ภายในเรือนมีเพียงความเงียบสงัด เขาพูดขึ้นว่า“ต่อให้ข้าไม่ลงมือสังหารเ้าด้วยตนเอง หากอยู่ที่นี่ย่อมมีวิธีการตายมากมายที่เ้าคิดไม่ถึง”
“ท่านช่างใจจืดใจดำจริงๆ กลืนกินความหวานจนสิ้นซากแล้วไม่ว่ายังถึงกับหลบหนีความผิดอีก น่าเสียดายที่วันรุ่งขึ้นเมื่อไทเฮาเสด็จมานั้นไม่อาจจับชายชู้ของข้าได้หาไม่แล้วท่านกับข้าจะต้องถูกกักขังอยู่ในตำหนักเย็นด้วยกันเป็แน่หากเป็เช่นนั้นไม่ใช่ความสุขหรือ?” หลินชิงเวยกล่าวอีก “ท่านดูตัวท่านสิช่างใจคอโเี้นัก หรือท่านยังคิดจะสังหารข้าจริงๆ?”
เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็นแล้วพูดว่า “บุตรสาวคนโตของจวนมหาเสนาบดีหลินเป็สตรีที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็สตรีผู้มีคุณธรรม แต่คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าแท้จริงแล้วกลับเป็สตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้การต้องไว้ชีวิตเ้าเป็เื่ที่ทำให้สกุลหลินอับอายขายหน้าไปอีกเนิ่นนาน”
หลินชิงเวยกลับมีท่าทีไม่ยี่หระ นางพูดเสียงสูงอย่างท้าทายว่า“ละอายแก่ใจ? นั่นมันคืออะไรกัน? ท่านแย่งชิงสิ่งล้ำค่าที่สุดสำหรับลูกผู้หญิงของข้าไปแล้วยังมาว่ากล่าวว่าข้าไร้ยางอายหรือท่านรู้?” นางเอนกายแนบชิดเขา กลิ่นกายของนางเป็กลิ่นประจำตัวอันปราศจากเครื่องประทินโฉมนั้นกรุ่นกลิ่นปะปนมากับลมหายใจของนางร่างอรชรอ้อนแอ้นค่อยๆ ทาบลงมากับร่างกายที่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของเขาทำให้เขารับรู้ได้ถึงความแนบชิดระหว่างกัน ปลายนิ้วของหลินชิงเวยแตะลงบนหน้าอกของเขาอย่างท้าทายนางพูดด้วยน้ำเสียงเปื้อนยิ้มว่า “แต่คงโทษท่านไม่ได้ที่โมโหโทโสเช่นนี้หากท่านโกรธขึ้งที่ข้าพรากความเป็ชายพรหมจรรย์ของท่านขณะที่ข้าไม่ได้สติข้าก็ต้องขออภัยต่อท่านด้วย”
เขาผลักร่างของนางออก นางจึงหยิกเข้าไปที่เอวของเขาครั้งหนึ่ง พร้อมส่งเสียงหัวเราะอย่างได้ใจ
ต่อมาความเ็ปที่ประเดประดังเข้ามานั้นทำให้เขาเ็ปเสียจนต้องโน้มกายลงมา
หลินชิงเวยจึงหันกายเดินไปยังตู้ใบหนึ่ง นางเปิดลิ้นชักของตู้ใบนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า“ข้ายังคิดว่าผู้ที่มาคือสตรีเสียสติเ่าั้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็ท่านงูที่อยู่ด้านนอกนั้นยิ่งดึกยิ่งมีมาก หากเปลี่ยนเป็ผู้อื่นมารนหาที่ตายเช่นนี้ข้าไม่มีทางยื่นมือเข้าช่วยเหลือแน่นอน เห็นแก่ที่ท่านกับข้าเคยมีวาสนาต่อกัน ข้าจะละเว้นท่านเป็กรณีพิเศษ”
สตรีนางนี้ช่าง...
เหตุใดจึงนำเื่นี้มาพูดถึงอยู่เรื่อยทำราวกับเป็เื่ปกติที่เกิดขึ้นทุกวันอย่างไรอย่างนั้น จากคำพูดและสีหน้าท่าทางของนางเขามองไม่เห็นความรู้สึกอับอายแม้สักกระผีกในทางกลับกันนางกลับเปิดเผยเสียจนเขารู้สึกอึดอัดคับข้องใจนัก
ดูเหมือนเป็เขามากกว่าที่ถูกนางพรากความบริสุทธิ์ไป
ที่สำคัญก็คือลมหายใจและกลิ่นกายของนางที่กำจายออกมาปนเปในลมหายใจของเขากลับทำให้เขาจินตนาการถึงภาพที่ไม่ควรคิดถึงเ่าั้ขึ้นมา
หลินชิงเวยหยิบยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่งแล้วเดินกลับมายืนอยู่เบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น ปลายนิ้วเย็นๆ แตะลงบริเวณด้านข้างริมฝีปากของเขา พร้อมกล่าวว่า“อ้าปาก กินยานี้เสีย”
เขามองนางแล้วยังคงอ้าปากอมยาเม็ดนั้นแล้วกลืนลงคอไป
หลินชิงเวยถามเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?” ไม่รอให้ชายหนุ่มตอบนางก็หัวเราะออกมา“ท่านคิดถึงข้าหรือ? ชายโสดหญิงม่าย อยู่ร่วมห้องในยามวิกาล้าเพียงกำแพงสี่ด้านและเตียงหนึ่งหลังก็เพียงพอแล้ว ท่าน้าหรือไม่?”
ท่าทางของบุรุษผู้นั้นดูแคลนอย่างที่สุดทว่าเขายังคงเดินเข้ามาใกล้หลินชิงเวยอีกก้าวหนึ่งพลังที่แผ่กำจายออกมาจากร่างของเขานั้นเยียบเย็นยิ่งยวดเขาไม่ได้รู้สึกพิศวาสในตัวของนาง แต่มิได้หมายความว่าความเ็ปที่นางเป็ผู้ก่อให้เกิดเมื่อสักครู่นั้นจะให้แล้วกันไปเช่นนี้ได้
ความกดดันและบีบคั้นในบรรยากาศที่เขาส่งผ่านมานั้น ทำให้หลินชิงเวยยักไหล่ของตนแล้วหันกายกลับไปพร้อมกับกล่าวว่า“ครั้งที่แล้วทุกอย่างรีบร้อนเกินไป ยังไม่ทันได้เห็นหน้าตาท่าทางของท่านให้ชัดเจนท่านรอสักประเดี๋ยว ข้าจะจุดตะเกียงให้ข้าได้มองท่านให้ดีสักหน่อยเถิด”
พูดแล้วก่อนหน้าที่เขาจะเอื้อมมือมาคว้าตัวนางนางกลับหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จากนั้นจุดไฟจากกลักไม้ขีดไฟในมือให้สว่างวาบขึ้นนางประคองเทียนไขที่สว่างแล้วบนเชิงเทียนหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางเบิกตากว้างมองไปอีกครั้งนั้นภายในห้องนอกจากตัวนางเองแล้วไม่มีผู้ใดอีก มีเพียงความว่างเปล่า ทว่าประตูห้องยังคงเปิดค้างเอาไว้ความมืดมิดในยามราตรีนั้นประดุจสายน้ำ พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเคยมาที่นี่จริงๆเพียงแต่ไปมาไร้สุ้มเสียงราวกับเป็ภูตผีิญญาในยามวิกาลอย่างไรอย่างนั้น