมด”
สวี่เหราเอ่ยรับปาก “ต่อไปข้าจะต้องระวัง จะระวังให้ดี”
จางจ้าวฉือลูบคางตนเอง “ตอนบ่ายแม่นมลู่ชมบุตรสาวคนที่สองของสกุลหลี่ ข้ายังไม่เคยเห็นแม่นมลู่ชมใครขนาดนี้มาก่อน ชมเสียจนข้าอยากจะเอาลูกสาวของเขามาไว้ในเรือนของเราเลย”
สวี่ตี้ฟังแล้วก็รีบร้องขอ “ท่านแม่ขอรับ ท่านรีบหยุดความคิดเสียเถิด นี่มันเื่อะไรกัน ข้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่? นางเพิ่งจะอายุเท่าไหร่? ท่านจะไปรับนางมาที่เรือนของเรา ท่านคงไม่ได้จะจับข้าคลุมถุงชนใช่หรือไม่? ข้าไม่เอานะ!”
จางจ้าวฉือเอ่ย “พวกเราก็แค่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามมิใช่หรือ? อาศัยใน่ที่เจอแม่นางดีๆ สักคนแล้วรีบลงมือเสีย หากพลาดคนนี้ไปก็คงจะไม่มีอีกแล้วนะ”
สวี่ตี้เอ่ย “ท่านแม่ ข้าไม่้าจริงๆ ท่านให้ข้าไปเชื่อมความสัมพันธ์กับแม่นางที่อายุยังไม่ถึงสิบปี ข้าทำไม่ลงหรอกนะขอรับ เื่นี้ก็ปล่อยเอาไว้ก่อน ตอนนี้ข้าเพิ่งจะอายุสิบสองเอง รออีกสองสามปี อย่างน้อยก็รอให้ข้าสอบติดก่อน ระดับของครอบครัวพวกเราเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ค่อยพูดถึงเื่แต่งงาน ความเชื่อมั่นของข้ายังดีอยู่นะขอรับ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เป็แบบนั้นก็ดี แต่ว่าเื่การแต่งงานของเ้า ข้าว่าหมั้นเอาไว้ก่อนจะดีที่สุด ข้าน่ะกลัวที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงของทางเมืองหลวง หากมีคนเอาเื่การแต่งงานของเ้ามาบีบพวกเราล่ะ?”
สวี่เหราพยักหน้า “จริงด้วย ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นยังพอวางใจได้ ข้ากับแม่ของเ้ายังพอจะออกหน้าให้เ้าได้ แต่หากโหวเย่กับฮูหยินรั้นจะยื่นมือเข้ามายุ่ง พวกเราก็ไม่สามารถทำให้เื่มันน่าเกลียดจนเกินไปได้ ถึงตอนนั้นเขาก็จะมาพูดว่าเราเป็คนอกตัญญู เช่นนั้นก็แย่แล้วสำหรับพวกเรา”
สวี่ตี้ถอนหายใจ “ไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่นี่เป็อะไรกัน เด็กเพิ่งจะกี่ขวบเองก็รีบร้อนให้หมั้นกันแล้ว คนอายุสิบกว่าปียังไม่โตเลยก็จะให้แต่งงานมีลูก หากมีความสามารถเช่นนี้ก็ไปทำงานดีๆ หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร?”
สวี่เหรายิ้มแล้วเอ่ย “มีครอบครัวก็เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว พูดให้ถูกก็คือต้องแต่งงานก่อนแล้วค่อยสร้างเนื้อสร้างตัว”
จางจ้าวฉือเอ่ย “พวกเพื่อนของเ้าที่ทำงานยุ่งในห้องทดลองจนอายุสามสิบแล้วยังไม่ได้แต่งงาน หากมาอยู่ที่นี่จริงๆ คงจะเป็คนแปลกไปเลย สวี่ตี้เอ๋ย ในเมื่อเจอแม่นางที่เหมาะสมแล้ว พวกเราก็ต้องอาศัยจังหวะนี้คว้าเอาไว้จะดีกว่า แม้จะยังไม่แต่งงานกันก็ตาม ไม่เช่นนั้นก็หาคนที่อ่อนกว่าเ้าเจ็ดแปดปี รอนางโตแล้วค่อยแต่งงานกับเ้า เช่นนั้นก็พอดีเช่นกัน”
สวี่ตี้เอ่ย “เื่นี้อย่าเพิ่งพูดถึงเลยขอรับ ตัวข้าเองยังไม่รู้ว่าข้า้าหาแบบไหนเลย รอข้าช่วยท่านพ่อทำพวกเื่ธัญพืชกับผักอะไรให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากันทีหลังเถิดนะขอรับ”
สวี่เหราเอ่ย “นี่ต่างหากถึงเป็เื่หลัก พวกเ้าสองคนคงไม่รู้ เพื่อผลักดันข้าวสาลี ข้ามีแรงกดดันมากเท่าไหร่ ข้าถึงขั้นสั่งงานคนต่อหน้าอาลักษณ์หลี่กับผู้ช่วยเฉียนเชียวนะ ตอนนี้ข้าตั้งความหวังว่า์จะประทานพร ฝนฟ้าตกเพียงพอ สามารถทำให้ประชาชนเก็บเกี่ยวธัญพืชได้เป็จำนวนมาก”
สวี่ตี้กล่าว “ข้ารู้ว่าไม่สามารถพึ่งแค่สภาพอากาศหากินได้หรอก เศรษฐกิจในเขตเมืองก็ต้องคว้าเอาไว้ด้วย ระบบพื้นฐานของที่นี่ ในหมู่บ้านเองก็ต้องตั้งกฎ ดูว่าใกล้ๆ นี้มีแม่น้ำอะไร ทะเลสาบอะไร พวกเราจะต้องหาสถานที่สร้างอ่างเก็บน้ำหรือไม่ แล้วก็ไม่ต้องทำใหญ่เกินไป หากเจออากาศแห้งแล้งขึ้นมาจริงๆ ก็ยังสามารถปล่อยน้ำออกมาเล็กน้อยเพื่อให้สามารถรดน้ำผักได้”
สวี่เหราเอ่ย “ข้าปรึกษากับพวกอาลักษณ์หลี่แล้ว เพราะว่าในมือไม่มีเงิน ในตอนนี้อะไรก็ทำไม่ได้”
สวี่ตี้เอ่ย “ท่านพ่อ ท่านบอกกับข้ามาเถิดว่าวางแผนอะไรกับเมืองเหอซีบ้าง?”
สวี่เหราดื่มชา ก่อนจะตอบ “ข้าให้ลุงสามของเ้าส่งใบชามาที่นี่ชุดใหญ่ เพื่อที่จะเปิดตลาดแลกเปลี่ยนอีกครั้ง อีกอย่างก็คือ ข้าได้ขอให้ซื่อจื่อเว่ยหลางทำหนังสือรับรองการซื้อขายที่เหลือให้กับลุงสามของเ้า ต่อไปก็ยังส่งเกลือมาที่นี่ได้ ของพวกนี้ล้วนเป็ของที่คนจากนอกด่าน้าอย่างเร่งด่วน ราชวงศ์เป่ยตี้ในหลายปีมานี้อยู่ใน่บำรุงมาตลอด ทุกปีก็มีเพียงแค่เรือเล็กๆ มาขายของ ข้ากับซื่อจื่อได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่าเื้ัคงจะมีการลงมือครั้งใหญ่เป็แน่ แล้วเหอซีของพวกเราก็เป็เขตเมืองที่อยู่ห่างจากเป่ยตี้ที่สุด ไม่ว่าจะอย่างไร ปกติแล้วจะต้องเตรียมกักตุนอาหาร อาวุธ รวมถึงยาให้เพียงพอ”
สวี่ตี้เอ่ย “ท่านพ่อ การเปิดตลาดแลกเปลี่ยนอีกครั้งนั้นย่อมเป็เื่ดี แต่ว่าท่านเองก็ต้องสามารถทำให้คนนอกด่านยินยอมมาแลกเปลี่ยนของกับพวกเราด้วยเช่นกันนะขอรับ”
สวี่เหราตอบ “สองอย่างนี้เป็ของดี ซื่อจื่ออยากจะแลกเปลี่ยนม้าศึกกับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ส่วนข้าอยากจะแลกเปลี่ยนขนแกะมาสักหน่อย พวกเราเอาขนมาทำเป็ด้าย แล้วค่อยถักทอออกมาเป็ไหมพรมขายไปทางใต้ นี่ก็เป็เงินไม่ใช่หรือ?”
จางจ้าวฉือคิดถึงเสื้อขนแกะรักษาความอบอุ่นนุ่มๆ พวกนั้นก็เอ่ยขึ้น “เื่นี้ดี เ้าขนแกะนี้หากนำไปที่เมืองหลวงจะต้องมีตลาดขาย ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ใช้ไหมพรมขนแกะพวกนี้หรือผ้าขนแกะพวกนี้มาทำเป็ชุดสำเร็จรูปขาย และยังมีพวกถุงมือเอย หมวกเอย ทำออกมาสวยๆ หน่อยยังจะต้องกังวลว่าจะไม่มีคนซื้ออีกหรือ?”
สวี่เหรายิ้มแล้วเอ่ย “ความคิดนี้ล้วนเป็ความคิดที่ดี เพียงแต่ร้านถักเส้นด้ายนั้นหายาก ขนแกะกับผ้าขนแกะนั้นไม่มีผู้ใดทำออกมาเป็เส้นไหมพรมสีสันมากมายได้ขนาดนั้น ทั้งจะต้องล้าง ย้อม ข้ากับซื่อจื่อหามาหลายร้าน ศึกษามาได้ปีกว่าแล้วก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีออกมา”
สวี่ตี้มองพ่อแม่ที่ใช้ดวงตาระยิบระยับมองตนเองแล้วก็ถอนหายใจออกมา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าเป็วิศวกรรมชีววิทยานะขอรับ สามารถช่วยท่านพ่อปลูกธัญพืช ปลูกผัก และก็เพราะว่าตอนนั้นข้าสนใจในเื่นี้จึงตามรุ่นพี่คณะเกษตรคนหนึ่งไปที่แปลงทดลองมาสองสามวัน ข้าไม่ได้สามารถทำทุกอย่างได้นะขอรับ”
จางจ้าวฉือถอนหายใจออกมา “รู้อย่างนี้ก่อนที่จะมาที่นี่ ข้าจะจำวิธีใช้ดินเผาเผากระจกออกมา อย่างอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจเลย อย่างน้อยให้ครอบครัวของพวกเราเอามันมาใช้กันให้ได้ก่อน”
สวี่เหราเอ่ย “มีเงินก็ยากที่จะซื้อ ‘รู้อย่างนี้’ ได้ หากรู้ว่าจะมาที่นี่ ในเวลาปกติข้าจะพูดคุยกับพวกผู้นำที่มาเรียนที่มหาวิทยาลัยให้ดี พูดคุยเื่ปกติแล้วถามพวกเขาว่าบริหารด้านการเมืองนั้นต้องทำอะไรกันบ้าง มีตรงไหนเหมือนกับตอนนี้หรือไม่ มุมมองข้าได้กำหนดเอาไว้แล้ว หากอยากจะพัฒนาประเทศขึ้นมาล่ะก็ จะต้องรับความคิดเห็นที่ข้าไม่เห็นด้วยได้ อย่างน้อยที่สุดจะต้องเข้ากับเพื่อนร่วมงานให้ได้ ข้าอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ลำบากอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ”
สวี่ตี้หัวเราะก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อ ปีนี้ท่านอายุยังไม่ถึงสามสิบเลยนะขอรับ อายุห้าสิบกว่าปีที่ไหนกันเล่า”
สวี่เหราตอบ “ข้าอายุเท่าไหร่เ้ายังไม่รู้อีกหรือ? เฮ้อ ปวดหัวจริงๆ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ข้าเองก็รู้สึกว่าทำให้เ้าลำบากแล้ว เหล่าสวี่ แต่ว่าพวกเราก็ช่วยอะไรเ้าไม่ได้จริงๆ"
สวี่เหราเอ่ย “พวกเ้าช่วยข้ามาหลายเื่แล้ว หากไม่มีพวกเ้า ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปที่ใด และเป็เพราะซื่อจื่อ พวกเราถึงได้มาสถานที่ที่ดีเช่นนี้”
สวี่ตี้เอ่ย “เป็เพราะท่านแม่ พวกเราถึงได้มาที่นี่จริงๆ หรือ?”
สวี่เหราพยักหน้าแล้วกล่าว “ครั้งที่แล้วตอนที่เฉินกงกงพาคนมา มีลี่ปู้ที่ทำหน้าที่จัดการสอบคนหนึ่ง เดิมทีก็รู้จักกันอยู่แล้วแอบมาบอกกับข้า บอกว่าเดิมทีข้าจะต้องอยู่ที่เมืองหลวง แต่เพราะมีคนของจวนจิ้งเป่ยโหวออกหน้าให้ ข้าถึงได้มาที่นี่ ความจริงแล้วพวกเรามีไม่กี่คนที่จะไปเป็ผู้ปกครองเขตของที่นั่นได้ ถึงอย่างไรบางคนที่ไปในหลายๆ ที่ล้วนไปเป็ถงจือ บางคนก็ถึงขั้นไปเป็ผู้ช่วยผู้ปกครองเขต หรืออาลักษณ์ นี่ล้วนแต่เป็ตำแหน่งของจิ้นซื่อทั้งนั้น”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ความจริงแล้วข้าก็รู้สึกว่าพวกเราอยู่ที่นี่ก็ดีนะ ถึงแม้จะอยู่ห่างจากพวกคนนอกด่านเพียงแค่ด่านเยี่ยนเหมินกั้น แต่ว่าด่านเยี่ยนเหมินนั้นปกป้องง่ายโจมตีได้ยาก แล้วก็มีสกุลเว่ยเป็ทหารปกป้องอยู่ที่นี่ หากเกิดาขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็สามารถไปหลบบนูเาทางตะวันออกได้ไม่เห็นเป็อะไร”
สวี่ตี้เอ่ย “ในเมื่อมาที่ปลอดภัยแล้ว คิดมากไปก็ไม่มีความหมาย ทำงานในมือของตนเองให้ดีดีกว่า ข้าได้พูดกับท่านลุงสามแล้ว จะให้เขาช่วยสอบถามวิธีจัดการไหมพรมขนแกะ คาดว่ารอกลับมาครั้งหน้าจะเอาจดหมายมาให้ข้าด้วย”
ทว่าจางจ้าวจื่อไม่ได้มาด้วยตนเอง เขาจะส่งจดหมายมาให้สวี่เหรา ที่เขียนมาในจดหมายก็เป็วิธีการจัดการกับขนแกะและผ้าขนแกะโดยเฉพาะ ได้ยินมาว่าได้มาจากต่างแคว้น
สวี่เหราใส่ใจกับเื่นี้เป็อย่างยิ่ง รีบเอาเนื้อหาที่ได้ส่งให้กับทางซื่อจื่อ ร้านปักผ้าหลายร้านต่างร่วมมือกันทดลองที่เรือนด้านข้างของจวนแม่ทัพ หลังจากได้รับสูตรมา ก็ทำงานล่วงเวลากัน เพื่อที่จะถักไหมพรมขนแกะที่มีความละเอียดนุ่มนิ่มออกมาให้ได้
ทุกอย่างล้วนเป็สีดั้งเดิม ตอนนี้ยังไม่สามารถใส่สีลงไปในเส้นไหมพรมพวกนี้ได้ แต่เพียงเท่านี้ทุกคนก็ดีใจกันมากแล้ว โดยเฉพาะจางจ้าวฉือ ตอนนี้ก็เป็เวลาสามเดือนแล้วนางที่ใช้เวลาตอนกลางคืนมาถักผ้าพันคอขนแกะให้กับสวี่จือ เข็มถักผ้าพันคอก็ยังเป็สวี่เหราที่ใช้ตะเกียบภายในเรือนเอามาดัดแปลงทำให้
ถือเป็การเริ่มต้นที่ดี ไม่เพียงแค่สวี่เหราที่ให้ความสำคัญ แม้แต่ซื่อจื่อเว่ยหลางเองก็ให้ความสนใจมากเช่นกัน ถ้าหากประสบความสำเร็จ เช่นนั้นพวกเขาก็ร่ำรวยเงินทองแล้ว ซื่อจื่อเว่ยหลางย่อมรู้ ผ้าที่ถักมาจากเส้นไหมพรมขนแกะนั้นราคาเท่าไหร่ อีกทั้งถ้าหากสามารถย้อมสีได้ เช่นนั้นราคาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก แต่วัตถุดิบที่ใช้ทำให้ขนแกะเป็สีต่างๆ นั้นล้วนมาจากต่างแคว้นทั้งสิ้น ราคาจึงสูงมาก
ร้านค้าสกุลจางขนส่งของเข้ามาเพิ่มมากขึ้นทุกวัน การเปิดตลาดแลกเปลี่ยนใหม่อีกครั้งก็อยู่ใน่เวลาสำคัญ และในตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเทศกาลเรือัแล้ว เมื่อถึงเทศกาลเรือันั่นก็หมายความว่าข้าวสาลีที่ปลูกลงไปจะต้องเก็บเกี่ยวแล้ว
ปีนี้ถือว่าเป็ปีที่ลมฝนดี ไม่ใช่แค่ข้าวสาลีที่ทดลองปลูกในหมู่บ้านต่างๆ จะเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตเป็จำนวนมาก แปลงนาข้าวสาลีของสกุลสวี่เองก็ออกรวงข้าวเหลืองอร่าม ไม่เพียงแค่สวี่ตี้ที่ยุ่ง สวี่เหราเองก็ยุ่งจนหัวหมุนด้วยเช่นกัน
สวี่ตี้จะยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ดูแลข้าวฮ่านต่าวที่ปลูกลงไป ยิ่งต้องจัดการกับผักที่ปลูกไปด้วย โดยเฉพาะพริก แปลงพริกได้ใช้เถาวัลย์ที่ไปตัดมาจากบนูเาเอามาล้อมเอาไว้ หลังจากเถาวัลย์ออกรากแล้วก็จะล้อมแปลงพริกเอาไว้มิดชิด นี่เป็เื่ที่ทำให้สวี่ตี้ดีใจมากที่สุด