หมัดที่หลิวอวิ๋นชูเหวี่ยงเข้ามาถูกเฟิ่งสือจิ่นจับ และบิดไปอีกทางอย่างง่ายดาย แถมการกระทำนี้ยังสร้างความเ็ปให้หลิวอวิ๋นชูไม่น้อย ขาที่เตรียมจะยกขึ้นถีบก็ถูกเฟิ่งสือจิ่นเหยียบเอาไว้ นางออกแรงเหยียบและบี้อย่างแรง หลิวอวิ๋นชูสูดลมหายใจเฮือก เขาเจ็บจนเหงื่อท่วม แต่เฟิ่งสือจิ่นยังไม่หยุดลงเพียงเท่านั้น นางดึงคอเสื้อของหลิวอวิ๋นชูขึ้นมา พลางเหวี่ยงหมัดตรงไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ลูกสมุนที่มาด้วยกันหรือจะกล้าเล่นตุกติกในเวลาเช่นนี้ หลิวอวิ๋นชูหลับตาลงด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ลูกสมุนทั้งหลายก็หวาดเสียวจนอดหลับตาตามไม่ได้
หมัดหนักเหวี่ยงเข้ามาใกล้ และหยุดลงในจุดที่ห่างจากใบหน้าของหลิวอวิ๋นชูเพียงไม่ถึงคืบ ในขณะเดียวกัน เฟิ่งสือจิ่นส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันขึ้นเบาๆ
หลิวอวิ๋นชูทั้งโกรธทั้งอาย เขาดิ้นทุรนทุรายพลางร้องคำรามเสียงสนั่น “เข้ามาพร้อมกันเลย! พวกเรามีตั้งเยอะ ข้าไม่เชื่อว่าจะจัดการกับนางคนเดียวไม่ได้!”
เฟิ่งสือจิ่นพูดอย่างขบขัน “แต่เ้ายังอยู่ในกำมือข้านะ”
หลิวอวิ๋นชูหันไปบอกกับลูกสมุนที่ยังเอาแต่ลังเล “ไม่ต้องสนใจข้า ใครต่อยนางได้ ข้าจะให้หมัดละสิบตำลึงทอง รีบจัดการนางสิ!” เมื่อสิ้นเสียง ลูกสมุนทั้งหลายก็มีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าในตอนที่พวกเขากำลังยืดเส้นยืดสาย เตรียมจะเข้ามาแสดงฝีมือนั้น จู่ๆ หลิวอวิ๋นชูก็รู้สึกเย็นเยียบที่ลำคอ จึงรีบกรีดร้องขึ้น “รอก่อน... รอเดี๋ยว!”
เมื่อมองอีกที พวกเขาพบว่าที่คอของหลิวอวิ๋นชูมีกริชคมกริบจ่ออยู่ั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ฝักของกริชถูกเฟิ่งสือจิ่นคาบเอาไว้ด้วยปาก มันเป็ฝักที่เต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง คล้ายมีอายุเก่าแก่มากแล้ว เหลือเพียงอัญมณีสีแดงที่ประดับอยู่บนนั้น ที่ยังคงระยิบระยับงดงามไม่เปลี่ยน
เฟิ่งสือจิ่นฉายรอยยิ้มขึ้นทางแววตา นางพูดด้วยเสียงคลุมเครือ “เป็อะไรไป กลัวเสียแล้วหรือ?”
กลัว หลิวอวิ๋นชูย่อมต้องกลัวอยู่แล้ว เขาเป็นักเลงประจำถิ่นก็จริง แต่ที่ผ่านมา อาวุธของเขามีแค่ไม้ ยังไม่เคยใช้มีดดาบมาก่อน แถมยังไม่เคยทำร้ายใครถึงชีวิต มาตอนนี้ เขากลัวเหลือเกินว่าหากตนกล้าขัดขืนแม้แต่น้อย อาจถูกฆ่าตายเลยก็ได้ หลิวอวิ๋นชูกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ถ้าแน่จริงก็สู้มือเปล่ากับพวกเราสักตั้งสิ เล่นลูกไม้แบบนี้ เ้ามันไม่ใช่วีรบุรุษ ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย!”
เฟิ่งสือจิ่นบอก “สู้มือเปล่างั้นหรือ? ข้าไม่ได้โง่เหมือนเ้าเสียหน่อย อีกอย่าง ข้าก็ไม่ใช่วีรบุรุษมาั้แ่แรกแล้ว”
“เ้า... เ้า้าอะไรกันแน่?”
เฟิ่งสือจิ่นใช้เท้าเขี่ยเงินที่ตกอยู่บนพื้นไปที่ปลายเท้าของหลิวอวิ๋นชูพลางบอก “เงินข้าก็ให้ไปแล้ว แต่เ้าก็รู้ว่าเงินไม่ได้หากันง่ายๆ ดังนั้น เ้าจะเรียกดีๆ หรือต้องให้ข้าใช้กำลัง?”
“รังแกกันเกินไปแล้ว! เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับเ้าแม้แต่น้อย เ้าสมองมีปัญหาหรือไง ถึงได้เข้ามายุ่งไม่เข้าเื่แบบนี้! บิดาของข้าใช่คนที่เ้าจะเป็ได้ที่ไหน บิดาของข้าเป็ถึง...” ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นเบื้องหน้า คล้ายใครบางคนกำลังควบม้าผ่านไป หลิวอวิ๋นชูเห็นดังนั้นก็มีท่าทีดีอกดีใจเป็อย่างมาก เขารีบะโขึ้น “องค์ชายสี่! องค์ชายสี่ ตรงนี้มีหญิงสามหาว คิดจะทำร้ายข้า องค์ชายสี่ ช่วยข้าด้วย!”
เห็นได้ชัดว่าเสียงของหลิวอวิ๋นชูส่งไปถึงอีกฝ่ายสำเร็จ ชายที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้าอย่างกะทันหัน ไม่นานเขาก็ควบม้ามุ่งมาทางนี้
เฟิ่งสือจิ่นหรี่ตาลง นางเงยหน้ามองไปตามเสียง ภายใต้ท้องนภาสีครึ้ม คนในชุดสีขาวกำลังควบม้ามุ่งมาทางนี้ ลมที่แฝงไปด้วยไอชื้นของสายฝนลูบผ่านร่างกาย เส้นผมสองกระจุกที่หน้าผากคล้อยต่ำลงมา ใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบ ราวหยกชั้นดีซึ่งงดงามที่สุดเท่าที่เฟิ่งสือจิ่นเคยพบเห็นในชีวิต น่าเสียดายที่คนผู้นี้ไม่ได้แลดูอบอุ่นอ่อนหวานอย่างที่ควรจะเป็ แต่กลับดูเย็นะเืและด้านชาอย่างบอกไม่ถูก
เขาก็คือองค์ชายสี่ที่หลิวอวิ๋นชูร้องขอความช่วยเหลือ ซูกู้เหยียนนั่นเอง
เพียงพริบตาเดียว ซูกู้เหยียนก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้า หลิวอวิ๋นชูพยายามจะขยับเข้าไปใกล้ แต่เฟิ่งสือจิ่นไม่ยอมปล่อยมือ การกระทำนี้ทำให้มีดที่จ่ออยู่บนลำคอกรีดเข้าไปในิัของหลิวอวิ๋นชู เืสดรินไหลออกมาด้านนอก หลิวอวิ๋นชูเห็นว่าองค์ชายสี่อยู่ตรงหน้าจึงใจกล้าขึ้นหลายเท่า เขาตวาดใส่เฟิ่งสือจิ่น “เ้าประชาชนชั้นต่ำ ช่างบังอาจนัก ยังไม่รีบปล่อยมืออีก! เ้าใช้มีดทำร้ายผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าองค์ชายสี่ ควรได้รับโทษอย่างสาสม!”
เฟิ่งสือจิ่นมองซูกู้เหยียนอย่างไม่ละสายตา อีกด้าน ซูกู้เหยียนเองก็เห็นนางทันทีที่ปรายตามอง และนั่นก็ทำให้เขาชะงักนิ่งลงชั่วขณะ เฟิ่งสือจิ่นอดคิดไม่ได้ว่าสมแล้วที่องค์ชายสี่โด่งดังไปทั่วแผ่นดิน แถมยังทำให้สาวโสดจำนวนนับไม่ถ้วนพากันลุ่มหลง ขณะมองมาที่นาง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นก็แลดูล้ำลึกจนยากจะแกะความหมาย เหมือนเป็ธารน้ำแข็งที่หลอมละลายเพราะแสงตะวันอันอบอุ่น แต่ก็คล้ายน้ำแข็งพันปีบนยอดเขาสูงที่ไม่สามารถละลายลงได้ ราวกับว่าแววตาคู่นั้นอัดแน่นไปด้วยเื่ราวนับแสนล้าน ช่างงดงามเหลือเกิน
ซูกู้เหยียนมองเฟิ่งสือจิ่นอย่างสงบ เขาเองก็คงคิดไม่ถึงว่าหลังผ่านมานานถึงสามปี ตนจะได้พบกับหญิงจอมดื้อคนนี้อีกครั้งกลางถนนเช่นนี้ นางยังคงบ้าบิ่นและดื้อดึงไม่ต่างไปจากเดิม
เฟิ่งสือจิ่นถอนสายตากลับมา นางมองดูเืที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากลำคอของหลิวอวิ๋นชูพลางพูดขึ้น “คิดจะกำราบฝูงโจร ก็ต้องกำจัดหัวหน้าโจรให้ได้ก่อน เ้ามีพวกพ้องมากมาย แต่ข้ามีแค่ตัวคนเดียว เลยต้องจับเ้ามาเป็ตัวประกันเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าเ้าจะมีตัวช่วยอื่นอีก เมื่อครู่ทุกคนต่างก็เห็นว่าข้าไม่ได้ขยับเลยสักนิด เ้าเองต่างหากที่เอาแต่ดิ้นจนได้รับาเ็”
ซูกู้เหยียนลดระดับสายตาลงเล็กน้อย จนไปหยุดอยู่บนฝักกริชที่เฟิ่งสือจิ่นคาบเอาไว้ “นี่มันเื่อะไรกันแน่?” เขาถาม
หลิวอวิ๋นชูโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ เขารีบฟ้องอย่างไม่รอช้า “องค์ชายสี่ ท่านก็เห็นแล้วว่าหญิงชาวบ้านคนนี้ใช้กริชข่มขู่ และจับข้าเป็ตัวประกัน ข้าไม่รู้จักนาง แถมยังไม่มีความแค้นกันมาก่อน อย่างไรเสียข้าก็เป็ถึงทายาทแห่งท่านโหว แต่นางกลับบังอาจทำกับข้าเช่นนี้ ช่างสามหาว ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย! ไม่แน่ นางอาจเป็มือสังหารที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงเพื่อลอบสังหารขุนนางชั้นสูงก็ได้! องค์ชายสี่ ท่านต้องจับตัวนางไปสืบสวน แล้วทรมานให้นางพูดความจริงนะขอรับ!”
องค์ชายสี่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เฟิ่งสือจิ่นพูดอย่างใจเย็น “แล้วทำไมข้าถึงจับเ้าเป็ตัวประกันแบบนี้ล่ะ?”
หลิวอวิ๋นชูนิ่งเงียบลงชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น “ก็เพราะเ้ามันสติไม่สมประกอบไงล่ะ?” เขากวาดตามองลูกสมุนทั้งหลาย คนเ่าั้จึงรีบพยักหน้า แล้วพูดสนับสนุนว่าเฟิ่งสือจิ่นเป็หญิงสติไม่ดี
ซูกู้เหยียนมองเงินที่ตกอยู่บนพื้นอย่างพิจารณา ราวกำลังรอคำอธิบายจากเฟิ่งสือจิ่น
เฟิ่งสือจิ่นมองไปที่มุมถนน พบว่าบัดนี้คู่รักชายหญิงที่น่าสงสารคู่นั้นไม่อยู่แล้ว พวกเขาหนีไปั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ประชาชนที่เคยมุงอยู่รอบๆ ก็แยกย้ายกันไปจนหมด “ท่านชายผู้นี้อยากใช้เงินจ้างคนอื่นมาเป็ลูกชาย ข้าเลยอยากจ้างให้ท่านชายมาเป็ลูกชายของข้าบ้างก็เท่านั้น ในเมื่อท่านชายทำได้ แสดงว่าข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน หรือที่นี่ให้สิทธิ์แค่กับชนชั้นสูง แต่ไม่สนใจประชาชน? องค์ชายสี่ โปรดประทานอภัยให้ข้าด้วย แต่ท่านชายกับลูกสมุนเหล่านี้คิดจะทำร้ายข้า ข้าย่อมสู้ไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะไม่มีทางเลือก จึงต้องใช้วิธีนี้ ที่ข้าทำไปก็เพื่อป้องกันตัวเอง” นางอธิบาย
หลิวอวิ๋นชูทำเื่เหลวไหลมามากจนนับไม่ถ้วน ซูกู้เหยียนได้ฟังดังนั้นก็พอจะเดาเื่ราวได้บ้างแล้ว เมื่อไปถามจากประชาชนที่อยู่รอบๆ ย่อมรู้ต้นสายปลายเหตุได้ไม่ยาก
ซูกู้เหยียนหันไปมองเฟิ่งสือจิ่นพลางพูดขึ้น “ปล่อยเขาไป แล้วข้าจะไม่เอาผิดเ้า”
ยังไม่ทันที่เฟิ่งสือจิ่นจะได้พูดอะไร หลิวอวิ๋นชูก็ร้อนรนขึ้นมาก่อน “ไม่ได้นะ ท่านต้องจับนางไปลงโทษสิ!”
ซูกู้เหยียนหันไปมองเขาด้วยสายตาเ็า มันเป็สายตาที่แฝงไปด้วยความกดดันและบีบคั้นที่หนักหน่วงจนยากจะอธิบาย “หากท่านชายอยากทำเื่นี้ให้เป็เื่ใหญ่ เช่นนั้น ข้าจะจับนางไปส่งให้ทางการ ให้พวกเขาเข้ามาตรวจสอบเื่นี้อย่างละเอียด เมื่อถึงตอนนั้น ใครผิดใครถูกย่อมว่ากันไปตามหลักฐาน แต่ข้าคิดว่าท่านโหวเองก็คงไม่อยากให้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น”
เมื่อได้ยินซูกู้เหยียนพูดถึงบิดา หลิวอวิ๋นชูก็เกิดปอดแหกขึ้นมา หากท่านพ่อรู้ว่าเขาทำเื่โง่เง่าเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนทั้งเมืองละก็ เขาต้องถูกเฆี่ยนแน่
เมื่อเห็นว่าหลิวอวิ๋นชูเงียบไป ซูกู้เหยียนจึงหันไปถามเฟิ่งสือจิ่นด้วยเสียงแบบเดียวกัน “ยังไม่ปล่อยมืออีกหรือ?”