จวินเชียนจี้หันกลับไปมองนางด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความนัยลึกซึ้ง บัดนี้ แววตาที่ดื้อรั้นทว่าเข้มแข็งซึ่งเป็เอกลักษณ์ของเฟิ่งสือจิ่นมีม่านน้ำปกคลุมอยู่
เฟิ่งสือจิ่นบอก “อาจารย์ สือจิ่นเป็แค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงไม่อาจปล่อยวางทุกสิ่งให้ผ่านพ้นไป และไม่อาจทำใจให้นิ่งดั่งผิวน้ำได้เหมือนกัน อาจารย์ละกิเลสทางโลกได้ แต่ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ คนที่เคยติดค้างข้า หากข้าไม่ทวงคืนด้วยตนเอง พวกเขาไม่มีทางคืน คนที่เกลียดแค้นข้า หากข้าไม่ตอบโต้ พวกเขาก็จะยิ่งเกลียดข้ามากขึ้นเท่านั้น คนที่อยากฆ่าข้า หากข้าไม่รีบชักดาบและฆ่ามันเสีย แบบนั้น ข้าจะตายเร็วขึ้นเสียเปล่าๆ!” นางหมุนตัว แล้วดันประตูห้องของตนจนเปิดออก เสียงที่เปล่งออกมาทั้งเศร้าใจและหดหู่ “อาจารย์อาจยังไม่รู้ แต่ข้าไม่มีวันลืมมันลงแน่ ซูเหลียนหรู เฟิ่งสือจาว เฟิ่งสือเหิง คนพวกนั้น... เคยเหยียบข้าให้จมดิน พวกมันเคยทำให้ข้าต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าต้นหญ้าข้างทาง เหตุการณ์พวกนั้น ข้าไม่มีทางลืม ข้ายังเป็เฟิ่งสือจิ่น แต่ไม่มีทางยอมกลับไปเป็เฟิ่งสือจิ่นคนเดิมอีกต่อไป อาจารย์วางใจเถอะ ต่อไป ข้าจะระวังให้มากขึ้น จะพยายามไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจไปมากกว่านี้”
พูดจบก็เดินเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ
แต่ในตอนที่ประตูกำลังจะปิดลง จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อมือข้างหนึ่งแทรกผ่านประตูเข้ามาพร้อมกับแสงจากภายนอก มือที่แฝงไปด้วยไอเย็นตบลงที่บานประตูอย่างแรง ยังไม่ทันที่นางจะปิดประตูจนสนิท นิ้วยาวก็แทรกเข้ามาในซอกประตู แล้วเปิดมันออกอีกครั้ง
จวินเชียนจี้ยืนอยู่ด้านนอก เขายืนประจันหน้ากับเฟิ่งสือจิ่น กลิ่นอายแห่งอำนาจในร่างกายกระจายออกมาอย่างน่าเกรงขาม
มือข้างหนึ่งดึงประตูเอาไว้ ไม่ยอมให้เฟิ่งสือจิ่นปิดมันลง จวินเชียนจี้พูดขึ้นทีละพยางค์อย่างชัดเจน “ตราบใดที่เ้ายังเป็ศิษย์ของข้า เ้าก็สร้างความลำบากใจแก่ข้าเสมอ”
แม้จะมีคำพูดอีกนับหมื่นพัน ยามนี้ก็พูดออกไปไม่ได้อีกแล้ว เฟิ่งสือจิ่นเบิกตากว้าง หยดน้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตาคู่งาม นางกัดริมฝีปากแน่น
ในเมื่อเป็เช่นนี้ ไยต้องรับนางเป็ศิษย์ั้แ่แรก?
จวินเชียนยื่นมือออกไป ราวอยากจะซับน้ำตาให้เฟิ่งสือจิ่น แต่มือนั้นกลับชะงักลงกลางอากาศ แล้วเปลี่ยนทิศทางมาชี้ที่หัวใจของนางแทน เขาบอก “ที่เ้าคิดเช่นนี้ เพราะตรงนี้ ไม่มีสิ่งที่เ้าเห็นคุณค่าและอยากรักษามันอย่างแท้จริงต่างหาก”
เฟิ่งสือจิ่นสูดน้ำมูก นางมองจวินเชียนจี้ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วหมุนตัวจากไปต่อหน้าต่อตา ที่กลางหัวใจ ตรงจุดที่เขาเคยชี้รู้สึกร้อนรุ่มและเจ็บแปลบขึ้นมา
ในพระราชวัง องค์หญิงเจ็ด ซูเหลียนหรูเพิ่งหลับได้ไม่นาน เมื่อเวลาเลยผ่าน่เที่ยงคืน สาวใช้ก็นำยาเม็ดที่สองมาป้อนให้อีกครั้ง นางนั่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอ่อนล้า ที่มือจับแก้วน้ำร้อนที่สาวใช้เตรียมให้ แต่ยังไม่ทันได้ดื่มน้ำ จู่ๆ นางก็เหลือบไปเห็นเงาหนึ่งเลื่อนผ่านหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว เมื่อจ้องมองอย่างตั้งใจ นางก็พบว่าเงานั้นอยู่ในชุดสีขาวที่กำลังลอยลิ่วไปกับสายลม เส้นผมสีดำสยายบดบังใบหน้าราวกับสาหร่าย แลดูน่าสยดสยองเป็อย่างมาก นั่นมันผีสาวชัดๆ
ซูเหลียนหรูใจนสติหลุดลอยออกไปชั่วขณะ นางชี้นิ้วไปที่หน้าต่าง “ตรงนั้นมีผี...”
สาวใช้ร่างกายกำยำสองคนที่ไปวิทยาลัยหลวงพร้อมกับนางทุกวัน มีหน้าที่ดูแลรับใช้นางอย่างใกล้ชิดในวังหลวงเช่นกัน เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งสองก็วิ่งปรี่ออกไปด้านนอกทันที สาวใช้ทั้งสองคนใจกล้าเป็อย่างมาก เมื่อเห็นว่าผีสาวกำลังจะหนีไป ทั้งสองก็มองตากันแวบหนึ่ง แล้ววิ่งตามผีชุดขาวออกไปอย่างพร้อมเพรียง
เหตุการณ์นี้สร้างความโกลาหลไม่น้อย องครักษ์ในวังถูกเรียกให้มาช่วยกันตามหาผีสาวกลางดึก
หญิงรับใช้สองคนตามดวงิญญาชุดขาวเข้ามาในตำหนักแห่งหนึ่ง เพราะรีบร้อนและค่อนข้างประมาท จึงลืมคิดไปเสียสนิทว่าตำหนักเบื้องหน้าเป็ของเ้านายคนใด
สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าตำหนักหลบไม่ทัน จึงถูกสาวใช้ทั้งสองคนชนจนล้มเกลื่อน สถานการณ์ชุลมุนไปหมด
โคมไฟถูกจุดขึ้นดวงแล้วดวงเล่า สาวใช้ทั้งสองคนเห็นว่าผีสาวตนนั้นวิ่งเข้าไปในตำหนักที่มืดมนแห่งหนึ่ง โดยประตูหน้าตำหนักยังคงเปิดแง้มอยู่ พวกนางไม่รอช้า รีบพุ่งตามเข้าไปทันที เพราะในตำหนักมืดจนมองอะไรไม่เห็น แถมม่านที่ห้อยประดับอยู่ในตำหนักก็เกี่ยวจนพวกนางสะดุดหลายครั้ง ทั้งสองรำคาญเต็มทน จึงออกแรงดึงม่านเ่าั้ออกไป ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงแตกกระจายของเครื่องปั้นก็ดังขึ้น
หญิงรับใช้ทั้งสองเตรียมจะเข้าไปตรวจดู แต่คนรับใช้จำนวนมากก็กรูกันเข้ามาในตำหนัก แสงจากโคมก็ค่อยๆ ส่องให้พื้นที่รอบๆ สว่างขึ้น
เมื่อสาวใช้ทั้งหลายมองสำรวจรอบๆ ก็พบว่าที่กลางตำหนัก มีพระพุทธรูปสีทองตั้งตระหง่านอยู่ ทว่าที่ข้างๆ กัน รูปปั้นเ้าแม่กวนอิมที่สูงประมาณหนึ่งเมตรครึ่งกลับตกลงมาจากแท่นบูชา แรงกระแทกทำให้รูปปั้นแตกออกเป็สองเสี่ยง เครื่องปั้นที่แสนเปราะบางแตกกระจาย เศษแก้วขนาดเล็กจากเครื่องปั้นเกลื่อนไปทั่วบริเวณ
นางในชราคนหนึ่งโกรธจนร่างสั่นเทา นางก้าวออกมาข้างหน้า “พวกเ้าสองคนบังอาจยิ่งนัก ถึงกล้าบุกเข้ามาอาละวาดที่โถงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักคุนิของไทเฮาเช่นนี้! เด็กๆ จับสาวใช้สองคนนี้เอาไว้!”
ไม่ว่าจะดิ้นขัดขืนเพียงใด สาวใช้ร่างกำยำทั้งสองก็ไม่อาจสู้แรงของสาวใช้ทั้งหมดในตำหนักได้
ไทเฮาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเอะอะโวยวาย นางสวมชุดคลุมปกปิดร่างกาย แล้วออกมาตรวจดูสิ่งที่เกิดขึ้น ทันทีที่เห็น นางก็โกรธจนแทบจะเป็ลมหมดสติ สาวใช้ทั้งสองคนยังยืนยันว่ามีคนปลอมตัวเป็ผีสาวแล้วมุ่งหน้ามาทางนี้ นางในชราเดินเข้าไปตบหน้าทั้งสองคนละครั้ง พลางตวาดเสียงดังสนั่น “บังอาจนัก ตำหนักคุนิเป็สถานที่แห่งความสงบ ห้องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เป็สถานที่ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์เช่นกัน ผีสาวตนไหนจะกล้ามาอาละวาดแถวนี้! ถ้ามีผี ก็คงมีแค่ผีในใจพวกเ้านั่นแหละ!”
เมื่อไทเฮารู้ว่าทั้งสองเป็สาวใช้คนสนิทขององค์หญิงเจ็ด อีกทั้งยังได้ยินว่าหมู่นี้ องค์หญิงเจ็ดมีท่าทีประหลาดราวกับคนเสียสติ จึงเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดในทันที บัดนี้ นางจิตใจวุ่นวายเป็อย่างมาก “สมดั่งคำที่ว่า นายเป็เช่นไร บ่าวก็เป็เช่นนั้น เพราะบ่าวชั่วช้าอย่างพวกเ้า องค์หญิงเจ็ดถึงเอาแต่ใจจนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนี้!” พูดจบก็สั่งให้ขันทีของตำหนักคุนิตีสาวใช้ทั้งสองจนตาย
ณ ตำหนักจาวหยวน โคมไฟดวงหนึ่งส่องแสงริบหรี่ หญิงชุดขาวคนหนึ่งะโเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้พระสนมอวี๋ในชุดคลุมบาง ซึ่งเผยให้เห็นสัดส่วนอันงดงามอย่างชัดเจนสะดุ้งโหยง นางรีบเดินไปตรวจดูที่ริมหน้าต่าง เป็ซวงเอ๋อร์นั่นเอง แม้จะแต่งกายน่ากลัวไปหน่อย แต่นั่นก็ทำให้พระสนมอวี๋วางใจในที่สุด
พระสนมอวี๋สั่งให้ซวงเอ๋อร์ถอดชุดขาวที่น่าสยองออก ซวงเอ๋อร์เองก็เคลื่อนไหวคล่องแคล่วรวดเร็ว เขาเดินไปเปลี่ยนเป็ชุดสาวใช้ที่หลังฉาก จากนั้นก็โยนชุดขาวเข้าไปในกะละมังเหล็ก แล้วยกตะเกียงไปจุดไฟเผาชุดนั้นทันที
พระสนมอวี๋ฟังเสียงเอะอะด้านนอกพลางมองใบหน้าด้านข้างที่ฉาบไปด้วยแสงสีเหลืองจากกองไฟของซวงเอ๋อร์ นางพูดด้วยความกังวล “ซวงเอ๋อร์ พวกเขาจับได้หรือไม่?"
ซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วเผยรอยยิ้มออกมาแทนการปลอบประโลม “ไม่ต้องกังวลไป ไม่มีใครรู้แน่”
พระสนมอวี๋หลุบตาลงต่ำ นางนิ่งเงียบลงอย่างโศกเศร้า “เป็เพราะข้าคนเดียว... เ้าถึงต้องทำเื่ที่อันตรายเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก...”
ซวงเอ๋อร์จับมือของพระสนมอวี๋เอาไว้ทั้งสองข้าง เขากอบกุมมือเล็กเอาไว้ด้วยมือของตนเอง พลางลูบมือนั้นเบาๆ อย่างรักใคร่ แล้วพูดอย่างหนักแน่น “ข้าบอกไปแล้วไง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะอยู่ข้างเ้าเสมอ ไม่ว่าข้าจะกลายเป็ตัวอะไรหรืออยู่ในสถานะใดก็ตาม พวกเราอยู่ในวังหลัง ไม่มีทางเลือกอื่น เื่ที่อันตรายกว่านี้พวกเรายังผ่านมันมาแล้ว ยังมีเื่อะไรที่ไม่กล้าทำอีก ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่เป็ไร”
ทั้งสองรอจนผ้าชิ้นสุดท้ายในกะละมังกลายเป็เถ้าธุลี แล้วจึงจับมือกันไปที่เตียง และนอนกอดกันอย่างที่ทำเป็ประจำ ซวงเอ๋อร์ลูบเส้นผมสลวยของพระสนมอวี๋เบาๆ “แค่ได้ปกป้องเ้า ได้นอนกอดเ้าเช่นนี้ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็ยินดี ที่พวกเรามีทุกวันนี้ได้ก็เป็เพราะนาง ครั้งนี้ ถึงตาพวกเราตอบแทนนางบ้าง มันก็เป็เื่ที่สมควรอยู่แล้ว ในจดหมาย นางเขียนอย่างชัดเจนว่าเมื่อจบเื่นี้ พวกเราจะไม่ติดค้างกันอีก”
พระสนมอวี๋พยักหน้าเบาๆ “ข้าแค่กลัวว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้นกับเ้า...”
“วางใจเถอะ ข้าไม่เป็ไร”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้