จวินเชียนจี้ไม่ได้ถามต่อให้มากความ เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วพาเฟิ่งสือจิ่นเดินเข้าไปในจวนราชครู ที่นี่แตกต่างจากเขาจื่อหยาง จวนราชครูมีการประดับตกแต่งที่ประณีตงดงาม พืชพรรณเขียวขจี แมกไม้ร่มรื่น เมื่อสายลมพัดผ่าน หยดฝนระยิบระยับที่ค้างอยู่ตามกิ่งไม้ก็ร่วงหล่นลงมา ไม้ดอกในสวนสมบูรณ์งามตา ไม่ว่าจะเป็ศาลากลางสวน หรืออาคารต่างๆ ล้วนถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม จึงดูงดงามจนยากจะพรรณนา
เฟิ่งสือจิ่นกลับไปยังห้องของตน ที่นี่ยังคงสะอาดหมดจด เห็นได้ชัดว่าแม้นางกับจวินเชียนจี้จะไม่อยู่ แต่ที่นี่ก็ยังมีคนทำความสะอาดอยู่เป็ประจำ
น้ำอุ่นถูกเตรียมไว้หลังฉากกั้น เฟิ่งสือจิ่นปลดเสื้อผ้าบนร่างกายออกแล้วะโเข้าไปแช่ในถังน้ำอุ่น หยดน้ำที่ทั้งสะอาดและอบอุ่นโอบอุ้มร่างกายเอาไว้ ทำให้นางรู้สึกสบายตัวเป็อย่างมาก เมื่อครู่ ตอนที่ปลดเปลื้องเสื้อผ้า นางได้ยินเสียงคล้ายโลหะกระทบพื้นเบาๆ เฟิ่งสือจิ่นหลับตาลงเพื่อพักผ่อนชั่วครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วมองไปยังที่มาของเสียง
กริชเก่าๆ เล่มหนึ่งตกอยู่ข้างเสื้อผ้าของนางอย่างโดดเดี่ยว เฟิ่งสือจิ่นหยิบกริชขึ้นมาดูอย่างอดไม่ได้ นางเล่นกริชในมือ พลางลูบััมันเบาๆ เป็เวลานาน แต่ก็ไม่พบว่ากริชเล่มนี้พิเศษตรงไหน สิ่งเดียวที่เป็ข้อดีของมันก็คงจะมีแค่ความคมกริบเท่านั้น
ทว่านางไม่รู้เลยว่าได้กริชเล่มนี้มาจากไหน แล้วทำไมตนถึงพกมันติดตัวตลอดเวลา
ในขณะเดียวกัน เ้าสามมัดะโเข้ามาทางหน้าต่าง มันใช้แขนสั้นๆ ของตัวเองเลื่อนเปิดบานหน้าต่าง แล้วยื่นหัวเข้ามาภายในห้อง พยายามจะมุดเข้ามาจากทางนั้น แต่สุดท้ายร่างเล็กๆ ของมันกลับติดอยู่แบบนั้น เข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้ ทำได้เพียงมองมายังเฟิ่งสือจิ่นด้วยสายตาน่าสงสาร
เฟิ่งสือจิ่นชำระล้างร่างกายจนสะอาด นางลุกออกมาจากบ่อแช่ เพราะี้เีเช็ดหยดน้ำบนร่างกาย จึงหยิบชุดคลุมขึ้นมาสวมทับทั้งที่ร่างกายยังเปียกอยู่ เมื่อผูกเชือกบนชุดคลุมเข้าด้วยกันแล้ว นางจึงเดินไปช่วยเ้าสามมัดออกมาจากหน้าต่าง จากนั้นก็ล้างกริชด้วยน้ำสะอาด เมื่อทำทั้งหมดเสร็จจึงเดินออกไปจากห้องอาบน้ำ
นางเปิดหน้าต่างบานหนึ่งภายในห้องออก แล้วขึ้นไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างโดยงอขาข้างหนึ่งขึ้นเพื่อให้เ้าสามมัดนั่ง เมื่อทำเสร็จจึงใช้กริชเล่มเดิมหั่นแคร์รอตให้เ้าสามมัดกินอย่างที่มักจะทำเป็ประจำ
เ้าสามมัดกินอาหารอย่างมีความสุข ร่างเล็กดีใจจนสั่นเทาขึ้นเบาๆ เฟิ่งสือจิ่นลูบขนนุ่มๆ ของมัน พลางกระซิบพึมพำด้วยรอยยิ้ม “เ้าไม่ได้กลิ่นเืที่เปื้อนอยู่บนกริชหรือไง? ทั้งที่ข้าเพิ่งใช้กริชเล่มนี้กรีดคอของหลิวอวิ๋นชูไปแท้ๆ”
เ้าสามมัดไม่ได้สนใจอะไร มันฟังไม่รู้เื่ด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าแคร์รอตในมือช่างรสเลิศเสียจริง
เฟิ่งสือจิ่นเอนกายไปพิงขอบหน้าต่าง นางคล้อยตามองเ้าสามมัดอย่างสงบก่อนจะพูดขึ้น “ข้าจำเฟิ่งสือหนิงได้ ไม่เจอกันเพียงหกปี ได้ข่าวว่านางแต่งงานกับซูกู้เหยียน และกลายเป็พระชายาแห่งองค์ชายสี่ไปแล้ว ข้ายังไม่มีโอกาสไปร่วมงานวิวาห์ของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ แต่มาวันนี้ พอได้เจอด้วยตัวเองข้าถึงรู้ว่าที่นางไม่เชิญข้าไปร่วมงาน เพราะสามีของนางไม่ใช่คนที่สามารถนำไปโอ้อวดกับใครๆ ได้นี่เอง ที่แท้องค์ชายสี่ก็ไม่ได้เลิศเลออย่างที่ใครๆ ว่ากัน หากจะว่ากันด้วยเื่ของหน้าตา เขารูปงามสู้ท่านอาจารย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ หากจะว่ากันด้วยเื่ของสง่าบารมีและความเป็สุภาพบุรุษ... ของแบบนั้นกินไม่ได้เสียหน่อย ไม่เห็นสำคัญอะไร เ้าว่าไหม?”
เฟิ่งสือจิ่นหมุนกริชในมือเล่นไปพลางๆ นางมองคมมีดในมืออยู่นาน แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงแ่เบา “แต่ว่า ข้าจำไม่ได้เลยว่าเฟิ่งสือหนิงให้กริชเล่มนี้กับข้าั้แ่เมื่อใด ตอนนี้องค์ชายสี่ยังคิดจะยึดกลับไปอีก ใจแคบ หน้าเืจริงๆ เดิมที กริชเล่มนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับข้าหรอกนะ ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าใช้มันหั่นแคร์รอตให้เ้าได้คล่องมือและสะดวกกว่ามีดเล่มอื่นๆ เท่านั้น”
ในความทรงจำของเฟิ่งสือจิ่น วันนี้เป็ครั้งแรกที่นางได้พบกับซูกู้เหยียน และนางก็ไม่ประทับใจกับคนที่ชื่อซูกู้เหยียนคนนี้เลยสักนิด นางยังจำเหตุการณ์ในอดีตได้ดี มีเพียงเื่ที่นางฝ่าฝนกลับมาที่เมืองหลวงอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อสามปีก่อนเท่านั้นที่หายไปจากความทรงจำ เื่ที่เกี่ยวข้องกับซูกู้เหยียนก็ถูกลบออกไปจากสมองจนหมดสิ้น นางคิดว่าตนฝึกวิชาอยู่บนเขาจื่อหยางมาตลอดหกปี โดยไม่ได้กลับเมืองหลวงแม้แต่ครั้งเดียว
ห้องนอนทั้งสะอาดและเรียบหรู นอกห้องมีแมกไม้เขียวขจี สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เมื่อนางพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากในสวน หลังแหงนหน้าขึ้นไปมอง นางพบว่าบนทางเดินสายเล็กที่มีร่มไม้ปกคลุม จวินเชียนจี้กำลังเดินมาทางนี้ด้วยท่าทางใจเย็น เพราะมีร่มไม้ทึบ เบื้องล่างจึงแทบจะไม่มีสายฝนลอดผ่านเข้ามาเลยสักหยด จวินเชียนจี้ไม่ได้กางร่มมาด้วย ร่างในชุดสีเขียวขุ่นของเขาหลอมเข้ากับเงาใต้ร่มไม้ได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อจวินเชียนจี้เดินมาจนสุดทาง ร่างกายจึงต้องออกมาเผชิญกับหยาดฝนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ร่างสง่าเปียกชื้นขึ้นเล็กน้อย เส้นผมกึ่งแห้งกึ่งเปียกสยายอยู่กลางหลัง ช่างเป็ชายที่รูปงามอะไรเช่นนี้
เฟิ่งสือจิ่นยืดตัวตรง นางเตรียมจะะโลงมาจากหน้าต่างเพื่อหาร่มไปกางให้จวินเชียนจี้ แต่จวินเชียนจี้กลับเดินออกมาจากร่มไม้ แล้วเดินก้าวยาวๆ มาหยุดอยู่หน้าห้องของเฟิ่งสือจิ่นอย่างใจเย็น เขาสะบัดเสื้อผ้าบนร่างกายเบาๆ เพื่อไล่หยดฝน ชายคนนี้เป็ดั่งสายลมที่เย็นชื่นใจ แต่ก็สง่าและสูงส่งไม่ต่างไปจากเทพเซียนที่ทรงอำนาจ
เฟิ่งสือจิ่นะโลงมาจากหน้าต่าง นางอุ้มเ้าสามมัดเข้าไปหาอาจารย์ เพราะหาผ้ามาเช็ดน้ำบนใบหน้าและร่างกายของจวินเชียนจี้ไม่ได้ เฟิ่งสือจิ่นจึงใช้เ้าสามมัดเป็ผ้าขนหนู ยื่นมันเข้าไปเช็ดใบหน้าของอาจารย์โดยไม่คิด ใครใช้ให้เ้าสามมัดกินแคร์รอตของนางเข้าไปล่ะ มาตอนนี้ มันจึงจำเป็ต้องให้ความร่วมมือโดยการอยู่นิ่งๆ แสร้งทำเป็ผ้าขนหนูอย่างที่เห็น จวินเชียนจี้ขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ อีกด้าน เฟิ่งสือจิ่นที่กำลังเช็ดฝนให้อาจารย์อย่างขะมักเขม้นพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ มาหาข้าทำไมหรือ?”
จวินเชียนจี้มองใบหน้านาง ก่อนจะลดระดับสายตาลงเล็กน้อย วินาทีนั้น จู่ๆ ร่างใหญ่ก็ชะงักลงอย่างกะทันหัน เขาหันหน้าไปอีกทาง พลางพูดด้วยเสียงเข้มงวด “สวมเสื้อผ้าให้เสร็จก่อน แล้วค่อยออกมาข้างนอก”
เฟิ่งสือจิ่นมองตามสายตาของอีกฝ่าย พบว่าตนยังไม่ได้ผูกเชือกที่หน้าอกให้ดี แถมชุดที่สวมในตอนนี้ก็ค่อนข้างบาง จึงสามารถมองเห็นรูปร่างของนางได้ไม่ยาก เฟิ่งสือจิ่นได้ยินอาจารย์พูดดังนั้น ก็เพียงขานตอบด้วยเสียงราบเรียบราวไม่ใส่ใจ “อ้อ... ข้ารู้แล้ว” เมื่อพูดจบก็หมุนตัวกลับไปที่ห้องของตนเพื่อสวมเสื้อผ้าตามคำสั่ง
เมื่อหกปีก่อน นางเป็แค่เด็กอายุสิบสาม ตอนที่จวินเชียนจี้รับนางเข้าเป็ศิษย์ ร่างของนางยังผอมแห้ง ไร้สัดส่วน เหตุนี้ จวินเชียนจี้กับนางจึงไม่เคยเว้นระยะห่างจากกัน หรือถือเื่มารยาทระหว่างชายหญิงมาก่อน แต่ตอนนี้ เวลาล่วงผ่านมานานถึงหกปี เฟิ่งสือจิ่นไม่เหมือนเดิมแล้ว ่ที่อยู่บนเขา เฟิ่งสือจิ่นฝึกฝนร่างกายมาโดยตลอด สัดส่วนจึงกระชับได้รูปไปด้วย
เฟิ่งสือจิ่นไม่มองว่าจวินเชียนจี้เป็คนอื่นคนไกล จึงยังทำตัวตามสบายเหมือนตอนเด็กๆ แต่จวินเชียนจี้จะไม่ใส่ใจเื่นี้ไม่ได้ เขาคอยเตือนนางอยู่หลายครั้ง แต่นางก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัยเสียที
ระหว่างที่เฟิ่งสือจิ่นกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง จวินเชียนจี้ที่รออยู่หน้าประตูก็อุ้มเ้าสามมัดพลางลูบขนของมันอย่างเบามือ “พรุ่งนี้เช้า เ้าเข้าวังไปพร้อมกับข้า เราต้องนำยาะไปถวายให้ฝ่าา อีกอย่าง ่นี้พระสนมอวี๋ไม่ค่อยสบาย เมื่อถวายยาให้ฝ่าาเสร็จ เ้าตามข้าไปดูอาการของพระสนมเสียหน่อย” เขาบอก
เฟิ่งสือจิ่นขานตอบ “รับทราบ” ในเมื่อกลับเมืองหลวงแล้ว เฟิ่งสือจิ่นย่อมต้องติดตามจวินเชียนจี้ไปทุกที่เป็ธรรมดา เขาเองก็อยากสอนเื่ราวเหล่านี้แก่เฟิ่งสือจิ่นมาตั้งนานแล้ว ไม่เช่นนั้น นางจะรับ่ต่อจากเขาได้อย่างไร เมื่อคิดได้ดังนั้น เฟิ่งสือจิ่นก็ไม่อยากให้จวินเชียนจี้ต้องผิดหวังในตัวนางเอาเสียเลย
จวินเชียนจี้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอีกครั้ง “สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ออกมากินมื้อเย็นกันเถอะ”
“ข้าทราบแล้ว อาจารย์”
เมื่อเฟิ่งสือจิ่นสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้องอีกครั้ง จวินเชียนจี้ก็ไม่อยู่แล้ว
ฤดูใบไม้ผลิมีอากาศเย็นสบาย สายฝนที่ตกพรำในยามราตรีช่วยให้สรรพสิ่งชุ่มชื้น และทำให้นางหลับสบายทั้งคืน เฟิ่งสือจิ่นหลับสนิทเป็อย่างมาก เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งในรุ่งเช้า นางที่เดินไปเปิดหน้าต่างก็พบว่าท้องฟ้ากลับมาสดใสแล้ว
เพราะยังเป็่เข้าตรู่ ท้องฟ้าสีครามจึงยังมีแสงสีแดงประดับอยู่ ดวงตะวันในยามนี้เป็สีแดงเข้ม ราวกับเด็กที่กำลังอัดอั้นจนหน้าแดงก่ำ คล้ายอยากเผยตัวออกมาจากเงามืดเต็มทนแล้ว