เฟิ่งสือจิ่นไม่ชอบที่ซูกู้เหยียนพูดกับตนด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ทั้งที่พวกเขาเพิ่งเจอกันเป็ครั้งแรกแท้ๆ กลับทำราวกับเขาเป็ผู้ใหญ่ที่กำลังสั่งสอนเด็กรุ่นหลังไม่มีผิด แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าตนกับคนผู้นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน ขนาดท่านอาจารย์ก็ยังไม่เคยพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เลย
ซูกู้เหยียนพูดขึ้นอีกครั้ง “หากท่านราชครูรู้ว่าเ้ามีเื่มีราวกับท่านชายเช่นนี้ เขาอาจจะเดือดร้อนไปด้วยก็ได้”
เฟิ่งสือจิ่นชะงักลง คนตรงหน้าน่าจะรู้จักตน เพราะเขารู้ว่าตนเป็ใคร มีฐานะอย่างไร ในเมื่อตนก็ไม่ได้เสียหายอะไร และหลิวอวิ๋นชูก็เป็ฝ่ายเสียเปรียบในเื่นี้ เห็นแก่ท่านอาจารย์ นางจึงไม่คิดจะทำให้เื่บานปลายไปมากกว่านี้ เฟิ่งสือจิ่นค่อยๆ ปล่อยมือ หลิวอวิ๋นชูที่ได้รับอิสระจึงวิ่งกุลีกุจอออกไป
เฟิ่งสือจิ่นเก็บกริชเข้าไปในฝักอย่างใจเย็น แต่ในตอนที่นางเตรียมจะเก็บกริชกลับเข้ากระเป๋า จู่ๆ ซูกู้เหยียนก็ยื่นมือออกมาข้างหน้า “กริชเล่มนั้น คืนมาให้ข้า”
“คืน?” เฟิ่งสือจิ่นลากเสียงสูงพลางเงยหน้ามองเขา “นี่เป็ของของเ้าหรือไง?”
“นี่เป็ของที่ข้ามอบให้สือหนิง” ซูกู้เหยียนบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เ้าหมายถึงเฟิ่งสือหนิงหรือ?” เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่มือก็ยัดกริชกลับเข้าไปในกระเป๋าต่อหน้าต่อตาซูกู้เหยียน นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้าเข้ามาแย่งกริชไปตรงๆ แน่ เมื่อทำเสร็จ เฟิ่งสือจิ่นก็ะโขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้า ทำให้ความสูงของนางอยู่ในระดับเดียวกับซูกู้เหยียน นางควบม้าไปหยุดอยู่ข้างซูกู้เหยียน พลางมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน “เป็ของที่เ้ามอบให้เฟิ่งสือหนิง แต่มันกลับมาอยู่กับข้า แบบนี้ เ้าควรไปถามหาสาเหตุจากเฟิ่งสือหนิงมากกว่าไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาทวงมันจากข้าล่ะ? ดูท่า เ้ากับนางคงสนิทกันไม่น้อย”
ซูกู้เหยียนมองดูเฟิ่งสือจิ่น ดวงตาคู่นั้นงดงามเหมือนกับภรรยาของเขาไม่มีผิด ทว่าแววตากับความรู้สึกที่แสดงออกมากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็เหมือนหงส์ที่สูงส่งและสง่างามมาแต่กำเนิด อีกคนกลับเป็เหมือนอินทรีจากป่าลึกที่ทั้งดื้อรั้นและผยอง ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนจะมีบางสิ่งผิดปกติไป... ท่าทางของเฟิ่งสือจิ่นในตอนนี้
ซูกู้เหยียนถาม “เ้ากลับมาั้แ่เมื่อไร?”
เฟิ่งสือจิ่นควบม้าสวนกับซูกู้เหยียน และเดินหน้าออกไปช้าๆ ชุดสีเขียวบนร่างมีดินโคลนเปื้อนอยู่ แต่นั่นกลับไม่ทำให้นางดูหม่นหมองเลยสักนิด เส้นผมสีดำสลวยถูกเกล้าอย่างเรียบง่ายด้วยปิ่นไม้ธรรมดาๆ แผ่นหลังของนางแลดูเด็ดเดี่ยวและกระฉับกระเฉง เฟิ่งสือจิ่นโบกแส้ม้าในมือพลางพูดขึ้น “ดูเหมือนเื่นั้นจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเ้านะ” พูดจบ นางก็สั่งให้ม้าวิ่งออกไปทันที
ซูกู้เหยียนมองตามแผ่นหลังของเฟิ่งสือจิ่นที่ไกลห่างออกไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งร่างบางหายลับไปสุดถนน หลิวอวิ๋นชูเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาพูดยุแยง “นางจองหองเกินไปแล้ว ถึงบังอาจมาพูดเช่นนี้กับองค์ชายสี่ เมื่อครู่ท่านพูดถึงราชครู หรือว่านางมีความเกี่ยวข้องอะไรกับท่านราชครูหรือขอรับ?”
ซูกู้เหยียนตอบด้วยเสียงราบเรียบ “นางเป็ศิษย์เอกของราชครู เฟิ่งสือจิ่น”
หลิวอวิ๋นชูชะงักนิ่งลง กระทั่งองค์ชายสี่และผู้ติดตามเดินห่างออกไปจนลับตาแล้ว เขาถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง หลิวอวิ๋นชูพึมพำ “เฟิ่งสือจิ่น... นางคือ... น้องสาวแท้ๆ ของพระชายาแห่งองค์ชายสี่งั้นหรือ?”
ลูกสมุนตอบ “ดูเหมือนจะใช่ขอรับ”
หลิวอวิ๋นรู้สึกแสบร้อนที่ลำคอจึงเอื้อมมือไปแตะเบาๆ เมื่อพบว่าฝ่ามือมีเืเปื้อนติดมาด้วย เขาก็ะเิความโมโหออกมาอีกครั้ง หลิวอวิ๋นชูกัดฟันกรอด “ถึงว่า นางถึงกล้าทำสาวหาวกับองค์ชายสี่ แถมยังกล้าประกาศตัวเป็อริกับข้าเช่นนี้... ซี๊ด... ข้าจะจำบัญชีแค้นนี้ให้ขึ้นใจเลย” เขาหันไปเตะลูกสมุนพลางตวาดด่า “ยืนบื้ออยู่ทำไม! ยังไม่รีบไปตามหมอมาอีก อยากให้ข้าตายคาถนนหรือไง?”
“ขอรับ! ขอรับท่านชาย!”
เมื่อกลับขึ้นไปบนเกี้ยว ลูกสมุนที่มีนิสัยประจบสอพลอทั้งหลายก็แย่งกันใช้ผ้ากดทับาแที่ลำคอของหลิวอวิ๋นชูอย่างชุลมุน “คุณชาย อย่ากลัวไปเลย อีกไม่นานก็ถึงแล้ว!” ลูกสมุนพูดอย่างตื่นตระหนก
หลิวอวิ๋นชูมองบนใส่ลูกสมุน “ข้าดูเหมือนคนที่กำลังกลัวหรือ?” เมื่อหลับตาลง ร่างในชุดสีเขียวของเฟิ่งสือจิ่นก็ปรากฏขึ้นในสมอง หลิวอวิ๋นชูกัดฟันด้วยความแค้น “คิดไม่ถึงว่านางจะเป็คนของตระกูลเฟิ่ง”
ลูกสมุนบอก “นางไม่ใช่คนของตระกูลเฟิ่งแล้วขอรับ นางก็เหลือแค่ชื่อที่ยังใช้สกุลเฟิ่งอยู่เท่านั้น แต่ความจริง นางถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลตั้งนานแล้ว นายท่านไม่รู้หรือขอรับ?”
“หากไม่ใช่เพราะเื่ในวันนี้ ข้าจะไปรู้จักกับคนแบบนั้นได้อย่างไร” หลิวอวิ๋นชูพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แต่ข้าก็พอจะรู้ว่านางเป็น้องสาวฝาแฝดของพระชายาแห่งองค์ชายสี่ จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะองค์ชายสี่พูดขึ้นมา ข้าคงไม่รู้แน่ๆ ว่านางคือใคร แต่งตัวซอมซ่อราวกับคนไม่มีจะกิน ชิ เหมือนขอทานไม่มีผิด”
ลูกสมุนพูดเสริม “คุณชายพูดถูกแล้วขอรับ!”
หลิวอวิ๋นชูส่ายหน้าเบาๆ “เมื่อเทียบกับพระชายาแห่งองค์ชายสี่ที่เป็ดั่งหงส์ฟ้าผู้แสนสูงส่งแล้ว นางก็ไม่ต่างไปจากนกกระจอกต่ำต้อยที่อยู่ได้แค่บนดินเท่านั้น”
“คุณชายพูดได้ดีเหลือเกินขอรับ!”
“ดีบ้านเ้าสิ รีบไปคิดหาวิธีจัดการกับนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เลย!”
ลูกสมุนครุ่นคิดอยู่นานจึงพูดขึ้น “เราเอาเื่นี้ไปบอกท่านโหวดีไหมขอรับ ให้ท่านโหวไปคิดบัญชีกับราชครู นางเป็ศิษย์ของราชครู หากเป็เช่นนี้ ราชครูต้องกลับไปลงโทษนางแน่ ที่ผ่านมา เมื่อมีคนนำเื่ของคุณชายไปฟ้อง ท่านโหวก็กลับมาลงโทษคุณชายทุกครั้งเหมือนกันไม่ใช่หรือขอรับ”
หน้าจวนราชครู เม็ดฝนจากชายคาหยดลงบนบันไดสีจางที่เปียกชุ่ม ชะล้างให้ใบไม้สีมรกตบนนั้นมีสีสดและเงางาม จวนราชครูค่อนข้างเงียบเหงา ทั้งยังแลดูเรียบง่ายเป็อย่างมาก ผู้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเป็เด็กผู้ชายที่สูงพอๆ กันสองคน ซึ่งสวมชุดสีเขียวอ่อนไม่ต่างไปจากเฟิ่งสือจิ่น
จวนราชครูมีเด็กผู้ชายเช่นนี้อาศัยอยู่เป็จำนวนมาก เด็กเหล่านี้ต่างก็เป็ศิษย์ของจวินเชียนจี้ พวกเขาเป็ผู้ที่ถูกคัดเลือกมาจากครอบครัวของชาวบ้านทั่วไป ซึ่งจะถูกเปลี่ยนทุกๆ สามปี ประชาชนจำนวนมากในแคว้นจิ้นต่างก็นับถือราชครู พวกเขาต่างเชื่อว่า เพราะมีราชครูอยู่ ฟ้าฝนจึงตกต้องตามฤดู บ้านเมืองจึงอุดมสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรือง แม้แต่จักรพรรดิของแคว้นจิ้นเองก็ผลักดันให้ประชาชนเชื่อเช่นนั้นมาโดยตลอด เหตุนี้ เมื่อครบกำหนดสามปีก็จะมีเด็กผู้ชายมาเข้ารับการคัดเลือกที่จวนราชครูเป็จำนวนมาก มากพอๆ กับการคัดเลือกนางในเลยก็ว่าได้
หนึ่งในเด็กที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบวิ่งเข้าไปในจวน แล้วะโด้วยเสียงอ่อนเยาว์ “ท่านราชครู ท่านสือจิ่นกลับมาแล้วขอรับ!”
เฟิ่งสือจิ่นะโลงจากหลังม้า ทันทีที่เงยหน้าขึ้น นางก็เห็นร่างในชุดสีเขียวพุ่งผ่านต้นไหวที่หน้าประตู และมาหยุดอยู่เบื้องหน้าตนอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใหญ่ของจวินเชียนจี้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ทั้งที่สวมชุดที่แสนธรรมดาไม่ต่างไปจากชุดของนักพรตแท้ๆ แต่เขากลับดูงามสง่าดั่งเทพเซียนผู้แสนสูงส่ง เป็เหมือนเทพเ้าที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ เทพที่สูงส่งจนคนธรรมดาอย่างนางแค่มอง ก็รู้สึกเหมือนเป็การลบหลู่แล้ว
ร่างของเขามีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไหว ในสายตาของเฟิ่งสือจิ่น คนตรงหน้าช่างอบอุ่นไม่ต่างไปจากแสงแดดที่สดใส เขาหยิบข้าวของของเฟิ่งสือจิ่นลงมาจากหลังม้า เ้าสามมัดชอบจวินเชียนจี้มาก มันะโออกมาจากเสื้อของเฟิ่งสือจิ่น แล้วไปยืนอยู่บนไหล่ของเขาแทน อีกด้าน จวินเชียนจี้หันไปมองเ้าสามมัด เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่ได้ไล่ให้มันออกไปเช่นกัน
จวินเชียนจี้ถาม “จัดการเื่บนเขาเสร็จแล้วหรือ ข้าคิดว่าเ้าจะมาถึงวันพรุ่งนี้เสียอีก ความจริง เ้าไม่ต้องเร่งเดินทางแบบนี้ก็ได้”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ท่านอาจารย์ ข้าจัดการเื่บนเขาเสร็จหมดแล้ว ดับไฟในเตาหลอมสมุนไพรแล้ว ประตูกับหน้าต่างก็ลงกลอนหมดแล้วด้วย ศิษย์ยังมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ เลยไม่กล้าเสียเวลาไปเที่ยวเล่นที่ไหน”
จู่ๆ จวินเชียนจี้ก็ยกมือขึ้น เขาหยิบใบไม้แห้งที่เลอะไปด้วยดินโคลนใบหนึ่งออกมาจากเส้นผมของเฟิ่งสือจิ่น นางชะงักลงเล็กน้อย ผิดกับอีกฝ่ายที่ถามราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กลับมาก็ดีแล้ว ทำไมตัวเ้าถึงมีดินโคลนเปื้อนอยู่เช่นนี้?”
เฟิ่งสือจิ่นแหงนหน้ามองอาจารย์พลางยิ้มจนตาหยี “ท่านอาจารย์ ข้าไม่ระวัง เลยล้มระหว่างทางเท่านั้น”