“อืม” สีหน้าท่าทางขี้เล่นและรอยยิ้มเ้าเล่ห์ของหลินชิงเวยค่อยๆ เลือนหายไปทว่ายังคงมีรอยยิ้มจางๆ บริเวณหางตา นางพรูลมหายใจโล่งอกออกมา
หากมิใช่นางใช้ไหวพริบในการหันกายกลับมาจุดตะเกียงในห้องคิดว่าเขาคงไม่ยอมจากไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ดูแล้วเขาเองก็มิปรารถนาจะให้คนจดจำได้เช่นกัน
เื่นี้ก็ให้แล้วกันไปเช่นนี้เถิด หลินชิงเวยเองมิได้คิดจะตามราวีไม่เลิกราครั้งก่อนนั้นเป็เื่ที่เกิดขึ้นอย่างสุดวิสัยจริงๆ ไม่ได้หมายความว่านางคลั่งไคล้ในตัวบุรุษมากมายเช่นนั้น
แต่นางไม่กระจ่างแจ้งอยู่บ้างเพราะคนที่ควรตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบมากกว่าควรจะเป็นางมิใช่หรือชายหนุ่มคนนั้นถือดีอย่างไรจึงมีท่าทีโมโหโกรธเคืองยิ่งกว่านาง
เพื่อป้องกันมิให้มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนในยามค่ำคืน หลินชิงเวยจึงจุดตะเกียงทิ้งเอาไว้ในขณะที่พักผ่อนนอนหลับเสมอเรือนที่นางแยกมาอยู่เพียงลำพังนี้มักจะมีงูและแมลงออกมาปรากฏกายเสมอมีกลิ่นเครื่องหอมจางๆ ลอยอยู่ในมวลอากาศ นั่นเป็สิ่งที่งูชอบที่สุดแต่พวกมันไม่กล้าเข้ามาในเรือน ด้วยรอบๆ ห้องในรัศมีสามฉื่อ[1]หลินชิงเวยได้สาดยาผงป้องกันงูและแมลงไว้แล้ว ทำให้งูและแมลงทั้งหมดต้องล่าถอยและออกห่างด้วยเหตุนี้พวกมันจึงอยู่ในบริเวณลานเรือนด้านนอกเสมือนผู้อารักขา
เนิ่นนานเข้าหลินชิงเวยจึงให้อาหารและป้อนเครื่องหอมของหอมแก่พวกมันกลับกลายเป็ว่าเ้าสัตว์เ่าั้เคยชินที่จะถูกเลี้ยงดูเหมือนสัตว์เลี้ยงในบ้าน
เ้านายในตำหนักเย็นท่านนั้นใจกว้างต่อหลินชิงเวยยิ่งนัก ถึงกับอนุญาตให้นางไปนำยาสมุนไพรต่างๆมาใช้ได้ ชาติที่แล้วนางถือกำเนิดในครอบครัวชนชั้นสูงที่มีอาชีพเป็แพทย์แม้จะมีชื่อว่าเป็แพทย์แผนปัจจุบันที่ไม่ได้มีชื่อเสียงหวือหวาโด่งดังนักแต่นางค่อนข้างชมชอบวิชาแพทย์แผนจีนมากกว่า
วิชาแพทย์แผนจีนเป็ความรู้ทางแพทย์ที่ลึกซึ้งและกว้างขวางเมื่อก่อนนางไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถออกมามาบัดนี้จึงได้มีโอกาสที่จะนำวิชาความรู้เ่าั้มาใช้ได้อย่างเต็มที่
การดำเนินชีวิตในหลายวันต่อมาผ่านไปอย่างเงียบสงบ สตรีหลายคนเคยพยายามที่จะเข้ามาในเรือนหลังนี้หลังจากถูกงูกัดก็ไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้ามาที่นี่อีกเลย
แม้ซินหรูจะรอดชีวิต ทว่าร่างกายกลับอ่อนแออย่างมากนางไม่เพียงมีาแภายนอกเท่านั้นอวัยวะภายในของนางได้รับความเสียหายไม่มากก็น้อยต้องใช้เวลาฟื้นฟูรักษาในระยะยาว
หลินชิงเวยพยายามช่วยนางทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายทุกวันแม้นางจะอยู่ใน่ร่างกายอ่อนแอเนื่องจากอาการเจ็บป่วยทว่าเมื่ออยู่กับหลินชิงเวยแล้วนางกลับดูมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้รู้ว่าต่อไปนางมิต้องกลับไปอยู่ที่เดิมอีกแล้วเริ่มแรกนางยังคงคลางแคลงใจอยู่บ้าง ในเมื่อการรับมือสตรีเ่าั้มิใช่เื่ง่ายแต่เมื่อได้เห็นสตรีเ่าั้ต้องล่าถอยกลับไปอย่างไม่เป็กระบวนท่าครั้งแล้วครั้งเล่านางจึงค่อยๆ รู้สึกวางใจและไม่ต้องมีความวิตกกังวลในจิตใจอีก
หลินชิงเวยกำลังบีบนวดบริเวณแผ่นหลังของซินหรูเบาๆ แล้วกดไปที่เอวของนางพร้อมกับถามขึ้นว่า“ตรงนี่ยังรู้สึกเจ็บอีกหรือไม่?”
“ไม่ค่อยเจ็บแล้วเ้าค่ะ” ซินหรูตอบ
ซินหรูเดินไปเดินมาในลานเรือนอีกสองก้าว หลินชิงเวยคลำโครงสร้างกระดูกทั่วร่างของนางอีกครั้งพบว่าไม่มีกระดูกที่เสียหาย จงกล่าวขึ้นว่า “ส่วนที่ได้รับาเ็ล้วนเป็กล้ามเนื้อและิัาแเหล่านี้รักษาระยะหนึ่งก็จะดีขึ้นเหมือนเดิม”
“พี่สาว เหตุใดท่านจึงรู้อะไรมากมายเช่นนี้เ้าคะ?” ซินหรูถาม
หลินชิงเวยกล่าว “เรียนรู้มากย่อมต้องเข้าใจและรู้อะไรได้มากสิ”
ซินหรูมองเงาร่างด้านหลังของนางแล้วพลันคลี่ยิ้มออกมาใบหน้าผอมตอบนั้นปรากฏให้เห็นลักยิ้มสองข้างที่ดูอ่อนหวาน หากมิใช่เพราะนางผอมแห้งเช่นนี้นางจะต้องน่ารักอย่างมาก ซินหรูเอ่ยขึ้นว่า “พี่สาว ข้าคิดว่าท่านเป็คนดีคนหนึ่งเ้าค่ะ”
หลินชิงเวยกำลังนั่งยองๆ อยู่ในเรือนเพื่อถอนหญ้ารอบๆ แปลงยาสมุนไพรที่นางเพิ่งจะปลูกลงไปไม่นานล้วนเป็สมุนไพรที่นางไปขอมาจากหมัวมัวาุโทั้งสิ้น นางดูแลเอาใจใส่อย่างดีเมื่อได้ยินเช่นนี้นางจึงมีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม คิ้วและดวงตานั้นงามซึ้งประดุจภาพวาดความเป็ผู้ใหญ่ที่ปรากฏบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับคั้นน้ำออกมาได้ของนางดูกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัดนางเลิกคิ้วและถามว่า “จริงหรือ มีคนคิดว่าข้าดี ย่อมต้องมีคนคิดว่าข้าร้ายกาจอย่างที่สุดเช่นกันบนโลกใบนี้ไม่มีคนที่ดีทุกอย่าง และเลวทุกอย่าง”
พูดแล้วขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้นก็ได้ยินเสียงที่ลอยมาจากกลางอากาศ้าศีรษะดัง“พึ่บ พึ่บ พึ่บ” นางจึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง นางค่อยๆ หรี่ตาลงเห็นนกพิราบขาวฝูงหนึ่งกำลังบินว่อนฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า นั่นเป็เสียงกระพือปีกของพวกมัน
[1]ฉื่อ หรือ เชียะ 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 ชุ่น (หรือ 10นิ้ว) มาตรวัดของจีน