บทที่ 94 แกล้งได้ตามสบาย
ข่าวลือเื่ลู่จิ่งซานกลับมาพร้อมรถเข็นแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านผานสือราวกับไฟลามทุ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนเห็นสวี่จือจือเข็นเขาเข้าไปในบ้านตระกูลลู่ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนทั้งสองคนยังดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ชายหนุ่มหล่อเหลา หญิงสาวสะสวย เมื่อเดินด้วยกันพวกเขาเป็ดั่งภาพทิวทัศน์อันงดงามของหมู่บ้านผานสือ
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มที่เก่งกาจที่สุดของหมู่บ้านกลับกลายเป็คนพิการไปได้ยังไง?
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาก็มีคนออกมาโต้แย้งอย่างรวดเร็ว
“พิการอะไรกัน ไม่รู้จริงก็อย่าพูดมั่ว” คนที่ไปมุงดูที่บ้านลู่ซือหยวนในวันนั้น กล่าวด้วยท่าทีรังเกียจ “เขาาเ็เพื่อปกป้องทรัพย์สินของส่วนรวม คนที่เป็หัวหน้าบอกแล้วว่าหน่วยงานจะดูแลจนถึงที่สุด ต้องรักษาเขาให้หายดีแน่นอน”
“รักษาให้หายได้ด้วยเหรอ?”
“แน่นอนสิ” โก่วต้านหรือเด็กหนุ่มนามลู่ฉางเซิงกลอกตาพูด “พี่จิ่งซานเป็คนแบบไหน ตอนเด็กๆ ตกไปในหุบเขา พวกคุณก็ว่าเขาต้องตายแน่ๆ แต่เขาก็ยังคลานออกมาจากหุบเขาได้”
ตอนนั้นชาวบ้านต่างพูดกันว่าเขาต้องตายแน่ๆ แต่เขาก็ยังรอดมาได้อย่างดีไม่ใช่เหรอ?
“เขาไม่ไปพักฟื้นที่เมืองหลวงด้วยซ้ำ ต้องไม่เป็อะไรแน่ๆ” มีคนพูดเสริม
ลู่ฉางเซิงพยักหน้า ก่อนมองไปรอบๆ แล้วกระซิบว่า “คนเ้าเล่ห์ที่สุดในหมู่บ้านเราก็คือเขา”
“พี่จิ่งซาน” ยังไม่ทันที่ลู่ฉางเซิงจะพูดจบก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มะโเรียกลู่จิ่งซานจนเขาหน้าซีดเผือด
เมื่อหันกลับไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของลู่จิ่งซาน ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
“โก่วต้าน นายมันขี้ขลาดเกินไปแล้ว” กลัวลู่จิ่งซานขนาดนี้
“พวกนายไม่กลัวเหรอ?”ลู่ฉางเซิงกลอกตาแล้วยิ้มมีเลศนัย “คืนนี้ไม่ใช่คืนเข้าหอของใครบางคนเหรอ? ไปแกล้งเ้าสาวกันหน่อยไหม?”
ถ้าพูดถึงความกลัว ไอ้โจวเป่าเฉิงนั่นมันขี้ขลาดกว่าเขาเสียอีก หมอนั่นอาจจะกำลังนั่งหัวเราะเยาะลู่จิ่งซานอยู่ที่บ้านก็ได้ ไม่ได้การ ต้องไม่ให้อีกฝ่ายได้ใจ
“พนันได้เลยว่าโจวเป่าเฉิงทำได้แค่ครั้งเดียว” ลู่ฉางเซิงหัวเราะเสียงดัง “ของเขาดูยังไงก็ไม่ไหว”
“รู้ได้ยังไง?” มีคนถามกลั้วหัวเราะ
“ตอนแข่งฉี่กันเขาไม่เคยชนะใครเลย” ลู่ฉางเซิงพูดพลางเหลือบมองไปยังบ้านตระกูลลู่ ในใจแอบคิดว่า ‘อืม คนคนนี้ไม่เคยแพ้ใครจริงๆ’
ทุกคนหัวเราะกันครืนใหญ่อีกครั้ง
ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวไปแกล้งเ้าสาว ใครจะไปบ้าง?”
เมื่อมีคนเอ่ยปากก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกว่าจะไป แล้วก็ตามด้วยชายฉกรรจ์อีกสองสามคน
การแกล้งเ้าสาวไม่จำกัดอายุ ยิ่งไปกว่านั้นโจวเป่าเฉิงแต่งงานกับปัญญาชนหญิง นี่เป็ครั้งแรกของหมู่บ้านผานสือที่ได้แต่งงานกับปัญญาชนหญิง ซึ่งไม่เคยแกล้งมาก่อน
เมียของลู่จิ่งซานพวกเขาไม่กล้าแกล้ง แต่เมียของโจวเป่าเฉิงต้องแกล้ง
ทางด้านอันฉินถูกโจวเป่าเฉิงดึงกลับมาที่เพิงข้าง ความเ็ปจากาแทำให้เธอแทบคลั่ง โชคดีที่อาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงตอนกลางวันยังเหลืออยู่
ข้อมือของเธอได้รับาเ็แน่นอนว่าไม่สามารถทำงานได้ โจวเป่าเฉิงไม่ใช่คนที่ทำอาหารเป็ ทั้งสองจึงกินอาหารเย็นกันแบบลวกๆ ไม่มีใครเอ่ยปากว่าจะไปดูเหอเสวี่ยฉินหรือไม่
“ไปต้มน้ำหน่อยสิ” อันฉินบอกกับโจวเป่าเฉิงที่นอนอยู่บนเตียง “วันนี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ฉันอยากอาบน้ำ”
“จะอาบอะไร” โจวเป่าเฉิงพูดอย่างไม่เต็มใจ “แผลของเธอโดนน้ำไม่ได้”
“เป่าเฉิง ต้มน้ำให้ฉันหน่อยนะ” อันฉินออดอ้อนแล้วพูดอย่างเขินอาย “อีกอย่างวันนี้เป็คืนเข้าหอของพวกเรา ฉันอยากจะเก็บความทรงจำดีๆ เอาไว้”
โจวเป่าเฉิงลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็ว เขาจ้องมองอันฉินตาไม่กะพริบจนเธอรู้สึกขนลุก เธอถามอย่างตะกุกตะกักว่า “มี...มีอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไร”โจวเป่าเฉิงหลบสายตา “ฉันแค่คิดว่าเธอเจ็บตัว คืนนี้คง...”
“เจ็บแค่ข้อมือ ระวังหน่อยก็คงไม่เป็อะไร” อันฉินก้มหน้า ไม่เห็นความรู้สึกผิดที่วาบผ่านสายตาของ โจวเป่าเฉิง
“อีกอย่าง” อั นฉินพูดทั้งน้ำตา “ชาวบ้านจนถึงตอนนี้ยังหัวเราะเยาะสวี่จือจืออยู่เลย นายอยากให้ฉันโดนหัวเราะเยาะเหมือนหล่อนเหรอ?”
โจวเป่าเฉิงกำลังคิดว่าจะใช้เหตุผลอะไรมาอ้างก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างนอก “เป่าเฉิง เป่าเฉิง หรือว่าเริ่มเข้าหอกันแล้ว?”
“ฮ่าๆๆ งั้นก็ดีเลย พวกเรามาแกล้งเ้าสาวกัน”
ใบหน้าของอันฉินซีดเผือดทันที นิสัยที่ไม่ดีของการแกล้งเ้าสาวในชนบท เธอได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ในห้องของสวี่จือจือและลู่จิ่งซาน เสียงแกล้งเ้าสาวที่ดังมาจากข้างห้องใกล้กับห้องของพวกเขา ทำให้พวกเขาได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน
จุ๊ๆ อันฉินก็ร้ายใช่เล่น
“พวกนายกำลังทำอนาจาร พรุ่งนี้ฉันจะไปร้องเรียนที่ประชาคม” อันฉินะโอย่างเกรี้ยวกราด
ห้องที่เคยส่งเสียงดังพลันเงียบลง
ถึงแม้ว่าการแกล้งเ้าสาวในชนบทบางครั้งจะเกินเลยไปบ้าง แต่หมู่บ้านผานสือของพวกเขาก็ค่อนข้างมีอารยธรรม ได้ยินมาว่าเมื่อหลายปีก่อนการแกล้งเ้าสาวเกือบทำให้เ้าสาวะโน้ำตาย เลขาธิการพรรคคนก่อนจึงพูดว่าต่อไปนี้การแกล้งเ้าสาวก็ทำได้ แต่ใครกล้าทำอะไรเกินเลยจะต้องออกจากหมู่บ้านผานสือ
ถึงแม้ว่าเลขาธิการพรรคคนเก่าจะเกษียณไปแล้ว แต่บารมียังคงอยู่ อีกอย่างไม่มีใครกล้าทำอะไรเกินเลยจริงๆ ถ้าหากเ้าสาวเป็อะไรไป มันจะไม่กลายเป็ศัตรูกันหรอกเหรอ?
แต่ก็ไม่มีเ้าสาวคนไหนที่ยังไม่ทันถูกแกล้งก็ถูกกล่าวหาว่าทำอนาจาร
สีหน้าของทุกคนจึงไม่สู้ดีนัก พวกเขามาแกล้งเ้าสาวก็เพื่อไว้หน้าโจวเป่าเฉิง เหมือนกับตอนที่ลู่จิ่งซานแต่งงาน แม้ว่าเด็กๆ ในหมู่บ้านจะกลัวอีกฝ่าย แต่ก็ยังมาแกล้งเ้าสาว
มันเป็ธรรมเนียม ยิ่งมีคนมาแกล้งเ้าสาวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าครอบครัวนี้จะมีชีวิตที่ดีขึ้น
“โจวเป่าเฉิง” ลู่ฉางเซิงพูดด้วยรอยยิ้มเยาะ “พวกเรามาบ้านนายก็เพื่อให้นายได้หน้า ถ้าเป็อย่างนี้พวกเราไปดีกว่า”
“อย่าเพิ่งไปนะ หล่อนไม่รู้เื่” โจวเป่าเฉิงรีบเข้ามาขวางทุกคนไว้ แล้วหันไปพูดกับอันฉินด้วยสีหน้าถมึงทึง “รีบขอโทษพี่น้องของฉันเร็วเข้า”
อันฉิน “...” ให้ขอโทษชาวบ้านที่ไม่รู้อะไรพวกนี้เนี่ยนะ?
“เร็วกว่านี้หน่อย” โจวเป่าเฉิงส่งสายตาให้อันฉิน แล้วหันไปบอกกับพวกโก่วต้านว่า “พวกนายแกล้งได้ตามสบาย”
แกล้งได้ตามสบาย?
อันฉินโกรธจนตัวสั่น
เขาเห็นเธอเป็ตัวอะไร!
“ช่างเถอะ” ลู่ฉางเซิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดประชดว่า “พวกเราไม่กล้าหรอก เผื่อวันนี้แกล้งแล้วพรุ่งนี้ถูกร้องเรียน พวกเราจะซวยเอา”
“ไปกันเถอะพี่น้อง แค่สะใภ้คนเดียว มีอะไรน่าสนใจ” มีคนพูดตาม
“ห้ามใครไปทั้งนั้น” โจวเป่าเฉิงะโเสียงดัง “เล่น เล่นเลย พี่โก่วต้าน ฉันรับประกันว่าจะไม่มีเื่อะไรอย่างที่พวกนายคิดเกิดขึ้นแน่นอน” เขารั้งลู่ฉางเซิงเอาไว้ “พี่โก่วต้าน ฉันขอร้องล่ะ ตกลงไหม?”
ลู่ฉางเซิงมองเขาอย่างสงสัย โจวเป่าเฉิงกินยาผิดสำแดงไปแล้วเหรอ?
โจวเป่าเฉิงในใจรู้สึกขมขื่น เขาแค่้าให้คืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น มันง่ายที่ไหนกัน
“พวกนายแกล้งกันให้สนุกเลย”โจวเป่าเฉิงพูด “ฉันก็อยากให้ชีวิตมีความสุขเหมือนกัน”
เอาอย่างนั้นเหรอ?
.............................