“ดี” จ้าวหนิงฮ่องเต้หันไปตรัสกับไห่กงกง “ต้าไห่ ประทานสุรา องค์ชายใหญ่มีใจกตัญญู เจิ้นจะดื่มกับเขาแก้วหนึ่ง”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อประทานสุราพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ลั่วคิดในใจ ประทานสิ่งใดล้วนดีกว่าประทานสุรา สุราดื่มลงท้องไป ครู่เดียวก็ไม่มีอันใดเหลือแล้ว เช่นนี้ไม่สู้ประทานอะไรที่เป็สิ่งของจับต้องได้
“เสด็จพ่อ ลูกได้เตรียมของขวัญไว้ให้เสด็จพ่อเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองกล่าว ตามลำดับาุโ ต่อหน้าผู้อื่นแล้วนั้นเหล่าองค์ชายยังคงปฏิบัติต่อกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยยิ่ง
จ้าวหนิงฮ่องเต้มีความสนใจไม่น้อย “เ้าเตรียมสิ่งใดมา?”
“เชิญเสด็จพ่อทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ...หามเข้ามา” องค์ชายรองกล่าว
เห็นเพียงขันทีหามสิ่งของชิ้นหนึ่งเข้ามา สิ่งของชิ้นนั้นถูกปกคลุมด้วยผ้าสีแดงผืนหนึ่ง ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าคือสิ่งใด เมื่อขันทีวางของสิ่งนั้นลงเรียบร้อยแล้ว องค์ชายรองจึงเปิดผ้าคลุมออก
คนทั้งหมดหายใจเข้าลึกๆ ทันที หากว่าไห่ตงชิงกรงเล็บขาวนั้นล้ำค่าหายากแล้ว เช่นนั้นสิ่งของชิ้นนี้ขององค์ชายรองนั้นล้ำค่าและหายากยิ่งกว่า เป็ปะการังสีเืสูงเท่ากับความสูงครึ่งหนึ่งของคน และปะการังสีเืนี้เรียกได้อีกชื่อว่าปะการังแดง ทว่าตัวอักษร ‘เื’ นั้นทำให้ััได้ถึงความล้ำค่าของมัน ดังนั้นผู้คนจึงมักจะเรียกมันว่า ‘ปะการังสีเื’ มันถูกบันทึกให้เป็หนึ่งในสิ่งของล้ำค่าของพระคัมภีร์ ั้แ่สมัยโบราณกาลมานับเป็สิ่งของที่แสดงถึงความมั่งคั่งและมีเกียรติ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ปะการังสีเืนี้มีความสูงถึงสามกงฉื่อ (หนึ่งเมตร) เกรงว่าจะมีมูลค่าเท่ากับเมืองหนึ่งเมืองเสียแล้ว
“เสด็จพ่อครบรอบวันพระราชสมภพ ปะการังสีเืนี้เพื่อถวายพระพรให้เสด็จพ่อและแคว้นของเราเจริญรุ่งเรืองพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองคุกเข่าลง
“แคว้นเจริญรุ่งเรืองดียิ่งนัก ไห่ตงชิงของเ้าใหญ่ แล้วมาปะการังสีเืของเ้ารอง แคว้นของข้ามีสิ่งของที่เป็สิริมงคลถึงสองชิ้น ไม่เจริญรุ่งเรืองไม่ได้แล้ว” จ้าวหนิงฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน “ต้าไห่ ประทานสุรา”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
หลี่ลั่วคิดในใจ องค์ชายใหญ่ประทานสุรา องค์ชายรองประทานสุรา ฝ่าายังไม่แบ่งแยกจริงๆ ทำให้องค์ชายทั้งสองต่างรู้สึกยินดี แต่ความรู้สึกที่ได้กลับมานั้นเล็กน้อยยิ่งนัก สุราไม่มีค่า ไห่ตงชิงและปะการังสีเืนั้นล้ำค่านัก องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต่างได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจแต่ได้รับกลับมาเพียงสุราแก้วเดียวที่ไม่มีมูลค่าอันใด การทำการค้าครั้งนี้ไม่คุ้มทุนเสียแล้ว
คาดว่าในพระทัยของฝ่าานั้นไม่มีผู้ใดทำให้พอพระทัยได้
หลี่ลั่วแอบคิดในใจ ไม่รู้ว่ากู้จวิ้นเฉินได้ตระเตรียมสิ่งใดเอาไว้ เมื่อคิดเช่นนี้ เขาจึงแอบมองกู้จวิ้นเฉิน ระหว่างนั้นกู้จวิ้นเฉินเพิ่งจะหันหน้ามาพอดี ไม่รู้ว่ามองเห็นตนหรือไม่
“เสด็จพ่อ เมื่อเทียบกับของขวัญของเสด็จพี่ใหญ่และเสด็จพี่รองแล้ว ของขวัญของลูกไม่มีมูลค่าเทียบเท่ากับเมืองเมืองหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ทว่าเต็มไปด้วยใจกตัญญูของลูก” องค์ชายสามกล่าว ครอบครัวฝ่ายมารดาขององค์ชายสามรากฐานไม่ดี อีกทั้งยังเป็เพียงเจาอี๋[1]เล็กๆ คนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความสามารถขนาดองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามที่จะไปเก็บสะสมของล้ำค่าเช่นนั้น เขาหยิบห่อผ้าสีเหลืองห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เปิดผ้าสีเหลืองออก ด้านในนั้นเป็หยกพกชิ้นหนึ่ง เนื้อหยกนั้นย่อมเป็หยกชั้นดีที่สุด “นี่เป็หยกที่ลูกใช้เืเลี้ยงเอาไว้และสวดมนต์อยู่ในหอพระเป็เวลาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน หลายวันมานี้ลูกไม่เห็นหยกชิ้นที่เสด็จพ่อทรงห้อยไว้ไม่ห่างกายชิ้นนั้น ดังนั้นจึงคิดตระเตรียมสิ่งของชิ้นนี้ไว้ให้เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ลั่วคิดในใจ หยกชิ้นนั้นอยู่กับตน ทว่าองค์ชายสามช่างมีใจยิ่งนัก สวดมนต์ในหอพระก็สวดไปเถิด ไฉนจึงต้องใช้เืเลี้ยงหยกเอาไว้ด้วยเล่า? เจ็บป่วยทางสมองหรือไม่? และไฉนจึงต้องพูดออกมา? ยังไม่โตจริงๆ
ต่อให้ไม่พูดออกมา ฝ่าาจะไม่รู้หรือไร? หลี่ลั่วโอดครวญอยู่ในใจ เมื่อใดจะถึงตากู้จวิ้นเฉินเนี่ย
“ได้ยินว่าหากใช้เืเลี้ยงหยกเป็เวลาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน จากนั้นสวดมนต์ในหอพระเป็เวลาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ก็จะสามารถรับเคราะห์แทนอีกฝ่ายได้” ฉุนหยางอ๋องเอ่ยขึ้น
ทุกคนรู้สึกหัวใจบีบรัด องค์ชายสามช่างกตัญญูยิ่งนัก
“เขาเป็ใครหรือ?” หลี่ลั่วถามหลี่หง
“ฉุนหยางอ๋อง” หลี่หงตอบ ท่านหญิงฉุนเหอของเขาหมั้นหมายกับหลี่เจ๋อแล้ว” หลี่หงและหลี่เจ๋อนั้นอายุเท่ากัน ล้วนเรียกขานกันด้วยชื่อของอีกฝ่าย
ที่แท้ก็เป็ครอบครัวญาติเกี่ยวดองกันนี่เอง ฉุนหยางอ๋องผู้นี้ดูไปแล้วเป็คนเมตตาอารี เมื่อเอ่ยถึงหยกชิ้นนี้ใบหน้ามีเมตตาของเขาอ่อนไหวเล็กน้อย มนุษย์เรานั้นเมื่ออายุมากขึ้นทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งได้ง่ายๆ หากองค์ชายสามเป็บุตรชายของฉุนหยางอ๋อง เขาคงซาบซึ้งจนร่ำไห้ออกมา
แน่นอนว่าที่กล่าวมานั้นเป็จินตนาการของหลี่ลั่ว
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมา ฉุนหยางอ๋องจึงหันกลับมายิ้มบาง ๆ ให้หลี่ลั่ว หลี่ลั่วตกตะลึงและยิ้มตอบกลับไป ท่านหญิงฉุนเหอเป็ว่าที่ภรรยาของหลี่เจ๋อ หากแต่งงานกัน ระหว่างพวกเขาถือว่าเป็ญาติใกล้ชิด ด้วยเหล่ากั๋วกงและหลี่เหล่าไท่เหยฺนั้นเป็พี่น้องแท้ๆ หลี่ซวี่และหลี่เฉินเป็ลูกพี่ลูกน้องกัน
จ้าวหนิงฮ่องเต้คาดไม่ถึงเล็กน้อย “เ้าสาม เ้า...ต้าไห่ เรียกตัวหมอหลวงมาตรวจสุขภาพเ้าสาม อายุสิบห้าปีแล้ว ไยจึงยังไม่รู้จักระวังตัวเล่า?” แม้คำพูดจะกล่าวตำหนิ ทว่าใจจริงแล้วทรงใส่พระทัยยิ่งนัก
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อ ไม่ต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสามรีบเอ่ยขึ้น “ลูกพบหมอหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงบอกว่าไม่เป็ไร วันนี้ทุกคนต่างยินดีปรีดา อย่าได้รบกวนความสนุกสนานรื่นเริงของทุกคนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามใจเ้า” จ้าวหนิงฮ่องเต้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ต้าไห่ เจิ้นจำได้ว่าในห้องทรัพย์สินส่วนตัวของเจิ้นมีโสมอายุร้อยปีอยู่ต้นหนึ่ง เสร็จจากงานเลี้ยงแล้วให้นำมาให้แก่องค์ชายสามบำรุงร่างกายเสีย” โสมอายุร้อยปี หายากยิ่งนัก
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
องค์ชายใหญ่หรี่ตาลง คิดไม่ถึงว่าเ้าสามที่ติดตามอยู่ข้างหลังพวกเขามาตลอดเวลา คอยเอาอกเอาใจผู้อื่นราวกับเป็ตัวตลก จะกลับมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน เขามองไปทางองค์ชายรอง มองเห็นเพียงองค์ชายรองยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเช่นเดิม ไม่ปรากฏสีหน้าและอารมณ์อื่นใด
หลังจากองค์ชายสาม ทุกคนต่างรู้ว่าเป็กู้จวิ้นเฉิน สายตาทุกคู่มองมายังกู้จวิ้นเฉิน กู้จวิ้นเฉินลุกขึ้น “จวิ้นอี”
จวิ้นอีออกไปเพียงครู่เดียวแล้วกลับเข้ามา มีผู้ติดตามเขาเข้ามาด้วยสองคน สองคนนั้นเป็ขันทีในจวนฉีอ๋อง แบกหามสิ่งของสิ่งหนึ่งเข้ามา คือสิ่งใดกันนะ? มีปะการังสีเืขององค์ชายรองแล้ว ทุกคนคิดว่าครั้งนี้คงไม่ใช่สิ่งของล้ำค่าราวกับเมืองหนึ่งเมืองหรอกกระมัง?
กู้จวิ้นเฉินเดินไปหยุดอยู่ตรงกลาง เขาเปิดผ้าโปร่งสีแดงเข้มออก ชั่วพริบตา ภาพวาดูเาและสายน้ำที่งดงามก็ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งหมด ผู้คนด้านหลังอาจจะไม่เห็น แต่ผู้ที่อยู่ด้านหน้านั้นเห็นได้อย่างชัดเจน ทุกๆ ตำแหน่งภูมิประเทศบนภาพนั้นมีการเขียนชื่อของสถานที่แต่ละแห่งเอาไว้อย่างชัดเจน กระทั่งนอกเขตแคว้นจีนยังมีสถานที่หลายแห่งที่อยู่ในเงามืด
จ้าวหนิงฮ่องเต้ลุกพรวดขึ้น “นี่คือ...” ในพระสุรเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาดำเนินมาถึงเบื้องหน้าภาพภาพนั้น “ดี”
หลี่ลั่วประหลาดใจ เขามองไม่ชัดว่ากู้จวิ้นเฉินนั้นวาดสิ่งใดกันแน่ ดังนั้นจึงเดินไปข้างหน้าภาพนั้น “นี่คือภาพวาดภูมิประเทศของแคว้นจีนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วถาม
“...ใช่” จ้าวหนิงฮ่องเต้เพิ่งจะพบว่าข้างกายตนมีเ้าเด็กน้อยอยู่คนหนึ่ง “แม่น้ำอันงดงามของแคว้นเรา เจิ้นเพิ่งจะเคยเห็นภาพวาดภูมิประเทศของแคว้นเราที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เป็ครั้งแรก จวิ้นเฉิน นี่เ้าใช้เวลาวาดกี่ปี?”
“เจ็ดปีพ่ะย่ะค่ะ” กู้จวิ้นเฉินตอบ
เจ็ดปี จ้าวหนิงฮ่องเต้หัวใจบีบรัด ปีนี้เขาอายุครบรอบสี่สิบปี และเป็วันครบรอบห้าสิบปีของเสด็จพี่ของเขา พวกเขาสองพี่น้องอายุห่างกันสิบปี ในปีนั้นเสด็จพี่เพิ่งจะมีอายุสิบเอ็ดปี ต้องคอยดูแลตนที่เพิ่งจะถือกำเนิดออกมา แล้วยังต้องป้องกันไม่ให้คนมาคอยรังแก แค่เพียงคิดขึ้นมาจ้าวหนิงฮ่องเต้ผู้เป็ฮ่องเต้กระดูกเหล็กแทบทนไม่ไหวดวงตาแดงก่ำน้ำตาไหลพราก
เสด็จพี่...ผู้กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวตลอดชีวิตของเขา
เมื่อมีการเคลื่อนไหวอย่างขวัญกล้าของหลี่ลั่วนำร่อง ขุนนางใหญ่บางส่วนจึงเข้ามาล้อมวง
“ท่านอ๋อง สถานที่หลายแห่งที่อยู่ในเงามืดนี้คือ?” เสนาบดีฉินถามขึ้น
“ด้านนี้คือแคว้นเล็กชายแดน” กู้จวิ้นเฉินตอบ “ด้านนี้คือชายแดนซีเป่ย ตรงข้ามคือแคว้นฝูชิว ด้านนี้คือชายแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ ตรงข้ามคือแคว้นฉวี่หลง...ยังมีด้านนี้...ด้านนี้...เหล่านี้ล้วนเป็แคว้นของเรา จึงรวมเป็ภาพวาดดินแดนแคว้นจีนของเราอย่างแท้จริง”
กู้จวิ้นเฉินพูดอย่างสงบนิ่ง แต่ทว่าผู้ที่ได้ยินกลับฟังด้วยความตกตะลึง ฉีอ๋องในวัยสิบสามปี พูดจาอวดดียิ่งนัก
้าทำให้แคว้นเล็กเหล่านี้ศิโรราบ ยอมเป็เมืองขึ้นของแคว้นจีน เป็เวลากี่ปีมาแล้วที่ฮ่องเต้ต่างไม่สามารถทำให้ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรนี้สำเร็จเป็จริงได้ การตัดสินใจของฉีอ๋องช่างยิ่งใหญ่ยิ่งนัก
“ภาพผืนนี้ยังขาดสิ่งใดไปขอรับ” หลี่ลั่วถาม
“อ้อ? ขาดสิ่งใดเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้กำลังปลาบปลื้มปิติ จึงได้อดทนอดกลั้นกับคำพูดเช่นนี้ของเขา
“ฝ่าาทรงประทานเครื่องเขียนให้กับหม่อมฉันได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ให้เสี่ยวเฉินวาดภาพลงบนภาพผืนนี้สักเล็กน้อย?” หลี่ลั่วกล่าว
“เ้ารู้เื่ภาพวาดด้วยเช่นนั้นหรือ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก “เ้าและจวิ้นเฉินต่างเป็ว่าที่สวามีภรรยา ในเมื่อเป็ภาพวาดที่เขามอบมาให้ เ้าจะวาดสิ่งใดก็มิเป็ไร แต่เ้าต้องคิดให้ดีเล่า ภาพวาดนี้เขาวาดมาเจ็ดปี ไม่มีภาพที่สองให้เ้ามาทำลายดอก”
“ฝ่าาโปรดทรงวางพระทัย เสี่ยวเฉินวาดเพียงเล็กน้อย ภาพผืนนี้จึงจะกลายเป็ภาพวาดดินแดนแคว้นจีนที่แท้จริงของแคว้นเราพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“อวดดียิ่งนัก ใครก็ได้ นำเครื่องเขียนมา”
ขุนนางนับร้อยต่างคาดเดา หลี่เสี่ยวโหวเหฺยผู้นี้้าจะทำอันใดกันแน่?
หลี่ต้านกลับรู้สึกว่ามีของดีให้ดู เ้าตัวน้อยช่างรู้จักวิธีการแสดงตัวตนยิ่งนัก ทำให้พี่น้องจากครอบครัวสกุลหลี่ถูกบดบังไปตามๆ กัน ยังดีที่สกุลหลี่ของพวกเรายังเป็ผู้ได้หน้า
ขันทีนำอุปกรณ์เครื่องเขียนมาให้ หลี่ลั่วหยิบพู่กันขึ้นมาแต้มน้ำหมึกเพียงเล็กน้อยแล้วเริ่มลงมือ ตามการแต่งแต้มบนรูปภาพของเขา แรกเริ่มนั้นทุกคนต่างดูไม่เข้าใจ แต่เมื่อดูโดยรอบแล้วนับกว่ากระจ่างแจ้ง แม้ว่าวิธีการวาดภาพของเขานั้นจะค่อนข้างแปลกใหม่อยู่สักหน่อย แต่กลับทำให้มองเห็นตำแหน่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
มิน่าเล่า หลังจากเขาลงมือ ภาพนั้นจึงกลายเป็ภาพวาดดินแดนแคว้นจีนอย่างแท้จริง
“นี่คือ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “เส้นเหล่านี้ต่อเนื่องกันเป็เส้นประ ดียิ่งนัก เส้นของสถานที่ในเงามืดยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อเป็เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าหมายความว่าเช่นไร”
“นี่คือเส้นประพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว “ใช้เส้นประวาดพื้นที่ของแคว้นเล็กๆ ออกมา ทำให้ภาพวาดแสดงความหมายที่ชัดเจนขึ้น เส้นประเหล่านี้ต้องมีสักวันหนึ่งที่จะเปลี่ยนเป็เส้นทึบพ่ะย่ะค่ะ”
“เส้นทึบ? เส้นประ? หลักการเหตุผลนี้เป็อย่างไรหรือ?” หัวหน้าฮ่านหลินย่วนเอ่ยปากถามขึ้น น้ำเสียงของเขาประหลาดใจยิ่งนัก ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น นักศึกษาผู้ติดตามของเขาล้วนมีความสนใจอย่างยิ่ง ฮ่านหลินย่วนมีหน้าที่ปรับปรุงหนังสือและเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ หากเป็เื่ที่เกี่ยวกับความรู้แล้วละก็ พวกเขาเข้าใจกว่าผู้ใด
“นี่เป็ความคิดของข้าเพียงเท่านั้น” หลี่ลั่วอธิบาย “เส้นทึบเป็เส้นที่ลากต่อเนื่องไม่ขาดจากกัน เป็ตัวแทนว่าเป็เื่ที่ทำให้เป็จริงแล้วอย่างมั่นคงหนักแน่น ภาพวาดของท่านพี่ฉีอ๋องภาพนี้ นอกจากส่วนที่อยู่ในเงามืด พื้นที่เหล่านี้ล้วนเป็ภาพภูมิประเทศซึ่งเป็พื้นที่ที่แท้จริงของแคว้น ส่วนเส้นประนั้นเปรียบดั่งเช่นพวกเราที่มีความคิดเช่นนี้ แต่ทว่ายังมิได้ทำให้บรรลุสำเร็จเสร็จสิ้นลงได้ ดังนั้นเราจะใช้เส้นประมาทำให้ชัดเจนขิ่งขึ้น เป็ตัวแทนว่าสักวันหนึ่งความฝันของเราจะต้องกลายเป็ความจริง”
“ดี ดียิ่งนัก” ดวงตาของฮ่านหลินย่วนทอประกายวาบ “คำพูดของเสี่ยวโหวเหฺยนี้ทำให้ข้อสงสัยของคนชราเช่นข้ากระจ่างแจ้ง เสี่ยวโหวเหฺยได้เพิ่มความรู้ให้กับพวกเราฮ่านหลินย่วน ดี”
“ไม่ทราบว่าลั่วเกอเอ๋อร์ยังมีวิธีการเรียนรู้อื่นอีกหรือไม่?” หยางเหล่าฮ่านหลินถาม
[1] เจาอี๋ (昭仪) คือตำแหน่งพระสนมเอก แต่งตั้งได้ตำแหน่งละ 1 คน รวมทั้งหมดมี 9 ตำหน่ง ได้แก่ เจาอี๋ (ผู้งามเลิศยิ่ง), เจาหรง (ผู้มีกิริยาสง่างาม), เจาย่วน (ผู้งามสง่าจับใจ), ซิวอี๋ (ผู้มีรูปโฉมวิจิตร), ซิวหรง (ผู้มีกิริยางามวิจิตร), ซิวย่วน (ผู้งดงามวิจิตร), ชงอี๋ (ผู้งามตาเพียบพร้อม), ชงหรง (ผู้มีกิริยางามพร้อม), ชงย่วน (ผู้สง่าเพียบพร้อมยิ่ง)