ยิ่งเจิดจรัสก็ยิ่งเสื่อมโทรม วงการบันเทิงคือสเต๊กแห่งการชิงดีชิงเด่น แม้ว่าวงการนี้จะไม่มีอะไรแน่นอน แต่คนที่โเี้อำมหิตอย่างเช่นอู๋เหนิงก็นับว่าน้อยนักที่จะพบเจอ อู๋เหนิงเก๋าเกมในวงการบันเทิง เขาเห็นสิ่งน่าเกลียดโสมมมานักต่อนัก กระทั่งยิ่งร้ายกลายเป็สัตว์สกปรกโสมมนั่นเสียเอง
เมิ่งฉียังไม่อยากจะเชื่อ คนที่เธอเรียกว่าคุณอามาตลอด 3 ปี ผู้ชายคนเดียวที่เธอไว้เนื้อเชื่อใจก่อนจะเจอเสิ่นิ กลับเอาชีวิตของเธอไปแลกกับเงิน ขณะที่หญิงสาวเศร้าสลดอยู่นั้น เธอก็นึกถึงวิธีป้องกันตัวที่เสิ่นิสอนเธอที่ชายหาดขึ้นมาได้
เธอจิกนิ้วเท้าบนพรมยืนให้มั่นและะโพุ่งตัวไปด้านหลังอย่างรุนแรง ศีรษะด้านหลังของเธอกระแทกจมูกอู๋เหนิงเข้าจังๆ และในขณะที่เืกำเดาไหลออกจากรูจมูก อู๋เหนิงก็ผ่อนแรงมือ เมิ่งฉีจึงอาศัยจังหวะนั้นโผตัวเข้าไปหาอ้อมแขนของเสิ่นิ
“ไม่เป็ไรแล้ว ไม่เป็ไรแล้ว” เสิ่นิกอดหญิงสาวในอ้อมแขนแน่น ทั้งยังกระซิบอย่างอ่อนโยนที่ข้างหู ร่างของเมิงฉีไม่อาจหยุดสั่นได้ น้ำตาไหลรินออกมา
“เฮอะ! นางตัวดีไปเรียนรู้ท่าพวกนี้มาจากไหน ไอ้บอดี้การ์ดนี่สอนให้อย่างนั้นเหรอ วันนี้พวกแกอย่าหวังว่าจะรอดเลย!” อู๋เหนิงเจ็บจนกระทั่งน้ำตาเล็ด เขารีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดจมูกไว้
“เดินออกไปเองไหวไหม” เสิ่นิถาม
เมิ่งฉีลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ออกไปเหรอ พวกแกคิดว่าฉันจะปล่อยให้พวกแกไปอย่างนั้นเหรอ” อู๋เหนิงหยิบรีโมทบ้านออกมา ก่อนจะบีบมันให้กลายเป็ผุยผงด้วยมือเปล่า อู๋เหนิงเป็คนติดตั้งระบบกันขโมยของคฤหาสน์หลังนี้ แม้แต่กระจกหน้าต่าง เขาก็ยังเลือกแบบกันะุ ตอนนี้รีโมทพังแล้ว ถ้าไม่มีลายนิ้วมือเขา ใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไป
“ยอมแพ้ซะเถอะ คุณเอาชนะผมไม่ได้หรอก” เสิ่นิพูดเกลี้ยกล่อม
“อย่างนั้นเรอะ” อู๋เหนิงหัวเราะเยาะพลางถอดเสื้อสูทออก เชิ้ต Versace ถูกฉีกขาดเป็ชิ้นๆ เผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า กล้ามเนื้อสีแทนถูกปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็ บางส่วนก็เป็แผลที่เกิดจากะุปืนไรเฟิล “อย่าคิดว่าเป็ทหารออกรบแค่ไม่กี่ปีพอกลับเข้าเมืองมาเป็บอดี้การ์ดแล้วจะวิเศษวิโสนักเลย ตอนที่ฉันเป็ทหารน่ะ แกยังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”
อู๋เหนิงดึงมีดสามง่ามดำเมี่ยมออกมาจากด้านหลัง เขากำมันเอาไว้ในมือ ที่ด้ามมีดมีตัวหนังสือสลักเอาไว้ว่า “ปกปักบ้านเมือง กรมทหารพรานที่ 301”
“ผู้บังคับหมวดกรมทหารพรานพิเศษที่ 301 เกาเหนิง เคยได้รับ ‘เหรียญกล้าหาญขั้นที่สอง’ ‘เหรียญชัยสมรภูมิชั้นที่หนึ่ง’ ศัตรูต่างก็พากันตั้งสมญานามว่า “ขวากหนามแห่งสนามรบ” เป็ทหารพรานยอดฝีมือในยุคนั้น...” เสิ่นิเอาตัวเองบังเมิ่งฉีไว้ ในขณะที่พรรณนาถึงอัตชีวประวัติของอู๋เหนิง
“เหอๆ แกไม่ใช่บอดี้การ์ดกระจอกๆ สินะ ขนาดข้อมูลที่ฉันทำลายทิ้งไปแล้วก็ยังหามาจนได้ ถ้าอย่างนั้นแกก็รู้ใช่ไหมว่าฉันเคยร่วมสู้รบในาแบบไหน” อู๋เหนิงหัวเราะไม่หยุด “หน่วยพรานของเราทะลวงลึกเข้าไปในพื้นที่ป่า 20 กิโลเมตร สำรวจพื้นที่ครึ่งหนึ่งของสมรภูมิรบ ฉันและนักรบในหน่วย ล้วนเป็แบบอย่างที่ดี สละเืเนื้อ อุทิศชีวิตได้อย่างอาจหาญ
แต่ในขณะที่ปฏิบัติภารกิจสุดท้ายนั้น เราถูกกองกำลังข้าศึกซุ่มโจมตี สูญเสียพี่น้องไปกว่าครึ่ง ผมและทีมทั้งหมดถูกจับเป็เชลย
ผมบอกพวกเราอย่างเชื่อมั่นว่าจะต้องมีกำลังเสริมมาช่วยพวกเราแน่ แต่ระหว่างนั้น ไอ้าบ้าบอนั่นก็จบลง เข้าสู่่เจรจาเพื่อสันติ
ระหว่างที่เบื้องบนนั่งเจรจากับศัตรูอยู่ในค่าย ทหารของผมกลับต้องทนทรมานอย่างโเี้เกินมนุษย์จนต้องตายตกไปทีละคน ทีละคน”
อันที่จริงเสิ่นิก็ทราบมาเช่นนั้นเหมือนกัน เขารู้ขนาดที่ว่าหลังจากที่อู๋เหนิงถูกทรมานมาเป็ระยะเวลา 1 ปีเต็ม เขาได้ปาดคอผู้คุม และใช้มีดสามง่ามเล่มเดียวเท่านั้นคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 30 ชีวิต ก่อนจะฝ่าทุ่งะเิและป่าทึบ ระยะร่วม 30 กิโลเมตร เพื่อกลับสู่มาตุภูมิ
ั้แ่นั้นมาเขาก็ปลดประจำการจากกองทัพ และร้องขอการทำลายข้อมูลทางทหารของตน เขาเปลี่ยนชื่อจากเกาเหนิงเป็อู๋เหนิง เพื่อเป็การไว้อาลัยให้แก่บรรดาเหล่าพี่น้องทหารซึ่งร่วมรบมาด้วยกัน
“ในเมื่อเผชิญหน้ากับความเป็ความตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทำไมคุณถึงยังหมกมุ่นอยู่กับเื่ลาภยศชื่อเสียงอยู่อีก” เสิ่นิถอนหายใจด้วยความเศร้าสลด
“ก็เพราะผมไม่ชอบใจไง หลังจากปลดประจำการ ผมได้เงินมาไม่พอ แม้แต่จะหาซื้อหมูมาเลี้ยงยังชีพสักสองตัวก็ยังไม่พอ ทางท้องถิ่นมอบหมายให้ผมไปเป็ยามเฝ้าประตูที่ไนต์คลับ! รู้ไหมว่าผมต้องเจอกับอะไร? พวกสกปรกโสมมเหมือนกับหมูผลาญเงินอย่างกับเศษกระดาษ เสพสุขนั่งดื่มปาร์ตี้อยู่กับสาวงามอย่างสนุกสนาน พี่น้องผมต้องเสียสละเืเนื้อเพื่อปกป้องไอ้เดนมนุษย์อย่างพวกมันเรอะ
จะเป็เหยื่อให้คนอื่นเขาเอาเปรียบ หรือจะเอาเปรียบโดยที่ทำให้คนอื่นเป็เหยื่อ โลกก็เป็แบบนี้แหละ” อู๋เหนิงแสยะยิ้ม
“คุณนี่มันหมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ ให้ผมส่งคุณไปพบปะสังสรรค์กับพี่น้องร่วมทีมของคุณก็แล้วกัน” เสิ่นิเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะคว้ามีดสเต๊กสเตนเลสจากบนโต๊ะข้างๆ ขึ้นมา
“โว้ๆ! เอาจริงดิ มีดสเต๊กเนี่ยนะ คิดจะกินผมหรือว่าจะฆ่าผมกันแน่” อู๋เหนิงบีบสันจมูกด้วยมือข้างหนึ่ง พลางหัวเราะจนตัวงอ
มีดสามง่ามที่กองทัพใช้กันนั้นยาวกว่ามีดสเต๊กตั้งกว่าเท่า ด้วยความคมกริบทั้งสามด้าน ปากแผลที่ถูกแทงด้วยเ้านี่จะถูกเปิดออกเป็รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำให้หมดหนทางที่จะพันแผลหรือปฐมพยาบาล ถ้ามีดทะลวงลึกเข้าไปถึง 8 เิเจะสามารถปลิดชีวิตผู้นั้นได้ในทันที เพราะความโเี้เช่นนี้ องค์กรระหว่างประเทศจึงสั่งห้ามใช้อาวุธชนิดนี้
“บางครั้งถ้าสถานการณ์บีบบังคับ ผมก็กินเนื้อคนได้” สายตาเสิ่นิสงบนิ่ง ฝีเท้าก้าวย่างไปยังเบื้องหน้า เข้าประชิดถึงตัวอู๋เหนิง มีดสเต๊กที่ถือไว้ด้วยมือข้างเดียวนั้นปาดเข้าที่บริเวณคอในแนวขวาง ความเร็วในการจู่โจมยังทิ้งเงาสีเงินไว้ให้เห็น
แต่อู๋เหนิงก็ไวเช่นกัน แทบจะจังหวะเดียวกันกับก้าวของเสิ่นิ เขาขยับถอยไปครึ่งก้าว มีดสามง่ามถูกยกขึ้นขวางมีดของเสิ่นิเอาไว้ แต่ปลายมีดของเสิ่นิไม่หยุดแค่นั้น เขาฝืนใบมีดและฟันมันลงตามโค้งของมีดสามง่ามจนเกิดประกายไฟ
ขอบมีดสเตนเลสเกิดเป็รอยแหว่ง แต่ก็สามารถทำให้มีดสามง่ามซึ่งสรรค์สร้างจากเหล็กชั้นดีของอู๋เหนิงนั้นเป็รอยได้
อู๋เหนิงซึ่งเดิมทีกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่หลังจากที่ได้ปะทะฝีมือกันคราเดียว ก็พาลยิ้มไม่ออกแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจ แม้จะปลดประจำการมา 30 ปีแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝนร่างกาย สภาพร่างกายของเขาจึงยังฟิตปั๋ง และด้วยสัญชาตญาณในสนามรบที่ติดตัวมา ั้แ่วินาทีแรกที่เขาเห็นเสิ่นิ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเสิ่นิเป็ทหารปลดประจำการ ยิ่งตอนที่เด็กหนุ่มนั่นหยุดกำปั้นของเ้าหมีไกว้ไว้ได้ด้วยปลายนิ้ว อู๋เหนิงก็ยิ่งมั่นใจว่าเขาจะต้องเป็เบอร์ต้นๆ ของหน่วยรบพิเศษแน่
แต่หลังจากที่ได้ประมือกันแล้ว อู๋เหนิงถึงได้รู้ว่า เขาไม่ใช่นายทหารที่ฝึกอบรมตามหลักสูตรทีละขั้นๆ อย่างแน่นอน เขาต้องหลุดออกมาจากสนามจริง เคยฆ่าคนจริง เป็ทหารผู้เคยหลั่งเื
เหตุการณ์ต่อมา บรรยากาศภายในบ้านเงียบฉี่ ไม่มีแม้แต่เสียงการต่อสู้ใดๆ มีดสามง่ามในมืออู๋เหนิงยังคงพลิกขึ้นลงเหมือนกับไม้กายสิทธิ์ แม้เสิ่นิจะสูงกว่าเขาครึ่งศีรษะ แต่เขาก็มีทักษะการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่ว ไม่สามารถใช้กำลังควบคุมตัวเขาได้
เสิ่นิปักหลักสู้ ฝีเท้าของเขาคล่องแคล่วราวกับนักมวย เขาตะล่อมอู๋เหนิงซ้ายทีขวาทีเพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของการต่อสู้ มีดสเต๊กจ้องหาทุกโอกาสในการเฉือน ตัด แทง จ้วง
เมื่อโลหะปะทะหรือเสียดสีกัน มันก็จะเกิดเป็ประกายไฟ เสียงแกร๊ง! แกร๊ง! ดังสนั่น เมิ่งฉีหวาดกลัวจนต้องไปหลบอยู่ที่มุมห้อง เธอไม่กล้าดู แต่ก็อดดูไม่ได้ หญิงสาววิตกจริตจนสมองแทบจะะเิ
โซฟาถูกคนทั้งคู่ถีบออกให้พ้นทาง โต๊ะกาแฟซึ่งทำจากแก้วถูกเตะจนแตกกระจาย ทั้งคู่ประลองกันอย่างไม่ลดละ ภายใน 5 นาที เหงื่อท่วมหน้าอกอู๋เหนิง ลามมาจนเปียกเสื้อเชิ้ตของเสิ่นิด้วยเช่นกัน เหตุการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้เป็เวลานาน ลมหายใจของเสิ่นิกลับมาสงบนิ่งได้ก่อน ประสาทรับรู้ในการรุกและรับของมือและเท้าเข้าสู่ระดับสูง
“ไอ้ตัวแสบ แกมาจากหน่วยไหนกัน?” อู๋เหนิงคำรามด้วยความหงุดหงิด
“เป็ความลับ” เสิ่นิกล่าวพลางจู่โจมไปด้วย
“แล้วยศทางทหารล่ะ” อู๋เหนิงโบกสะบัดมีดสามง่าม ปัดป้องมีดสเต๊กของเสิ่นิ
“เป็ความลับ” เสิ่นิเอียงศีรษะอย่างว่องไว มีดสามง่ามเกือบพุ่งสู่ลำคอเขา มีดสเต๊กไถลไปทางเอวของอู๋เหนิง
“ถ้าอย่างนั้นบอกเหล่าของแกมาได้ไหม” อู๋เหนิงเบี่ยงกายหลบมีด มีดสามง่ามพุ่งผ่านเหนือไหล่ของเสิ่นิไปและย้อนกลับมาเหมือนเคียว เขาหมุนปลายด้ามกลับราวกับจะเกี่ยวข้าวสาลี ไปยังด้านหลังลำคอของเสิ่นิ
“พลซุ่มยิง” เสิ่นิกล่าวพร้อมย่อตัวลงหลบการจ้วงแทงอันโเี้ และพลิกตัวเตะ พร้อมเหวี่ยงกำปั้นไปหาอู๋เหนิง
อู๋เหนิงล้มคว่ำถลาไป 2 เมตร ส่วนเสิ่นิะโเหยงถอยหลังไปครึ่งก้าวก่อนจะยืนได้
“ซุ่มยิงบ้านพ่อแกสิ! พลแม่นปืนที่ไหนจะมีทักษะการต่อสู้ระยะประชิดยอดเยี่ยมขนาดนี้!” อู๋เหนิงก่นด่าในขณะที่หลังพิงชิดติดกำแพง กระดูกนิ้วชี้ดูเหมือนว่าจะถูกเตะจนหักเป็สองท่อน มันปรากฏรอยบวมช้ำ หมัดขวานับว่าใช้การไม่ได้แล้ว
“ผมสาบานได้ว่าผมเป็พลแม่นปืน ในบรรดาทักษะทั้งหมด การต่อสู้ระยะประชิดของผมนั้นนับว่าห่วยแตกที่สุดแล้ว สำหรับหน่วยที่ผมสังกัดอยู่ สำหรับมาตรฐานของพลแม่นปืน จะต้องฆ่าหมีดำได้ด้วยมือเปล่า” เสิ่นิรวบเท้า “ผมบอกแล้วไง คุณเอาชนะผมไม่ได้หรอก มันไม่ใช่เื่ของประสบการณ์หรือทักษะ แต่ผมยังหนุ่มแน่น ส่วนคุณน่ะแก่แล้ว
หยุดซะ นี่เป็โอกาสครั้งสุดท้ายของคุณแล้ว”
“ฮ่าๆ ฆ่าหมีดำด้วยมือเปล่าน่ะนับว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม ฉันอยากจะเห็นจริงๆ เด็กน้อย แกทำให้ฉันรู้สึกเืสูบฉีดเหมือนกับเมื่อตอนอยู่กองทัพ ต้องขอบใจแกจริงๆ ฉันจะให้แกได้รับชมการกลายร่างเป็ปีศาจ!” และทันใดนั้น อู๋เหนิงก็หยิบเอากระบอกฉีดยาออกมาและฉีดมันเข้าไปในหลอดเืแดง โดยไม่ฆ่าเชื้อ โดยไม่เสียเวลาควานหาเส้น เขาฉีดของเหลวสีเหลืองเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างลวกๆ
ปฏิกิริยาของยานั้นรวดเร็วมาก เส้นเืสีฟ้าปูดขึ้นใต้ิั ลูกตาแดงก่ำ แม้แต่เส้นเืดำบนใบหน้าก็ขับเด่นขึ้นมา
“อะดรีนาลีนที่ใช้ในกองทัพ?” เสิ่นิยืดตัวขึ้นโดยสัญชาตญาณ เขายกมีดในมือขึ้นด้วยความระมัดระวัง และอยู่ในท่าเตรียมพร้อม
อย่างที่เสิ่นิว่าไว้ อู๋เหนิงรู้ว่าตัวเองแก่แล้ว ไม่ว่าร่างกายจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่วันเวลาก็ไม่เคยปรานีใคร มันค่อยๆ กัดกร่อนเขาทีละน้อย ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนร่างกายอย่างไร ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปเหมือนเมื่อตอนหนุ่มได้ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากสารเสพติด เขากลับหวนคืนสู่สภาพหนุ่มแน่นภายในชั่วพริบตา ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งบ้าบิ่น กว่าตอนสมัยเขายังหนุ่มๆ เสียด้วยซ้ำ!
“ตายซะเถอะ!” อู๋เหนิงซึ่งแดงไปทั้งร่าง รูม่านตาขยายกว้าง เขาเหยียบไต่กำแพงและพุ่งเข้าหาเสิ่นิ
เสิ่นิซึ่งพยายามลดแรงปะทะเบี่ยงหลบครึ่งลำตัว เขาใช้มือข้างเดียวยึดจับมีดสามง่ามของอู๋เหนิงไว้ก่อนจะเบนออกไปด้านข้าง และพุ่งมีดสเต๊กในมือไปยังบริเวณลำคอของเขาอีกครั้ง
แต่ใครจะคิด อู๋เหนิงผู้คลุ้มคลั่งปล่อยให้มีดทะลุผ่านมือขวา เพื่อยึดมีดและกำปั้นของเสิ่นิเอาไว้ มือทั้งสองข้างของคนทั้งคู่หมดหนทางขยับเขยื้อน
“ฉันอันตรายกว่าหมีนะ!” อู๋เหนิงคำรามก่อนจะใช้หน้าผากกระแทกเข้ากับอกของเสิ่นิ ชายหนุ่มกระเด็นออกไป