ย้อนเวลากลับมาเป็แฟนหนุ่มที่ดีแบบ 300%
Chapter 9
/
“ทำตัวดี ๆ นะแซค อ่อนน้อมเข้าไว้คนเขาจะได้เอ็นดู”
“ครับผม”
“เอาทิชชูเปียกมายัง แบตสำรองล่ะ ถ้าลืมไม่วนไปเอามาให้หรอกนะ”
“แซคเตรียมไว้ั้แ่เมื่อคืนแล้วน่า ไม่ต้องเป็ห่วง” รอยยิ้มอ่อน ๆ ประดับลงบนใบหน้าเมื่อลอบสังเกตถึงความวิตกกังวลของคนรักที่มีต่อตัวเขา
วันนี้เป็วันแรกที่แซคเข้ามาทำงานในฐานะลูกจ้างของ PD group หาใช่ลูกชายเ้าของบริษัทไม่ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเพื่อนสนิทอย่างแบร์และฟากต่างส่งข้อความมาอวยพรเขา บริษัทพ่อมึงเจ๊งแน่ พวกมันว่ามาแบบนี้ หากเป็เมื่อก่อนแซคคงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟเพราะพวกมันเอาความจริงมาพูดเล่น ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ อยากพูดอะไรก็พูดไป หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบสามเช่นเขาไม่รู้สึกระคายหูสักนิด เหอะ
“เลิกงานแล้ว เดี๋ยวมารับ”
“เดี๋ยวแซคนั่งรถไฟฟ้ากลับก็ได้ครับ สถานีอยู่ตรงข้ามนี่เอง” ชีวิตของมนุษย์เมืองซิวิไลซ์ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีขนส่งสาธารณะล้อมหน้าล้อมหลัง เพราะงั้นการซื้อรถยนต์จึงไม่ใช่สิ่งที่จำเป็ นอกเสียจากพวก 1% ที่อยากมีรถยนต์คันหรูเอาไว้ประดับบารมี—แซคจำไม่ได้ว่านอกจากใช้มันเป็ยานพาหนะสำหรับท่องราตรีกับกลุ่มเพื่อนแล้ว เขายังใช้มันไปกับอะไรอีก แต่กระนั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอกเพราะในตอนนี้เ้าของรถคือจานินที่แซคเนียนยกให้กลาย ๆ เนื่องจากถือคติของผัวก็คือของเมีย ของเมียก็คือของเมีย...
“นั่งถูกสายแน่นะ”
“ว่าไปนั่น”
“...”
“เอาเป็ว่าถ้าแซคกลับไม่ถูกเดี๋ยวนั่งอูเบอร์แทนครับ”
“โอเค ตั้งใจทำงานล่ะ”
“ครับ ขอบคุณที่มาส่งนะ” เมื่อเอ่ยจบแขนแกร่งทั้งสองข้างก็อ้าออกและรอเพียงไม่กี่วิร่างบางที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็โน้มกายเข้ามากอดอย่างไม่มีอิดออด ซึ่งการกระทำเ่าั้ทำเอาแซคใจยวบจนอยากจะงอแงไม่ยอมไปทำงานั้แ่วันแรก
ทว่าก็ได้แค่คิด เพราะหากทำเช่นนั้นจริง ๆ นอกจากจะโดนจานินด่าเขาคงโดนบิดาตัดออกจากกองมรดกเป็แน่
ดวงตากลมมองร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดสุภาพเดินหันหลังออกไปจนลับสายตาอย่างใจหาย การมาส่งแฟนไปทำงานวันแรกนี่ไม่ต่างอะไรจากแม่ที่มาส่งลูกไปเรียนวันแรกเลยสักนิด—จานินคิดกังวลไปต่าง ๆ นา ๆ ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็ลูกชายเ้าของบริษัทแน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อครหาอยู่แล้วและหากมาตรฐานความเก่งคือห้า แซคต้องทำให้ได้อย่างน้อยเจ็ดตามความคาดหวังหลังเห็นนามสกุล
จานิน : ขอให้เป็วันที่ดีนะ
จานิน : เค้ารักเธอ
หลังจากข้อความถูกส่งสำเร็จคนที่มีงานต้องทำเหมือนกันก็รีบเก็บสมาร์ตโฟนวางไว้ที่เบาะข้างกาย ก่อนจะค่อย ๆ เหยียบคันเร่งแล้ววนรถออกจากบริเวณนี้...
/
“นี่ลูกชายคุณอัครพล น้องใหม่ของทีมมาร์เก็ตติ้ง ฝากทุกคนดูแลน้องด้วยนะคะ” ใบหน้าหล่อส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับรุ่นพี่ที่นั่งอัดกันอยู่ในห้องประชุมขนาดเล็ก เมื่อพี่บิ๋ม (หัวหน้าทีมมาร์เก็ตติ้ง) แนะนำอย่างเสียงดังฟังชัดว่าเขาเป็ลูกเต้าเหล่าใคร แม้บางคนจะมีสีหน้าเรียบนิ่งไม่ทุกข์ร้อน ทว่าคนที่ผ่านโลกมาแล้วเกือบครึ่งชีวิตย่อมรู้ดีว่ามีบางคนที่กำลังดูถูกเขาอย่างแรงกล้า แต่กระนั้นมันก็เป็สัจธรรมเพราะบนโลกไม่มีใครชอบเวลาที่คนอื่นมีอภิสิทธิ์เหนือตัวเองหรอก
ยิ่งกับแซคแล้ว ประชากรชาว 1% ที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แสร้งว่าเข้าใจความลำบากของคนอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่เคยลำบาก
“อา...สวัสดีทุกคนครับ ผมชื่อแซคเพิ่งเริ่มทำงานวันนี้เป็วันแรกยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ” ชายหนุ่มพนมมือก่อนจะโน้มตัวลงเกือบครึ่งตามคำสอนของเมีย...นอบน้อมเข้าไว้ คนเขาจะได้เอ็นดู!
“ยินดีต้อนรับ ๆ แต่บอกไว้ก่อนพี่คงไม่กล้าใช้งานลูกเ้าของบริษัทหรอก กลัวโดนไล่ออก ฮ่า ๆ หยอกนะน้อง” มึงไม่ได้หยอกค่า มึงแซะกูค่า—หากเป็เมื่อยี่สิบปีก่อนแซคคงตั้งท่าวางมวย ไม่ก็แสดงออกเป็เชิงข่มว่ากูเหนือกว่ามึง ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ...
“ใช้ผมได้ตามสบายเลยครับ อีกอย่างคุณอัครพลไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้น”
“ฮ่า ๆ นั่นสิ—”
“เื่ด่วนมีแค่นี้ใช่ไหม จะลงไปซื้อกาแฟ” น้ำเสียงเข้มบวกกับใบหน้าเรียบนิ่งชวนขนลุกทำเอาความผ่อนคลายที่แพร่กระจายอยู่ก่อนหน้านี้หายวับไปกับตา ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้นและดูเหมือนเป็การอนุญาตกลาย ๆ เพราะอีกฝ่ายหุนหันเดินออกจากห้องไปไม่แม้แต่จะให้ความสนใจหัวหน้าทีม
“เอาล่ะ ๆ แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว ส่วนน้องแซคเดี๋ยวพี่ให้วัตรสอนงานนะ”
“วัตร? คนไหนเหรอครับ”
“คนที่เดินออกไปเมื่อกี้แหละ อาจจะดูมารยาททรามไปหน่อยแต่มันทำงานเก่ง”
“อา โอเคครับ”
โอเคก็เหี้ยแล้ว—เฮียแกดูตึงเหมือนหนังยางที่พร้อมจะดีดไข่ตลอดเวลาอะ :-(
ระหว่างที่นั่งรอคนที่ไปซื้อกาแฟ แซคก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเตรียมส่งข้อความหาคนรักแต่ทว่าเมื่อเห็นแจ้งเตือนเขาเกือบทำมันร่วง เมื่อแม่ตัวดีที่ซึนเก่งยิ่งกว่าอะไร อยู่ ๆ ก็ดันมาบอกรักกันถึงแม้ว่ามันจะเป็การบอกผ่านตัวอักษรก็เถอะ
แซค : T-T เค้ารักเธอเหมือนกัน
แซค : เห็นทรงพี่เลี้ยงแล้วอยากกลับบ้านเลยครับ
จานิน : ทำไมอะ
แซค : พี่เขาดูดุ
จานิน : อย่าตัดสินคนที่ภายนอกดิ อีกอย่างถ้าเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเขาก็ไม่ดุหรอก
แซคอ่านข้อความของคนรักอย่างตั้งใจก่อนจะเผลอพยักหน้าเห็นด้วย เราพูดกันอีกสองสามประโยคก่อนคนทางนั้นจะขอตัวเก็บโทรศัพท์เพราะต้องเข้าประชุมแล้ว ถึงแม้แซคจะงอแงอยากคุยต่อแค่ไหนก็ทำได้แค่ฮึบแล้วยัดมือถือใส่กระเป๋าโดยไม่ลืมที่จะเปิดระบบสั่นเอาไว้
“กาแฟ” รอไม่ถึงสิบนาทีพี่วัตรซึ่งทำหน้าที่คอยสอนงานก็เดินเข้าออฟฟิศมาพร้อมกับกาแฟแบรนด์ดังจำนวนสองแก้ว มือหนาสีแทนที่เต็มไปด้วยเส้นเืค่อย ๆ ดันมันมาตรงหน้าและแซคไม่ลืมที่จะใช้สองมือรับมันไว้ก่อนจะถามถึงราคาซึ่งอีกฝ่ายทำเพียงส่ายหน้าเบา ๆ เป็เชิงบอกว่าเลี้ยง
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็ไร ก่อนจะมาทำงานที่นี่เคยทำอะไรมาแล้วบ้าง” เ้าของร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานข้าง ๆ เขาก่อนจะเอื้อมมือกดเปิดคอมพิวเตอร์โดยที่ปากยังคงถามในสิ่งที่จำเป็ต้องรู้ ผิดกับเมื่อครู่อย่างลิบลับ
คนมารยาททรามที่ทำงานเก่ง—อา เป็แบบนี้เองสินะ
“ผมทำธุรกิจส่วนตัว เอ่อ หมายถึงเล่นหุ้นน่ะครับ”
“อืม แล้วนึกยังไงถึงมาทำงานออฟฟิศ”
“อยากลองหางานประจำที่มันมั่นคงทำน่ะครับ ส่วนเื่เล่นหุ้นผมเปลี่ยนเป็การลงทุนระยะยาวแทน...” แซคพยายามพูดอย่างเป็กลางที่สุด ไม่ได้อวดเก่งจนน่าหมั่นไส้และไม่ได้โชว์โง่จนคนฟังต้องส่ายหน้า
“ผมควรซื้อตัวไหน”
“ครับ?”
“หุ้นน่ะ ผมควรซื้อตัวไหนเก็บไว้”
“ของ XXZ ครับ ราคาอาจจะตกไปบ้างแต่อย่าเพิ่งขายทิ้งเด็ดขาด” เพราะอีกสองปีราคาแม่งจะพุ่งเนื่องจากคนต่างชาติมาเทกโอเวอร์แล้วดันบริหารจนได้ดิบได้ดี ส่วนพวกที่รีบขายทิ้งก็หน้าแห้งไปดิจะกลับมาซื้ออีกทีก็ไม่ได้เพราะราคาโคตรสูง
“โอเค ผมจะเชื่อคุณ”
่เช้าแซคใช้เวลาขลุกอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กับพี่วัตร เรียนรู้ระบบการทำงานทั้งในและนอกบริษัท การติดตามผลงาน ทำแบบสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าไปจนถึงการต่อยอดสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์
เนื่องจาก PD group เป็บริษัทรักษ์โลก ข้อมูลส่วนใหญ่จึงอยู่ในรูปแบบดิจิทัลและถูกเก็บเอาไว้เป็อย่างดี ถ้าไม่ใช่เอกสารสำคัญจริง ๆ กระดาษที่อยู่ใกล้ ๆ กับโซนชงกาแฟจะไม่ถูกหยิบมาใช้อย่างเด็ดขาด...
“แซค มื้อเที่ยงกินข้าวกับอะไรอะ” น้ำเสียงหวานของเพื่อนร่วมงานเอ่ยทักขึ้น
“พี่วัตรพาไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวไก่ครับ” แซคตอบอ้อมแอ้มก่อนจะเนียนก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างไม่ให้มันดูน่าเกลียดจนเกินไป
“อ๋อออ ว่าแต่แซคกลับบ้านยังไงอะ กลับพร้อมคุณอัครพลเหรอ”
“พอดีผมอยู่คอนโดน่ะครับ นั่งรถไฟฟ้าแป๊บเดียวก็ถึง” สาวเล็บเจลเอาผมทัดหู ก่อนจะช้อนดวงตากลมโตมองเขาเล็กน้อยซึ่งการกระทำเ่าั้มันดูน่ารัก อีกฝ่ายไม่ได้พุ่งเข้าหาจนน่าเกลียด รู้จังหวะการทอดสะพาน รวม ๆ แล้วค่อนข้างเป็งานพอสมควร
แต่มีเมียแล้วอะดิ
ไอ้เราก็เสือกรักเมียมากซะด้วย เฮ้อ
“ว่าแต่อยู่แถวไหนเหรอ”
“ซอย 85 ครับ”
“ทางผ่านพอดี ติดรถนี่กลับปะ แบบ—หาคนช่วยหารค่าน้ำมันน่ะ” แซคยิ้มแห้ง ก่อนจะทำตาล่อกแล่กไปมาเพื่อคิดหาทางออก อีกหนึ่งข้อเสียของเขาที่ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่กี่สิบครั้งก็รักษาไม่หายนั่นคือนิสัยปฏิเสธคนไม่เป็
ครืด ครืด
ดูเหมือนว่าพระเ้าจะเห็นใจคนบาปเพราะทันทีที่ภาวนาให้ตนเองโดนธรณีสูบ สมาร์ตโฟนที่อยู่ในกางเกงก็สั่นเครือจนเขาต้องหยิบขึ้นมารับสายและไม่ลืมที่จะโค้งศีรษะน้อย ๆ ให้กับสาวเ้าที่ยังคงยิ้มน้อย ๆ อยู่เบื้องหน้า
“แซคโคตรรักพ่อเลยนะ รู้ปะ”
“(อะไรของแก)” คนปลายสายตอบกลับอย่างงุนงงเมื่ออยู่ ๆ ลูกชายเพียงคนเดียวดันบอกรักกันโต้ง ๆ ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ให้เงินมันเลยด้วยซ้ำ
“แค่อยากบอกเฉย ๆ ไง ว่าแต่พ่อโทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“(แค่อยากโทรมาเช็กว่าแกไม่ได้หนีกลับก่อน)” ลมหายใจร้อนผ่าวถูกพ่นออกมาอย่างเซ็ง ๆ หนีกลับที่ไหนกันล่ะ ทำงานตัวเป็เกลียวหัวเป็น็อตอยู่เนี่ย
“แซคยังอยู่เหอะ แต่ถามจริง ๆ นะพ่อ เงินเดือนเด็กจบใหม่สตาร์ตที่หมื่นเจ็ดพ่อเอาอะไรคิด” ตอนที่กรอกใบสมัครในช่องเงินเดือนที่้า แซคเขียนอย่างมั่นใจว่า้าห้าหมื่นทว่าดันถูกดับฝันเมื่อได้เห็นเงินเดือนที่จะได้รับ...งง แล้วจะให้กรอกเพื่อ?
“(ก็ตามกรมแรงงาน อีกอย่างถ้าอยู่อย่างประหยัดยังไงก็พอใช้อยู่แล้ว)” คนที่เปย์คอนโดเด็กห้องละสิบกว่าล้านกำลังสอนมนุษย์เงินเดือนใช้เงินอย่างประหยัดอดออม คล้าย ๆ ไลฟ์โคชที่รวยฉิบหายแต่มาฉอดคนยากไร้ว่าไม่ขยัน
อาย อยากเปลี่ยนพ่อ :-(
“สรุปคือโทรมาแค่นี้ใช่ไหมครับ”
“(เดือนหน้าแม่จะกลับไทย ว่าจะนัดกินข้าว ทำตัวให้สะดวกเข้าไว้ โอเคไหม)”
“ค้าบ เลือกวันมาก็แล้วกัน...แค่นี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
มือถือถูกยัดใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิมจากนั้นจึงหมุนตัวกลับเข้าไปยังห้องโถงและก็ต้องทอดถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าหญิงสาวไม่ได้ยืนอยู่บริเวณนี้แล้ว...
อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะได้เวลากลับบ้าน อัลฟ่าหนุ่มเดินไปโต๊ะนู้นทีโต๊ะนี้ทีเพื่ออาสาช่วยคนในทีม แน่นอนว่าทุกคนเอาแต่ปฏิเสธเพราะหากงานเกิดผิดพลาดขึ้นมามันจะไม่คุ้มเสี่ยงเอา จะมีก็แต่พี่วัตรนี่แหละที่คอยดึงเขาเข้าร่วมบทสนทนาตลอด ไหนจะขอความคิดเห็นถึงแม้ในท้ายที่สุดจะโดนปัดทิ้งอย่างไม่ไยดีก็เถอะ
“ปะ กลับบ้านกัน”
“แต่นี่ยังไม่ห้าโมงเลยนะครับ” ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่เข็มยาวยังไม่ตรงเลขสิบสอง
“เข้างานก่อนเวลา เลิกเร็วห้านาทีจะเป็อะไรไป” แซคทำหน้าเหลอหลา แต่กระนั้นก็รีบคว้ากระเป๋าสับเท้าเดินตามอีกฝ่ายไป โดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้รุ่นพี่ในทีมที่แสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดแม้กระทั่งพี่บิ๋มก็ตาม
“แล้วนี่กลับยังไง”
“รถไฟฟ้าครับ”
“อ๋อ”
“แล้วพี่วัตรล่ะ”
“หอพักผมอยู่ซอยถัดไปนี่เอง เดินสิบนาทีก็ถึงแล้ว” บทสนทนาถูกหยุดเอาไว้เท่านั้นจนกระทั่งประตูลิฟต์ถูกเปิดออกเมื่อถึงชั้นล่าง เราก็ต่างแยกย้ายจะเหลือก็เพียงแต่แซคที่ยืนเคว้งอยู่ลำพังเพราะไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี
เขาไม่ชินกับเส้นทางแถวนี้ รู้แค่ว่าสถานีอยู่ไม่ไกลแต่กูต้องไปทางไหนเอ่ย? และในจังหวะที่เตรียมจะเดินไปถามยามหน้าบริษัทดวงตาคมก็เหลือบเห็นรถยนต์คันเดียวกันกับที่มาส่งเขาเมื่อเช้า โดยมีใครบางคนก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ไม่แม้แต่จะสนใจสิ่งรอบข้าง...
ครืด ครืด
“(ฮัลโหล—)”
“แซคเห็นเธอแล้วครับ”
ในจังหวะที่เราทั้งคู่สบตากัน รอยยิ้มหวาน ๆ ที่เป็ดั่งน้ำเย็นประโลมจิตใจทำให้แซคก้าวเท้ายาว ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็วิ่งไปคว้าหมับร่างคนรักเข้ามากกกอดเอาไว้อย่างไม่อายใคร หากไม่ติดว่าบริเวณนี้เป็พื้นที่สาธารณะแซคคงจูบอีกฝ่ายแรง ๆ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจหลังจากที่ตัวหดเหลือนิดเดียวมาแล้วทั้งวัน
“ปล่อยก่อน”
“ฮื่อ ไม่เอา”
“ค่อยไปกอดต่อบนรถ ตรงนี้เดี๋ยวคนอื่นจะมองเธอไม่ดีเอา” ครานี้แซคปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก่อนจะเป็ฝ่ายเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับเพื่อทำหน้าที่สารถีแทนจานินที่มารับมาส่งทั้งเช้าและเย็นด้วยความเต็มใจ
ปึก!
ทันทีที่ประตูรถยนต์ถูกปิด วงแขนแกร่งก็คว้าเอวบางของคนข้างกายมากอดอีกครั้งและไม่ลืมที่จะฉวยโอกาสกดจูบไปทั่วใบหน้ามิต่างจากหมายามเจอเ้าของเลยสักนิด—ในครั้งนี้จานินไม่ได้ปฏิเสธ ซ้ำยังกอดตอบโดยใช้มือข้างที่ถนัดลูบแผ่นหลังของเขาเบา ๆ อย่างที่ชอบทำ
“เหนื่อยไหม” เพียงคำคำเดียวคนที่รับแรงกดดันมาทั้งวันกลับผ่อนคลายลงอย่างน่าอัศจรรย์ แซคไม่ได้ทำเท่ด้วยการส่ายหัวหรือพูดว่าไม่ เขาเลือกที่จะพยักหน้าแรง ๆ และบอกไปตามตรงว่าโคตรเหนื่อย เหนื่อยฉิบหาย
ถึงแม้จะไม่ได้ถูกใช้งานจนหัวหมุน แต่สายตาและท่าทางของคนในทีมรวมถึงเพื่อนร่วมบริษัทที่รู้ข่าวก็พากันจับจ้องมาที่เขาเป็พิเศษ ซึ่งการกระทำของคนเ่าั้ทำให้แซครู้สึกว่าตัวเขาจะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทุกอย่างจะต้องเพอร์เฟ็กต์ถึงแม้ในความเป็จริงเขาแม่งจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม
“ขับไปเล่าไปได้ไหม”
“อือฮึ—เอ้อ เราซื้ออัญชันมะนาวมาให้ด้วยนะ ดื่มก่อนเร็วเดี๋ยวหายเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“ป้อนหน่อยครับ”
“เยอะ” แม้จะเอ่ยปากเช่นนั้นแต่ทว่าการกระทำดันสวนทางอยู่มากโข...
ระหว่างทางกลับบ้านเราทั้งคู่แวะตลาดนัดใกล้ ๆ คอนโดเพราะจานินบ่นอยากกินปลาเผา แน่นอนว่านี่เป็อีกหนึ่งสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้—ไม่ใช่ว่ายากหรืออะไร แต่การก่อเตาไฟตรงระเบียงห้องมันดูไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไร เพราะฉะนั้นกินแบบนี้ไปก่อนเอาไว้มีเงินซื้อบ้านเมื่อไหร่ต่อให้จานินอยากเปิดร้านขายปลาเผาเขาก็ย่อมทำให้ได้
“ที่รักเอากี่ตัว”
“สองได้ไหม?”
“ได้ครับ” จานินยิ้มกว้างยามถูกตามใจก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณเบา ๆ เมื่อแซคหยิบแบงก์ห้าร้อยในกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายค่าของให้
แต่ไหนแต่ไรเราทั้งคู่ใช้กระเป๋าสตางค์แยกกันเสมอ จะมีก็แต่่หลัง ๆ ที่แซคงอแงอยากให้คนรักเป็ฝ่ายเก็บเงินหากมีเื่ต้องใช้เดี๋ยวขอเบิกเอง เพราะถ้าเขาเป็ฝ่ายเก็บแน่นอนว่าเงินในบัญชีได้ปลิวหายเป็กระดาษแน่
แขนแกร่งที่เต็มไปด้วยเส้นเืหอบหิ้วของกินทั้งสองข้าง ต่างจากร่างบางที่ทั้งตัวมีเพียงฮอตดอกแดงทอดกรอบเพียงหนึ่งถุงเพราะถูกคนที่ทำตัวเท่ไม่รู้เวล่ำเวลาแย่งของไปถือ เอาเถอะ อยากอวดเก่งดีนัก :-(
“อ้าปาก” ชายหนุ่มที่เดินตามตูดคนรักต้อย ๆ อ้าปากรับของกินเล่นเข้าปากก่อนจะเคี้ยวหนุบหนับเสียจนเต็มแก้ม...จานินเตรียมอาสาจะช่วยถือ เนื่องจากลอบสังเกตเห็นว่ามือทั้งสองข้างของคนสูงกว่าบัดนี้เริ่มห้อเืจนดูไม่ได้ และในจังหวะที่เขาเอี้ยวตัวไปหยิบปลาเผามาถือเอง อัลฟ่าที่หลบเก่งเสียยิ่งกว่าไอศกรีมตุรกีก็เบี่ยงกายหลบหนีจนจานินแทบหน้าคว่ำลงไปกับพื้น
“จิ๊ เอามา จะช่วยถือ”
“ไม่เป็ไรครับ เดี๋ยวแซคถือเอง”
“ปวดมือก็อย่ามาบ่นให้ฟังก็แล้วกัน”
“ค้าบ ไม่บ่นแน่นอน”
.
.
.
ไม่บ่นก็แย่แล้ว!
เมื่อกลับมาถึงห้อง ร่างบางได้เอ่ยปากไล่ให้คนตัวโตไปอาบน้ำอาบท่าส่วนตัวเขาจะเตรียมมื้อเย็นรอ และหลังจากทานเสร็จก็อาจจะเลือกหนังไม่ก็ซีรีส์สักเื่ไว้ดูก่อนนอน...ใช่ นั่นเป็สิ่งที่จานินแพลนเอาไว้ทันทีที่กินข้าวเสร็จ ทว่าในความเป็จริงเขาต้องนั่งจุ้มปุ๊กในห้องนอนั้แ่สองทุ่มครึ่งเพราะลูกคุณหนูที่ไม่เคยหิ้วอะไรหนัก ๆ มาก่อนดันบ่นงึมงำว่าปวดนิ้วอย่างนู้นอย่างนี้จนเขารำคาญ
เหอะ แล้วตอนนั้นใครมันบอกว่าจะไม่บ่น
“พรุ่งนี้เธอจะไปทำงานไหวไหมเนี่ย” คนที่ฟาดกันไปตุ้บหนึ่งเมื่อครู่นี้เอ่ยถามเสียงเครียด ทว่ามือยังบีบนวดนิ้วแกร่งของแซคไม่ยอมหยุด
“ที่รักต้องใจเย็น ๆ ก่อนนะ คือแซคไม่ได้นิ้วขาดครับ แค่ปวดเฉย ๆ เนาะ”
“คราวหลังอย่าทำอะไรเกินตัวอีกนะ หนักก็บอก จะฝืนให้มันได้อะไรขึ้นมา” หากข้อมือไม่ถูกจับเอาไว้ป่านนี้แซคคงเนียนยกขึ้นปิดหูเพราะี้เีฟังจานินบ่น แต่กระนั้นสิ่งที่ทำได้คือเบี่ยงเบนความสนใจแล้วพาแม่ตัวดีเข้านอนก่อนที่จะโดนดุไปมากกว่านี้
เ้าของแผ่นหลังกว้างเอนกายพิงหมอนใบใหญ่ที่ถูกวางชิดกับหัวเตียงด้วยท่าทีผ่อนคลาย ในวัยสี่สิบสามปีเขาใช้เวลาก่อนนอนไปกับการเช็กตลาดหุ้น ไม่ก็ผลประกอบการของบริษัทแต่ถ้าวันไหนมีเวลาก็จะหยิบหนังสือการลงทุน ไม่ก็งานบริหารขึ้นมาอ่านเพื่อยัดมุมมองใหม่ ๆ ใส่หัวสมองของตัวเอง
แซคใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เขาไม่ได้ไม่มีความทุกข์แต่ทว่าก็ไม่ได้มีความสุข หากเปรียบเป็กราฟชีวิตมันคงจะเป็เส้นตรง...
และใช่ มันเป็เช่นนั้นจนกระทั่งวันที่แซคตาย
ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้—ความรู้สึกเหล่านี้มันเพิ่งจะกลับมามีบทบาทก็ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาแล้วได้พบกับจานินตัวเป็ ๆ อีกครั้ง
“ร้องไห้ทำไม” ััเปียกชื้นตรงข้างแก้มบวกกับเสียงร้องเรียกแสนคุ้นเคยทำให้ร่างสูงที่ตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัว แซคไม่ได้ตอบอะไร เขาทำเพียงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเมื่อคนรักใช้ปลายนิ้วเกลี่ยใต้ตาอย่างแ่เบา
“ขอบคุณนะครับ” ขอบคุณสำหรับทุก ๆ อย่าง ขอบคุณจริง ๆ
“เื่อะไรล่ะ...เื่ที่เรานวดนิ้วให้เมื่อกี้น่ะเหรอ”
“...”
“นวดมาเป็ร้อยรอบแล้ว เพิ่งจะมาขอบคุณอะไรตอนนี้”
แม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับคนไร้เยื่อใย ทว่าการกระทำกลับตรงกันข้ามเมื่อมือข้างที่เจ็บถูกประคองให้เข้ามาใกล้ริมฝีปาก ก่อนคนตัวหอมจะไล่จูบทีละข้อนิ้วและพึมพำบางอย่างในลำคอกระนั้นมันก็ยังคงดังอย่างชัดเจนในห้วงความรู้สึกของสองเรา...
“ไม่เป็ไร เต็มใจ”
Tbc
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้