“เ้ายังเชื่อคำพูดของนางอีกหรือ? เ้าไม่รู้หรือว่านางปรารถนาให้เ้าตายมาตลอด?” เมื่อเห็นกงเจวี๋ยยอมรับโดยปริยายกงอี่โม่จึงโกรธที่อีกฝ่ายทำตัวไม่ได้ดั่งใจ
กงเจวี๋ยหลับตาเขายังคงนิ่งเงียบต่อไป
“นางพูดอะไรกับเ้าจึงทำให้เ้าทำตัวห่างเหินกับข้าเช่นนี้” กงอี่โม่เดือดจัดยิ่งกว่าเดิมทว่าในขณะที่นางกำลังโกรธจัดนั้น นางยังรู้สึกเสียใจด้วยเช่นกัน
“เดิมทีข้าคิดว่า พวกเราต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน ความผูกพันลึกซึ้งยิ่งกว่าพี่น้องที่แท้จริงเสียอีกแต่คาดไม่ถึงว่าเ้าจะถูกคนอื่นยุยงได้ง่ายดายเช่นนี้ ช่างน่าเจ็บใจนักข้าเสียใจเหลือเกิน” ขณะที่กล่าวประโยคนี้นั้น น้ำเสียงของนางอ่อนระโหย
เมื่อกล่าวจบ นางจึงพลิกตัวมุดนอนในผ้าห่ม ท่าทางโกรธจัดจนหมดแรงนางร้องไห้สะอึกสะอื้น กงเจวี๋ยพลันตื่นตระหนก เขารู้สึกว่าบางทีเสด็จพี่อาจเห็นถึงความผูกพันมานานหลายปีจนไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเื่เช่นนี้แต่อีกด้านเขากลัวว่าหากเสด็จพี่รู้เื่นี้แล้วอาจโกรธจัดทว่าเขาคิดว่าเขาควรเชื่อเสด็จพี่อีกครั้ง เพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจ
“เสด็จพี่ ท่านอย่าร้องไห้เลย ข้าพูดเอง”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้กงอี่โม่จึงลุกขึ้นนั่งทันทีใบหน้าของนางไม่เหลือร่องรอยการร้องไห้แม้แต่น้อย กงเจวี๋ยถอนหายใจเบาๆในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้นเล็กน้อย เขาบอกให้คนอื่นออกไปก่อน จากนั้นจึงเล่ารายละเอียดคำพูดของหลิ่วเสียนเฟยที่กล่าวในวันนั้นออกมาทั้งหมด
เมื่อกล่าวจบเขาไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยสักนิดเวลานี้เขากลับรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม ทว่าความอึดอัดกลายเป็ความทรมานเพราะกงอี่โม่นิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด
“เป็เพราะหลิ่วเสียนเฟยพูดกับเ้า บอกว่ามารดาของข้าถูกมารดาของเ้าฆ่าส่วนมารดาของเ้าก็เสียชีวิตเพราะการตายของมารดาของข้า ดังนั้นเ้ากังวลว่าข้าจะโกรธแค้นในเื่นี้หลายวันมานี้จึงพยายามหลบหน้าข้ามาตลอด”
กงเจวี๋ยััได้ว่าน้ำเสียงของเสด็จพี่เต็มไปด้วยความโกรธจัดเขาไม่ได้กล่าวอะไร
“ซินเอ๋อร์”
หลังจากนิ่งเงียบไปนานพอสมควรกงอี่โม่พลันะโเสียงสูง ซินเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อนนางเหลือบมองกงเจวี๋ยอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงกล่าวเสียงเบา“องค์หญิงรับสั่งอะไรหรือเพคะ?”
“ไปหยิบกระบี่ของข้ามา”
“องค์หญิง ไม่ได้นะเพคะ ค่อยๆพูด ค่อยๆ จานะเพคะ ค่อยๆ คุยกันนะเพคะ” ซินเอ๋อร์ใ นางรีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที
“จะพูดอะไรอีก ข้าบอกให้เ้าไปก็ไปสิ เร็ว” กงอี่โม่พลันกล่าวเสียงสูงซินเอ๋อร์ใสะดุ้งทันที นางเหลือบมองกงเจวี๋ยที่มีท่าทางใด้วยสายตากังวลนางก้มหน้าเดินออกไป เพียงไม่นานนางก็หยิบกระบี่กลับเข้ามา
กงอี่โม่กะน้ำหนักกระบี่อยู่ชั่วครู่นางชูกระบี่เดินสองสามก้าวหยุดที่เบื้องหน้าของกงเจวี๋ยจากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “เงยหน้าขึ้นมา”
กงเจวี๋ยเม้มริมฝีปากแน่น เขาเงยหน้าเล็กน้อยดวงตาสีน้ำหมึกสะท้อนประกายเ็ปโดยไม่อาจปิดบังเสด็จพี่จะลงมือสังหารตนเพราะเื่นี้อย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กงเจวี๋ยพลันรู้สึกสิ้นหวังเขาไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านใดๆ แม้ว่าเวลานี้หากเปรียบเทียบวรยุทธ์ระหว่างเขากับนางแล้วเขามีความสามารถเหนือกว่านาง ทว่าตอนนี้เขากลับไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้น
กงอี่โม่จับกระบี่ไว้ เมื่อเห็นท่าทางห่อเหี่ยวสิ้นหวังของเขานางจึงรู้เป็อย่างดีว่าเขากำลังคิดอะไร นางโกรธจัดยิ่งกว่าเดิม เ้าตัวร้ายกล้าไม่เชื่อใจข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ?!
“มา แบมือออกมา เร็ว ยกสูงขึ้นอีก”
เดิมทีกงเจวี๋ยกำลังรอนางจับกระบี่ฟันลงมาทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของนางแล้ว เขาจึงเงยหน้าอย่างประหลาดใจเขายกมือขึ้นอย่างไม่รู้ตัว กงอี่โม่ยกกระบี่ขึ้นนางจับกระบี่ตีลงมาในแนวขวางครั้งหนึ่ง
''เพียะ''
เสียงดังกังวาน ทว่ากลับไม่ได้สร้างความเ็ปมากนักกงเจวี๋ยถูกตีจนมึนงง ถึงผ่านไปนานพอสมควร เขาก็ยังคงไม่สามารถเรียกสติกลับคืนมา
เมื่อเห็นท่าทางนิ่งงันของเขา กงอี่โม่จึงตีมือเขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้นางออกแรงหนักพอสมควร ฝ่ามือของเขาพลันขึ้นเป็รอยสีแดงกงเจวี๋ยยังคงไม่พูดอะไร ทว่ากงอี่โม่กลับร้องไห้ออกมา
“เสด็จพี่ ท่าน” กงเจวี๋ยร้อนรน เขารีบลุกขึ้นไปปลอบนาง แต่กลับถูกกงอี่โม่ปัดออกนางชี้นิ้วใส่เขาพร้อมโวยวาย
“ออกไป เ้าช่างเลวนัก ข้ากับเ้าอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ข้าเป็คนเช่นไรเ้ายังไม่รู้อีกหรือ? แต่เ้ากลับทำตัวห่างเหินกับข้าเพราะเื่เช่นนี้ข้าจะตีเ้าให้ตาย เ้าช่างเลวนัก”
ขณะที่กล่าวนั้น นางจับกระบี่ตีบนร่างของกงเจวี๋ยหลายครั้งทว่ากลับมีลักษณะราวกับกำลังปัดฝุ่นออก นางไม่กล้าลงมือหนัก
เวลานี้กงเจวี๋ยรู้สึกสับสนวุ่นวายทว่าเขาสามารถจับประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
“เสด็จพี่ ท่าน หรือว่า ท่านไม่สนใจ?”
“สนใจอะไรล่ะ? มารดาของเ้าฆ่ามารดาของข้า? ตอนมารดาของข้าเสียชีวิต ข้าเพิ่งอายุเท่าไร? หลายปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอยู่กับเ้า เป็เ้าแต่ไม่ใช่นางเ้าโง่หรือเปล่า?!”
นางใช้นิ้วมือจิ้มหน้าอกกงเจวี๋ยอย่างโมโหกงเจวี๋ยถอยหลังหลายก้าวติดกัน เวลานี้เขายังคงมึนงง
“หากพูดเช่นนี้ มารดาของเ้าตายเพราะมารดาของข้าถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องทำตัวห่างเหินกับเ้า ต้องห้ามติดต่อกับเ้าอีก” กงอี่โม่รู้สึกอ่อนใจชาติที่แล้วเขาไม่ได้เป็คนยึดติดเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นนางจึงกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ไม่ได้” เมื่อนางกล่าวเช่นนี้กงเจวี๋ยจึงได้สติกลับคืนมาทันที
“ก็นั่นน่ะซี”
เมื่อกล่าวจบ กงอี่โม่จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง นางมองเด็กน้อยรูปงามเบื้องหน้า สุดท้ายก็ใจอ่อนนางเขย่งเท้ายกมือลูบศีรษะกงเจวี๋ยที่สูงกว่านางมานานแล้ว ในชั่วพริบตาดวงตาของนางสะท้อนประกายเศร้าสร้อย
“กงเจวี๋ย วังแห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก มีผู้คนมากมายทว่าคนที่สามารถพึ่งพาเชื่อได้สนิทใจจะมีอยู่สักกี่คน? แต่ไหนแต่ไรบนโลกใบนี้เ้ากับข้าก็เป็คนที่ใกล้ชิดกันที่สุดแล้วเ้าควรเชื่อใจข้า ต้องเชื่อใจข้าอย่างไม่ลังเลสิ”
“ไม่มีสิ่งใดยากยิ่งกว่าความเชื่อใจแล้วแต่ข้าเชื่อใจเ้าอย่างเต็มที่ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเื่มารดาของเ้าฆ่ามารดาของข้าถึงเ้าจะยื่นยาพิษมาให้ข้า ข้าก็จะดื่มมันลงไปเพราะข้าเชื่อใจเ้าว่าเ้าไม่มีทางทำร้ายข้าแล้วทำไมข้าจะต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเื่ราวของคนรุ่นก่อนด้วยล่ะ?”
ตลอดชีวิตของคนเราก็ลำบากมากพอแล้ว หากยังไม่ยอมมองให้ทะลุปรุโปร่งไม่ยอมปล่อยวาง มันก็คือการทรมานตนเองทั้งนั้น
คำพูดของนางทำให้กงเจวี๋ยรู้สึกผ่อนคลายในทันทีประโยคนั้นของนาง... แม้เขายื่นยาพิษให้นาง นางก็ไม่ปฏิเสธ ทำให้เขาอดคิดไม่ได้หากสักวัน เสด็จพี่้าให้เขาตาย เขาก็จะยอมตายอย่างเต็มใจ
เขาเสียสติไปแล้ว ทำไมเขาจึงคิดวุ่นวายกับเื่เล็กๆเื่หนึ่งเช่นนี้ ตอนนี้เหตุการณ์นี้กลับคลี่คลายอย่างง่ายดายก้อนหินก้อนใหญ่ที่กดทับในหัวใจพลันร่วงตกลงบนพื้น เขามองใบหน้างามของกงอี่โม่ครั้งนี้เป็อีกครั้งที่เขารู้สึกว่าการได้พบเจอนางช่างเป็ความโชคดีเหลือเกิน
ผู้ที่สามารถกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาต้องมีความฉลาดมากเพียงใด? บางครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่มีความคิดกว้างไกลเช่นนางความฉลาดของเขาที่เขามักภูมิใจอยู่เสมอก็ดูเล็กน้อยจนไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง
ปกตินางชอบใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน นางสดใสร่าเริงแต่กลับเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้ง ดวงตาคู่นั้นของนางลึกซึ้งจนไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุดทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่พื้นฐาน มิน่า แม้นางไม่ค่อยพยายามฝึกฝนวรยุทธ์มากนัก ทว่าวิชาสายลมและธรรมชาติที่ลึกซึ้งเช่นนี้นางก็ยังสามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็ว
ไม่มีเสด็จแม่ก็ไม่เห็นเป็ไรเขามีเสด็จพี่ที่แสนพิเศษเช่นนี้ก็พอแล้ว
กงเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดที่นางเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ นางกล่าวว่านางใช้ชีวิตอยู่กับเขาในตำหนักเย็น ดังนั้นเขาจึงถูกบังคับให้ต้องสวมบทบาทมากมายเคียงข้างนาง
ทว่าเขากลับรู้สึกว่านางเพียงคนเดียวก็สามารถทดแทนภาพลักษณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างกายเขาแม้เขาเป็เพียงองค์ชายธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านประสบการณ์เลวร้ายเ่าั้ข้างกายของเขาอาจรายล้อมไปด้วยผู้คนนับไม่ถ้วนแต่เขาเชื่อว่าถึงนำคนเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับนางเพียงคนเดียวนางฉลาดสดใสเปล่งประกาย ทำให้ผู้คนรู้สึกหลงใหล
เขาสามารถสวมบทบาทมากมายอยู่เคียงข้างนาง ในจุดนี้เขารู้สึกดีใจมากและรู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่ง
กงอี่โม่สั่งสอนเด็กน้อยเรียบร้อยแล้ว นางจึงถอนหายใจเล็กน้อยเด็กคนนี้ขาดความอบอุ่นมากเกินไป เขารู้สึกไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังใส่ใจนางมากเกินไปดังนั้นเขาจึงเป็ทุกข์กับเื่เช่นนี้ เมื่อสักครู่นางใช้น้ำเสียงเข้มงวดดุดันเกินไปหรือเปล่า?
“ใช่แล้ว ตุ๊กตาไม้แกะสลักชิ้นนั้นคืออะไร?” แต่แล้วนางพลันคิดถึงเื่บางอย่าง เมื่อคิดถึงจุดนี้นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่านางไม่ได้อ่อนไหวเหมือนคนในสมัยโบราณ ทว่านางกลัวว่ากงเจวี๋ยที่เคยพบเจอผู้คนน้อยเกินไปเขาอาจเข้าใจความรู้สึกของนางผิดพลาดไป