เสิ่นิเห็นดาววีนัสลอยอยู่ตรงหน้า เหมือนกับมีคนเอาค้อนมาทุบที่หัว เืไหลอาบคิ้ว อู๋เหนิงไม่ได้คิดจะออมแรงเลยแม้แต่น้อย ตอนที่ฟาดค้อนลงไปนั้น ศีรษะของเขาเองก็โดนเข้าอย่างจัง เืนองอาบหน้า แต่หลังจากที่ฉีดอะดรีนาลีนแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเ็ป เอาแต่ยืนแจกรอยยิ้มอันโเี้อย่างกับคนโรคจิต
“เห็นไหม ฉันทำแกเจ็บตัวได้” อู๋เหนิงยกมือขวาซึ่งมีมีดสเต๊กเสียบอยู่ขึ้นมา จากนั้นก็ใช้ฟันกัดดึงมีดออก
“สารอะดรีนาลีนจะช่วยทำให้ร่างกายคุณมีพละกำลังมากขึ้นก็จริง แต่คุณเสียเืไปมาก บวกกับสภาพร่างกายของคุณ มากสุดฤทธิ์ยาคงอยู่ได้ไม่เกิน 3 นาที คุณสามารถฆ่าผมได้ภายใน 3 นาทีฆณ์ฮเปล่าล่ะ” เสิ่นิเช็ดเืสดออกจากคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“ที่แกพูดมามันก็ถูก แต่ว่าแค่ฆ่าแม่นี่ก็พอแล้ว!” ดวงตาแดงก่ำของอู๋เหนิงหันไปจ้องที่เมิ่งฉีที่อยู่ตรงมุมห้อง “มานี่มา มาหาอาสิ!”
อู๋เหนิงสาวเท้ายาวมุ่งหน้าไปยังเมิ่งฉี ส่วนเมิ่งฉีก็ใร้องลั่น เสิ่นิรีบวิ่งไปขวางหน้าอู๋เหนิงไว้ ทิศทางการเคลื่อนตัวของเสิ่นิถูกคู่ต่อสู้ขุดหลุมหลอกเอาไว้แล้ว วินาทีที่เสินิเห็นว่าอู๋เหนิงยิ้มเ้าเล่ห์ มีดทหารก็แทงจากล่างสู่บนทะลุเสื้อเชิ้ตของเขาเหมือนกับมีดตัดกระดาษ ปรากฏเป็รอยเืสยดสยองบนเรือนร่าง
เสิ่นิกระแทกสองเท้าลงบนพื้นกระเบื้องลามิเนตที่อยู่ใต้เท้าให้แตกเป็ตะกรัน ไหล่กระทบเข้ากับหน้าอกของอู๋เหนิง
อู๋เหนิงซึ่งคล่องแคล่วกว่าเสิ่นิถูกกระแทกไปไกล เขาตกลงไปยังช่องบันไดไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปสองเมตร าแบนหน้าอกมีเืไหลซึมออกมา บริเวณเสื้อซึ่งฉีกขาดถูกย้อมเป็สีแดงสดทันที
“เสิ่นิ!” เมิ่งฉีกระวีกระวาดวิ่งไปข้างหน้า
“อย่าเพิ่งเข้ามา มันยังไม่จบ” ขณะนี้เสิ่นิยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาล็อกประตูใหญ่และซ่อนเมิ่งฉีไว้ทางด้านหลังอย่างปลอดภัย แต่ว่าทางเดินนั้นกว้างขนาด 3 คนเดิน พอดีกับระยะที่สองแขนของเขาสามารถป้องกันได้
“ฮ่าๆๆ! ขำเป็บ้า!” เสียงดังมาจากซากบันได อู๋เหนิงลุกขึ้นยืนอีกครั้งราวปาฏิหาริย์ เขาชี้ไปยังเสิ่นหยิงและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เราต่างก็เป็ทหารกล้าผู้ต่อสู้ห้ำหั่นในสมรภูมิ การปกปิดร่องรอยเป็พร์ที่ฟ้าประทานมาให้พวกเรา เลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการลงมือสังหารก็เป็ดั่งเช่นสัญชาตญาณของเรา แต่ดูแกตอนนี้สิ เพื่อผู้หญิงคนเดียว เคลื่อนที่ไปตามกลอุบาย ไม่กล้าแม้แต่จะละสายตาออกมาจากแม่นั่น แกไม่ใช่นายพรานอีกต่อไปแล้ว แต่เป็เหยื่อต่างหากล่ะ!”
“คุณช่างพูดเสียจริงนะ” เสิ่นิมองซ้ายทีขาวที เขาเห็นว่ารูปภาพซึ่งแขวนอยู่บนกำแพงโดนนั้นถูกกำปั้นชก จนกระจกแตกร้าวเป็ใยแมงมุม เสิ่นิหยิบเศษแก้วยาวขนาด 20 เิเขึ้นมากำและซ่อนมันไว้ในมือ “ถึงผมจะเป็เหยื่อ แต่คุณก็ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะล่าผม”
“จริงเรอะ งั้นมาลองกันดูสักตั้งไหม!” อู๋เหนิงกำขี้เลื่อยขึ้นมากองหนึ่งแล้วโยนออกไป ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์นั่นจะทำให้เสิ่นิหลับตา
มีดทหารสามง่ามของอู๋เหนิงแหวกว่ายไปในอากาศ มันพุ่งตรงไปสู่ตำแหน่งหัวใจของเสิ่นิ ด้วยความเร็วที่ยากจะหยุดยั้งเอาไว้ได้ แต่ในขณะที่ปลายมีดกำลังจะแตะตรงตำแหน่งหัวใจนั้น ทันใดนั้น เสิ่นิก็พลิกตัวและเบี่ยงไปทางด้านข้าง 10 เิเ มีดทหารเล่มนั้นสะกิดเข้าที่ิัใต้ศอกของเสิ่นิไปอย่างฉิวเฉียด ข้อมือทั้งสองข้างของอู๋เหนิงถูกรวบไว้แน่น ไม่สามารถสะบัดให้หลุดได้
“ว่าไง...” อู๋เหนิงยังไม่ทันได้พูดจบ ประกายเย็นวาบสายหนึ่งก็สว่างขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีกแล้ว
เสิ่นิลงมือรวดเร็ว เขาใช้แผ่นกระจกนั่นตัดหลอดลมของอู๋เหนิงขาดสะบั้นโดยที่ไม่เปื้อนเืแม้แต่หยดเดียว อู๋เหนิงซึ่งขาดลมหายใจถอยหลังทรุดฮวบลงทันที สารอะดรีนาลีนยิ่งทำให้เืออกจากปากแผลเป็ปริมาณมาก คนทั่วไปอาจจะยื้อชีวิตไว้ได้อีก 10 นาที แต่สำหรับเขาแล้ว น่าจะเหลือเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น
เขาใช้มือขวาที่ได้รับาเ็อุดบริเวณลำคอโดยสัญชาตญาณ และเพียรที่จะลุกขึ้น แต่ก็กลับล้มลงไปอยู่หลายหน บนพื้น บนกำแพง นองไปด้วยเื เหมือนกับไก่ที่ถูกเชือดอยู่ในเล้า กระพือปีกอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมซึ่งถึงฆาตได้
เสิ่นิปล่อยแผ่นแก้วให้หลุดมือ ก่อนจะหยิบมีดทหารสามง่ามซึ่งหล่นอยู่ข้างๆ อู๋เหนิงขึ้นมา เขาเดินตรงไปยังอู๋เหนิงซึ่งกำลังทุรนทุราย ปราศจากความรู้สึกผิดในการปลิดชีวิตคน ลมหายใจไม่ได้สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ่เวลานี้เองที่สำหรับเสิ่นิแล้ว เป็่ที่ได้เป็ตัวของตัวเอง เป็เครื่องจักรสังหารซึ่งโครงการนิรวานใช้เวลาการผลิตถึงสิบปี
เขาตั้งใจจะให้อู๋เหนิงจากไปอย่างสงบจึงต้องลงมืออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ให้เขาจากไปอย่างไม่ต้องรับรู้ถึงความเ็ป ถือเป็ความปรารถนาดีที่เขาจะชดใช้คืนให้กับชายคนนี้
แต่ในขณะนั้น เมิ่งฉีซึ่งหวาดกลัวจนร้องไห้อยู่ จู่ๆ ก็พุ่งตัวผ่านร่างของเสิ่นิไปยังตู้ในห้องนั่งเล่นและเริ่มพลิกค้นหาของจนสะเปะสะปะ เมื่อเสิ่นิเข้าใจว่าเธอกำลังจะทำอะไร เธอก็วิ่งหอบกล่องปฐมพยาบาลมาจนถึงข้างกายของอู๋เหนิง
“คุณอา! อดทนไว้นะ! ห้ามตายนะ!” เมิ่งฉีลนลานรีบเอาผ้าก๊อซออกมาเพื่อพันแผลให้อู๋เหนิง แต่เธอก็ไม่มีทักษะทางด้านนี้ เธอร้องห่มร้องไห้เสียใจ นั่นไม่ใช่น้ำตาแห่งความหวาดกลัว
“เขาคิดจะฆ่าคุณ ทำไมคุณถึงยังไปช่วยเขา” เสิ่นิไม่เข้าใจ แม้แต่อู๋เหนิงเองก็ไม่เข้าใจ
“เพราะว่าทุกคนต่างก็มี่เวลาที่ทำตัวงี่เง่าด้วยกันทั้งนั้น คนในครอบครัวยิ่งไม่ควรเก็บมาคิดเล็กคิดน้อย! ก่อนหน้านี้...ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยทำตัวงี่เง่า เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว และไร้เหตุผล แต่ว่าคุณอา...คุณอาไม่เคยทิ้งฉันไปไหน เขาคอยปกป้องฉัน อยู่ข้างกายฉันมาตลอด ฉันมีคุณอาแค่เพียงคนเดียว ฉันไม่อยากให้เขาตายเหมือนกับหมา!” เมิ่งฉีจับผ้าก๊อซแน่น เธอสะอื้นไห้จนไม่สามารถส่งเสียงได้อีก
ตลอดมาอู๋เหนิงคิดเพียงแต่ว่าวงการมายานี้มีแต่เื่ของผลประโยชน์ ไม่มีความรู้สึกใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาเฝ้าติดตามดารามาไม่น้อย ไม่ว่าจะสันดานคนเบื้องหน้าหรือว่าเื้ั โลกก็ไม่ได้เป็เช่นนี้เองหรอกหรือ ทำไมแม่นี่ถึงต้องร้องไห้สงสารเขาด้วย ทั้งๆ ที่เขาเป็คนที่คิดจะฆ่าเธอ…
“ให้ผมจัดการเถอะ” เสิ่นินั่งยองๆ ข้างอู๋เหนิง เขาหยิบเข็มออกมาจากกล่องปฐมพยาบาล และเย็บแผลที่บริเวณลำคอและฝ่ามือให้อู๋เหนิง ทักษะการพันแผลนั้นดีห่างไกลจากการพันมั่วๆ ของเมิ่งฉีมาก
“เขาเสียเืไปมาก ต้องให้น้ำเกลือ ผม้าขวดและสายยาง แล้วก็น้ำตาลทรายขาว เร็วเข้า” เสิ่นหมิ่งกำชับ เมิ่งฉีรีบรุดไปยังห้องครัว หลังจากเย็บแผลที่คอเสร็จแล้ว อู๋เหนิงก็สามารถกลับมาพูดได้อีกครั้ง
“ช่วยดูแลเธอ...แทนผมที...ไม่อย่างนั้นผมออกไปได้เมื่อไร คุณตายแน่...” อู๋เหนิงพูดพลางดึงปืนพกของเซี่ยวอี๋ออกมาจากด้านหลัง ก่อนจะวางมันลงบนพื้นข้างลำตัว
ทหารพรานเ้าป่านายนี้กำลังรอเสิ่นิ รอคอยให้เสิ่นิสังหารเขามาโดยตลอด โดยธรรมชาติของนักล่าแล้วเขาจะไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะสังหารคู่ต่อสู้ แม้ตัวเองจะต้องตายตกไปก็ตาม
“อย่าเล่นบทผู้ปกครองที่ตัดสินอนาคตแทนเธออีกเลย เมิ่งฉีน่ะโตแล้ว ต่อให้ไม่มีคุณหรือผม เธอก็ดูแลตัวเองได้ คุณเข้าคุกรับโทษอย่างสบายใจเถอะ” เสิ่นิกล่าวพลางลุกขึ้น
ค่ำคืนนี้ช่างวุ่นวาย ละแวกคฤหาสน์ระดับหรูไม่เคยมีรถตำรวจ รถพยาบาลมากมายขนาดนี้มาก่อน อู๋เหนิงถูกจับในข้อหาลักพาตัวและเป็อันตรายต่อบุคคลอื่น เมิ่งฉีเองก็ถูกเ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนายสอบปากคำอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ถึงแม้ลุงตำรวจล้วนจะอยากได้ลายเซ็นของเธอ และมีบ้างบางนายที่ถามคำถามส่วนตัวเช่น “มีแฟนหรือยัง” แต่เมิ่งฉีก็ยังคงให้ความร่วมมือ
เสิ่นินั่งอยู่ข้างๆ รถพยาบาล สาธิตการเย็บาแให้แก่เ้าหน้าที่แพทย์ประจำรถ แพทย์ท่านนั้นถึงกับใ แม้ตนเองจะจบจากวิทยาลัยเฉพาะทางชั้นแนวหน้า แต่ก็ไม่สามารถเย็บปากแผลได้สวยงามและยอดเยี่ยมเช่นนี้ เขาใช้แค่เพียงอุปกรณ์ฆ่าเชื้อและผ้าพันแผลเท่านั้น ก็สามารถจัดการแผลได้เรียบร้อยแล้ว ช่างคล่องแคล่วราวกับสัตว์ประหลาด
ขณะที่เกิดเหตุวุ่นวายเซี่ยวอี๋เดินไปยังข้างรถ ก่อนจะยื่นน้ำแร่ให้กับเสิ่นิขวดหนึ่ง ส่วนตนเองก็เอาถุงน้ำแข็งโปะศีรษะอยู่ อู๋เหนิงลงมือจัดหนัก เล่นเอาศีรษะด้านหลังของเซียวอี๋ปูดเป็ลูกกลมโต
“ฉันนึกว่านายจะฆ่าเขา...” เซี่ยวอี๋มองไปยังอู๋เหนิงซึ่งถูกหามเข้าไปในรถพยาบาลก่อนจะกระซิบถาม
“ก็ว่าจะอย่างนั้นแหละ แต่เกิดเปลี่ยนใจ เขาก็ไม่ได้เกินเยียวยาขนาดนั้น ไว้ชีวิตได้” เสิ่นิอมยิ้ม
“เปลี่ยนใจเพราะเมิ่งฉีหรือเปล่า” เซี่ยวอี๋รู้เื่ในภายหลัง
“ก็ไม่เชิงหรอก สุดท้ายแล้วผมนึกขึ้นได้ว่าผมเป็บอดี้การ์ด ไม่ใช่ทหารที่คอยฆ่าคนแล้ว และที่นี่ก็ไม่ใช่สนามรบ เขาไม่ใช่ศัตรูที่จะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง มันยังเหลือทางเลือกอื่นอีก” เสิ่นิหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับยืนขึ้น
“ดูเหมือนว่านายจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับชีวิตเมืองได้แล้ว มนุษย์โลกยินดีต้อนรับ” เซี่ยวอี๋กล่าวแสดงความยินดี
แต่ในขณะนั้น เมิ่งฉีซึ่งให้ปากคำเสร็จแล้ว ก็เดินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เซี่ยวอี๋หลีกทางให้เธออย่างกับนกรู้ ปล่อยให้เสิ่นิได้อยู่กับเมิ่งฉีตามลำพัง
“เจ็บหรือเปล่า” เธอมองไปยังผ้าพันแผลบนหน้าอก ก่อนจะพูดอย่างประหม่า
“ถ้าไม่เจ็บก็คงเป็สัตว์ประหลาดแล้วล่ะ แต่ผมชินแล้ว เพราะอย่างนั้นสบายมาก” เสิ่นิตบหน้าอก
“ขอโทษ เป็เพราะฉัน คุณถึงต้องเป็แบบนี้” เมิ่งฉีรู้สึกผิดเต็มอก
“พูดโง่ๆ น่า คุณเป็นายจ้างผม ผมปกป้องคุณก็เป็หน้าที่ผม”
“หลังจากนี้มาเป็บอดี้การ์ดประจำให้ฉันเลยได้ไหม”
“ไม่ได้ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา บริษัทรักษาความปลอดภัยตระกูลเสิ่นจะไม่ทำธุรกิจซ้ำเดิม แต่ถึงแม้ว่าระยะเวลาในการคุ้มครองจะสิ้นสุดลง เราก็ยังเป็เพื่อนกันได้ แม่ดาราดังอย่างคุณ ใครก็กระตือรือร้นอยากจะเป็เพื่อนด้วยกันทั้งนั้น” สิ้นสุดงานรักษาความปลอดภัย เสิ่นิก็กลับสู่โหมดนักเลงตามเดิม
“ถ้าฉันขอร้องล่ะ” เมิ่งฉีลองวิธีอ้อนด้วยสีหน้าท่าทางน่ารัก
“พอเถอะ” เสิ่นิดีดหน้าผากเธอไปหนึ่งที “ต่อไปเราก็จะต่างคนต่างยุ่งมาก นอกจากหลับนอนกันเป็ครั้งคราวแล้ว จะให้คบกันคงเป็ไปไม่ได้”
“หลับนอนเป็ครั้งคราว? ฝันไปเถอะ!” เมิ่งฉีเอามือปิดหน้าผากตนเอง ก่อนจะดีดเหม่งเสิ่นิคืนบ้าง จากนั้นชายหญิงทั้งคู่ก็พากันหัวเราะ
“เอาล่ะ อีกหน่อยฉันจะแนะนำเพื่อนๆ ของฉันให้รู้จักนาย เพราะว่านายเป็บอดี้การ์ดที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา ให้กิจการคุณรุ่งเรืองๆ” เมิ่งฉีกล่าวอย่างประนีประนอม
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมาก” เสิ่นิยิ้มหน้าบานเหมือนกับดอกไม้ ในที่สุดแผนของตนเองก็บรรลุผล
“แล้วครั้งนี้ที่คุณช่วยฉันไว้ จะให้ฉันตอบแทนคุณอย่างไร คุณทำให้ฟรี แต่ฉันให้ค่าจ้างคุณไม่ได้หรือยังไง” เมิ่งฉีกล่าวอย่างรำคาญใจ
“ที่จริงผมรับเป็รางวัลได้...” เสิ่นิพูดยังไม่ทันจบ เมิ่งฉีก็คว้าคอเขาไว้ ก่อนจะยืนเขย่งบนปลายเท้าพร้อมกับประทับจูบอย่างลึกซึ้ง เหล่าตำรวจและเ้าหน้าที่ทางการแพทย์รอบๆ ต่างพากันตกตะลึง ลืมแม้กระทั่งจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพ
“ลาก่อน บอดี้การ์ดที่แสนห่วยแตกของฉัน” เมิ่งฉีกอดเสิ่นิแน่น
“ลาก่อน แม่ดาราผู้เอาแต่ใจของผม” เสิ่นิกระซิบที่ข้างหูของเมิ่งฉี