“บ่าว...ทราบแล้วเ้าค่ะ” ทิงเยว่พยักหน้าทั้งที่ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
“ทิงเยว่ หากเ้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของข้า ข้าจะปล่อยเ้าไปพร้อมกับให้ทุนรอนไปตั้งตัวอีกก้อนหนึ่ง”การจะให้คนที่ไม่เคยผ่านความเ็ปทรมานเข้าใจถึงความขมขื่นที่นางเคยประสบคงเป็ไปไม่ได้เหยาโม่หว่านไม่นึกถือโทษโกรธเคืองทิงเยว่แม้แต่น้อย แต่ก็มิอาจเหนี่ยวรั้งคนที่เคลือบแคลงสงสัยในการตัดสินใจของตนเองไว้ข้างกายเช่นเดียวกัน
“ในสายตาของทิงเยว่ ไม่ว่าคุณหนูจะทำสิ่งใดล้วนถูกต้องเสมอจากนี้ไปขอแค่คุณหนูออกคำสั่ง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต บ่าวก็ไม่นึกเสียดายเ้าค่ะ”ทุกถ้อยคำทุกประโยคของทิงเยว่ล้วนมั่นคงหนักแน่น
“อากาศเริ่มหนาวแล้ว กลับกันเถิด” เหยาโม่หว่านเม้มริมฝีปากยิ้มบางๆ ให้กับสาวใช้คนสนิท นางเชื่อว่าต้องมีสักวันที่ทิงเยว่จะเข้าใจความหมายที่ตนเองสื่อออกไปเพียงแต่ตอนนี้นางควรจะหลับให้สบายสักตื่น
วันรุ่งขึ้น เหยาถูเขียนรายงานสถานการณ์เพลิงไหม้เล็กน้อยในห้องเก็บฟืนให้เ้านายรับทราบเหยาเจิ้นถิงเองไม่เคยนำพาต่อเื่จุกจิกเหล่านี้เป็ทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเพียงแค่กำชับพอเป็พิธีแล้วปล่อยผ่านไปนับเป็เื่ที่จัดการเสร็จเรียบร้อยอย่างง่ายดาย
“เื่พิธีบรมศพของหวงโฮ่วจัดการไปถึงไหนแล้ว?”เหยาเจิ้นถิงเอ่ยถามพลางเอนกายบนเก้าอี้ จักรพรรดิทรงประกาศทั่วใต้หล้าว่าหวงโฮ่วตด้วยสาเหตุพระครรภ์ประสูติยากพิธีศพของเหยาโม่ซินจึงต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ตามธรรมเนียมให้สมเกียรติพระอัครมเหสี จวนอัครเสนาบดีเป็ตระกูลมารดาจึงต้องมีการห่มเสื้อป่านไว้ทุกข์และอยู่เฝ้าพระศพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“เรียนนายท่าน เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับเหลือรอให้สำนักราชวังกำหนดวันลงมาเท่านั้น” เหยาถูรายงานอย่างนอบน้อม
“เอาล่ะ เ้าออกไปเถิด” เหยาเจิ้นถิงใช้ปลายนิ้วคลึงที่ขมับอย่างนุ่มนวลเื่คาวโลกีย์ระหว่างเหยาโม่ซินกับ ซู่ชินหวางมีโทษมหันต์แม้ตายก็ไม่สาสมกับความผิดที่ก่อไว้ ถึงตอนนี้ตนเองได้แต่ภาวนาขออย่าให้เื่ของเหยาโม่ซินมีผลทำให้สกุลเหยาในสายพระเนตรของฝ่าาเกิดการสั่นคลอนมิเช่นนั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย
“นายท่าน...เื่ของโหลวอวี้ซินจัดการหมดจดแล้วส่วนคณะละครอวิ๋นเต๋อก็เผ่นออกจากเมืองหลวงไปเรียบร้อย ไม่มีทางหวนกลับมาอีกอย่างแน่นอนขอรับ”เหยาถูกระซิบรายงาน
“ถึงสังหารคนผู้นั้นไปก็ใช่ว่าจะหายแค้น หากไม่เพราะบุตรสาวของนางมีฐานะเป็ถึงกุ้ยเฟยป่านนี้เหล่าฟูคงสับหญิงแพศยานั่นเป็ชิ้น ๆ ด้วยมือของตนเองไปแล้ว” เหยาเจิ้นถิงหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งพูดน้ำหนักมือที่ขมับยิ่งออกแรงหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“หมดธุระแล้ว บ่าวขอตัวก่อนนะขอรับ”เหยาถูไม่มากวาจามาั้แ่ไหนแต่ไร จึงเป็หนึ่งในสาเหตุที่เขาได้รับความไว้วางใจจากเหยาเจิ้นถิงตลอดมา
เรือนหนิงหวา
แสงตะวันลอดผ่านเส้นตัดสี่เหลี่ยมของกรอบหน้าต่างทอดเงาลงมาบนเตียงดวงเนตรภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทเกลือกกลิ้งไปมาอย่างลนลาน เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผากมือทั้งสองข้างแข็งเกร็งขยุ้มผ้าปูที่นอนจนเป็รอยยับย่น
“อ๊าย...จ้งเอ๋อร์!” เหยาโม่หว่านส่งเสียงกรีดร้องก่อนทะลึ่งพรวดขึ้นมานั่งหอบหายใจหนักหน่วง แม้แต่ในความฝัน ภาพในตำหนักเย็นคืนนั้นยังคงแจ่มชัดในห้วงความคิดจนนางรู้สึกเหมือนตัวอยู่ในสถานการณ์จริง
“คุณหนูเป็อะไรไปหรือเปล่าเ้าคะ?” พอทิงเยว่ได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งเข้ามาเอ่ยถามด้วยความวิตกกังวล
“ไม่เป็ไร...แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง หลิวสิ่งมาหรือยัง?”เหยาโม่หว่านลอบปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งแม้แต่คราบให้เห็น ทั้งปรับลมหายใจจนกลับมาสม่ำเสมอเป็ปรกติ
“มาแล้ว รออยู่ที่ห้องรับแขกเ้าค่ะ” ทิงเยว่ตอบไปตามความจริง
“แล้วทำไมถึงไม่มาปลุกข้าเล่า? ไปเอาเสื้อผ้ามาเดี๋ยวนี้เลย”เหยาโม่หว่านเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง คะเนว่าน่าจะใกล้ยามอู่[1]แล้ว
“บ่าวเห็นคุณหนูดูอ่อนเพลียมาก เลยไม่กล้าปลุกเ้าค่ะ”พอเห็นเ้านายดูกระวนกระวายใจ ทิงเยว่ก็รีบไปหยิบอาภรณ์ที่ชั้นวางออกมาทันที และมาช่วยปรนนิบัติล้างหน้าล้างตาจัดแจงแต่งตัวให้
ขณะที่เหยาโม่หว่านเดินออกมาจากในห้อง หลิวสิ่งยืนรออยู่กลางห้องรับแขกอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
“ไฉนถึงไม่นั่งรอล่ะ?” เหยาโม่หว่านเอ่ยถามอย่างสงสัย
“หลิวสิ่งเป็บ่าว ไหนเลยจะกล้านั่งรอคุณหนูผู้เป็นายเล่าขอรับ”ทันทีที่เห็นเหยาโม่หว่านออกมาปรากฏตัว ความสุขและความเบิกบานใจพลันทอวาบเป็ประกายในแววตาของชายหนุ่มเหยาโม่หว่านที่สังเกตเห็นทุกสิ่ง ก็ได้แต่เก็บความรู้สึกจนใจไว้ภายใต้ก้นบึ้ง
“โหลวอวี้ซินตายแล้ว?” เหยาโม่หว่านไม่รบเร้าให้อีกฝ่ายนั่งลงการที่เขาตระหนักได้ถึงสถานะและความสัมพันธ์เช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว ความรู้สึกจะได้ไม่ถลำลึกไปมากกว่านี้อันจะทำให้ตนเองต้องลำบากใจภายหลัง
“คุณหนูคาดการณ์ได้แม่นยำราวกับเทพเซียนโดยแท้ เมื่อคืนหลิวสิ่งสะกดรอยตามโหลวอวี้ซินจึงพบว่าเขาถูกคนสวมชุดอำพรางใบหน้าสามสี่คนรุมซ้อมจนตายเข้าพอดีขอรับ” สายตาของหลิวสิ่งที่มองเหยาโม่หว่านเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
...
เชิงอรรถ
[1] ยามอู่ หรือยามมะเมีย หมายถึง่เวลาระหว่าง11.00-12.59 น.