“ข้ายอมรับไม่ได้กับคำกล่าวร้ายเ่าั้หากเสด็จพ่อยังคงสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา”
นางกัดฟันกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่สุดท้ายกลับหัวเราะเย้ยหยัน “หากเสด็จพ่อยังคงสงสัยถ้าเช่นนั้นก็ส่งข้ากลับตำหนักเย็นเถิด เพียงแต่กงเจวี๋ยยังเล็กนักข้าหวังว่าเสด็จพ่อจะปรานีกับเขาบ้าง ขอให้เขาได้อยู่ที่นี่ต่อไป”
“ไม่ เสด็จพี่อยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่น” ร่างของกงเจวี๋ยเซเล็กน้อย เขากุมมือของกงอี่โม่ไว้อย่างแ่าสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนัก
กงอี่โม่อุ่นใจขึ้นเล็กน้อยพวกเขาทั้งสองต่างหันไปมองฮ่องเต้อย่างพร้อมเพรียงกัน นางเชื่อว่านางกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว กงเซิ่งไม่มีทางสงสัยนางอีก
เมื่อเห็นสายตาดื้อรั้นของกงอี่โม่ท่าทางของนางราวกับไม่มีทางยอมแพ้ หากเขากล่าวว่าสงสัยนางเพียงคำเดียวนางก็พร้อมเก็บของไปตำหนักเย็นได้ทันที กงเซิ่งกุมขมับอย่างอ่อนใจ
“ข้าเคยพูดสงสัยด้วยหรือ?”
“ข้าก็แค่โกรธที่เขาลงมือทำร้ายน้องชายที่ยังเล็กอยู่ แล้วยังไม่สำนึกผิดอีกเพียงเท่านี้เอง” เขามองไปทางกงเจวี๋ยจากนั้นจึงกล่าวขึ้นเสียงดัง
“ข้าไม่ผิด” กงเจวี๋ยมองเขาด้วยสายตาเ็ากงเซิ่งถลึงตาตั้งท่าจะะเิอารมณ์ ทว่ากงอี่โม่พลันคุกเข่าลง
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะข้าข้าสอนน้องไม่ดี หากเสด็จพ่อ้าลงโทษ ก็โปรดลงโทษข้าเถิด”
กงเซิ่งมองรูปหน้าที่คล้ายกับเสวี่ยเฟยคำพูดที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาดจริงจัง เวลานี้เขาพลันรู้สึกเ็ปหากตอนนั้นเสวี่ยเฟยมีความกล้าเพียงครึ่งหนึ่งของบุตรสาวของนางสถานการณ์คงไม่ได้เป็เช่นนั้น
ขณะที่กำลังครุ่นคิด กงเซิ่งพลันลุกขึ้นยืนเขาถลึงตาใส่กงอี่โม่พร้อมกล่าวขึ้น “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ลงโทษเ้าให้เ้าคุกเข่าอยู่หน้าประตูสำนักศึกษาหลวงสามชั่วยาม ยังไม่รีบไปอีก”
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ” กงอี่โม่ลอบถอนหายใจยาวอยู่ในใจทว่าสีหน้าของนางยังคงแสดงอาการไม่ยอมแพ้ นางส่งยิ้มอย่างเ็า
เมื่อเห็นการกระทำของนาง กงเซิ่งจึงเดินจากไปอย่างโมโห
ทว่าเมื่อฮ่องเต้จากไปแล้ว กงอี่โม่จึงลุกขึ้นยืนนางเดินไปทางประตูสำนักศึกษาหลวง ส่วนคนอื่นๆยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่กล้าลุกขึ้นมาทว่ากงเจวี๋ยกลับถูกกงอี่โม่ดึงตัวไว้แน่น ใบหน้าของเขาแดงจัด
“เสด็จพี่”
“ฮึ”
กงอี่โม่รู้สึกเดือดจัดอย่างบอกไม่ถูกก่อนมาที่นี่นางกล่าวย้ำกงเจวี๋ยอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นไรเขาต้องอดทนเอาไว้ ต้องห้ามแสดงความรู้สึกใดๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังให้มากห้ามติดกับดักของผู้อื่น
ปกติกงเจวี๋ยก็แสดงออกอย่างชาญฉลาด นางจึงรู้สึกวางใจมากมาตลอด
ทว่าเห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ต้องเป็แผนร้ายอย่างแน่นอนคนเ่าั้้าสร้างเื่ให้กลายเป็เื่ใหญ่ส่วนกงเจวี๋ยกลับหลงกลตามไปด้วย ตรงจุดนี้ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนักนางสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ปรากฏตัวหลายวันอีกทั้งยังทำเื่ผิดนิสัยของเขา
“เ้าไปรอข้าที่ตำหนักไท่จี๋” เมื่อไปถึงหน้าประตู กงอี่โม่จึงกล่าวกับเขา เมื่อกล่าวจบ นางพลันกัดฟันคุกเข่าลงมา กงเจวี๋ยไม่ได้กล่าวอะไร เขาคุกเข่าอยู่เคียงข้างกงอี่โม่
“เ้ากลับไป เวลานี้เ้ากับข้ากำลังตกเป็ข่าว แม้ว่าตอนนี้เื่จะเงียบไปแล้วแต่หากเ้าคุกเข่าเช่นนี้ คนเจตนาร้ายอาจสร้างเื่ได้อีก” กงอี่โม่หลับตานางรู้สึกอ่อนล้า
“หากข้าไม่ทำเช่นนี้ พวกเขาจะไม่สร้างเื่หรือ?” เวลานี้กงเจวี๋ยรู้สึกปวดศีรษะแทบหมดสติเมื่อได้ยินคำพูดของกงอี่โม่แล้ว เขาจึงส่งยิ้มอย่างเ็า
“ทานสิ” กงอี่โม่ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นกงเจวี๋ยรู้สึกทรมานนางจึงแอบหยิบยาลดไข้ออกมาจากช่องว่างมิติเวลา จากนั้นจึงยื่นให้เขา
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กงเจวี๋ยทานยาเหล่านี้เขารู้มาตลอดว่าในมือเสด็จพี่มียาดีที่แม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่มีทว่าเขาไม่เคยเอ่ยถามเื่นี้สักครั้งในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยสอบถามว่าเสด็จพี่ศึกษาวรยุทธ์มาจากไหน
“เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชาย เพราะเหตุใดองค์ชายมีไข้สูงขนาดนี้พวกเ้ายังไม่ตามหมอหลวงอีก พวกเ้าดูแลกันอย่างไร?” ทว่าเวลานี้ กงอี่โม่ก็ไม่ได้คุกเข่าอยู่อย่างนิ่งเฉยนางกวักมือเรียกขันทีน้อยที่ติดตามอยู่ข้างกายกงเจวี๋ยเข้ามาพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเ็า
ขันทีน้อยคุกเข่าลงอย่างหวาดกลัวเขามองข้ามสายตาเ็าของกงเจวี๋ยที่พุ่งตรงมาจากด้านข้างจากนั้นจึงรายงานกงอี่โม่ตามความเป็จริง ยิ่งได้ฟังกงอี่โม่ก็ยิ่งรู้สึกโมโห สุดท้ายนางจึงบอกให้ขันทีน้อยถอยออกไปอย่างเงียบๆส่วนนางก็คุกเข่าอย่างหงุดหงิดต่อไป
กงเจวี๋ยไม่รู้จะเริ่มเอ่ยปากอย่างไรเมื่อทานยาแล้วเขารู้สึกวิงเวียนง่วงนอน ทว่าเขาก็พยายามฝืนตัวเองมาตลอด
ฝ่ายในที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างแอบมองพวกเขาทั้งสองอย่างอดไม่ได้เด็กชายเด็กหญิงรูปงามราวกับเซียนน้อยชายหญิงที่นั่งข้างกายเ้าแม่กวนอิม แต่พวกเขากลับนิ่งเงียบคนหนึ่งตีหน้าขรึม คนหนึ่งแสดงอาการโกรธจัด
กงเซิ่งได้ยินแล้วจึงถอนหายใจ บางทีเขาอาจคิดมากเกินไปใช่ไหม? เขาตัดสินใจยกเลิกการลงโทษกงอี่โม่
เมื่อพวกเขาทั้งสองกลับถึงตำหนักไท่จี๋ก็เป็เวลาพลบค่ำกงอี่โม่ไม่ได้รอกงเจวี๋ย แต่เดินนำหน้าพุ่งตัวเข้าไปยังตำหนักด้านในส่วนกงเจวี๋ยลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงเดินตามเข้าไป
“คุกเข่า!”
กงอี่โม่เอนตัวนอนอยู่บนเตียง นางเอ่ยปากอย่างเ็ากงเจวี๋ยได้ยินแล้วถึงกับใจสั่น เพราะเขากลัวถูกเสด็จพี่ทอดทิ้งมากเกินไป เขาจึงคุกเข่าตามคำสั่ง
ขันทีที่ติดตามเขาลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้เมื่อสักครู่ฝ่าาตะคอกให้องค์ชายคุกเข่า แต่องค์ชายกลับทำเหมือนไม่ได้ยินทว่าพอองค์หญิงกล่าวออกมา องค์ชายกลับไม่กล้าต่อต้านแม้แต่น้อย
“เ้ากงเจวี๋ยตัวดี คิดว่าโตนักใช่ไหม?”
กงอี่โม่ลุกขึ้นนั่ง นางมองเขาอย่างเสียใจ“ไม่ยอมบอกข้าว่ามีคนวางยาเ้า เ้าช่างกล้านักนะ”
“ไม่ได้เป็ยาอันตรายถึงชีวิต” สีหน้าของกงเจวี๋ยพลันดูแย่มาก
“ยาเสน่ห์ก็มีพิษนะ เ้าเพิ่งอายุเท่าไรเอง? นางกำนัลคนนั้นยังกล้าวางยาเ้าอีก ส่วนตัวเ้ากลับแช่น้ำเย็นทรมานตัวเองแล้วยังแช่อยู่ในนั้นทั้งคืน หากเ้าป่วยแล้วจะทำอย่างไร?”
ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธจัด “ในเมื่อหญิงสาวนางนั้นเสนอตัวถึงเพียงนี้ถอดชุดเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงของเ้า เ้าก็ทำตามที่นาง้าสิต่อไปเ้าจะทรมานนางอย่างไรก็ได้ แล้วทำไมเ้าต้องทรมานตนเอง”
“เสด็จพี่เคยกล่าวไว้ว่า บุรุษที่ดีต้องแต่งงานกับสตรีนางเดียว” กงเจวี๋ยคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาเงยหน้ามองนางอย่างอดไม่ได้
“เ้าโง่” เขากล่าวด้วยท่าทางจริงจังสายตาเปล่งประกายแวววาว ไม่รู้เป็เพราะเหตุใดสายตาที่มองมาเช่นนี้ทำให้กงอี่โม่รู้สึกหน้าร้อน
ตอนนั้นที่นางสอนเขาไว้แบบนั้นเป็เพราะนางคิดว่าเขาเป็ศัตรูของนางนางหวังว่าเขาจะเดินบนเส้นทางที่ถูกที่ควร ทว่าตอนนี้หลังจากได้ใกล้ชิดกันตลอดเวลาบางครั้งนางเกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็ผู้ปกครองของกงเจวี๋ยไม่ว่าสตรีนางอื่นจะเป็เช่นไร ขอแค่คนของตนไม่เสียเปรียบก็พอแล้ว
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกผิด กงอี่โม่ตบแก้มของตัวเองเบาๆพร้อมรำพึงออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดเ้าจึงไม่มาตำหนักไท่จี๋มาห้าวันแล้ว?”
เมื่อถามถึงคำถามนี้ กงเจวี๋ยจึงรู้สึกราวกับถูกลงโทษปะาเขาคิดถึงคำพูดที่เสด็จพี่กล่าวขึ้นในวันนี้ นางกล่าวว่านางมองว่าเขาเป็น้องชายเป็ญาติสนิท เป็มิตรสหายที่ดี เป็ทุกอย่างของนาง แต่เป็เพราะเขาคือคนเดียวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางในตำหนักเย็นทว่าหากมารดาของเขาไม่ได้สังหารเสวี่ยเฟย เสด็จพี่อาจมีคนสนิทมากมายนับไม่ถ้วนมีทั้งพี่น้อง มีทั้งอาจารย์ มีทั้งญาติสนิทหากนางรู้ว่ามารดาของเขาเป็สาเหตุที่ทำให้นางต้องสูญเสียสิ่งเหล่านี้นางคงเสียใจมากมายยิ่งนัก
“ห้าวันก่อนองค์ชายไปที่ไหนหรือ?” เขายังคงนิ่งเงียบ กงอี่โม่ก็ยิ่งรู้สึกผิดสังเกตนางสอบถามขันทีที่ติดตามกงเจวี๋ยด้านหลัง
“ห้าวันก่อนหลังเลิกเรียนแล้วองค์ชายเก้าไปตำหนักหานเซียงของหลิ่วเสียนเฟยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยเห็นองค์ชายคุกเข่าอยู่บนพื้นเขาจึงก้าวขึ้นมาพร้อมกล่าวขึ้น
“เป็เพราะนางกล่าวอะไรบางอย่าง เ้าจึงมีท่าทีผิดปกติเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ กงอี่โม่พลันหัวใจกระตุก
“ช่างเลอะเทอะจริงๆ”