“เป็ไปได้ยังไง” ชาเขียวยืนอึ้งอยู่บนเวที ก่อนหน้าที่เธอจะขึ้นแสดง เธอได้เปิดไวน์ Lafite ปี 82 เตรียมฉลองเอาไว้ั้แ่ในห้องแต่งตัวแล้วนึกแล้วก็เสียดาย ดวงตากลมโตแสร้งทำเป็บีบน้ำตาจระเข้
เมิ่งฉีหลั่งน้ำตาพลางยกสองมือขึ้นปิดปาก เธอไม่ได้คาดหวังกับผลลัพธ์เช่นนี้ เพลงสุดท้ายนั้นเป็เื่ส่วนตัวล้วนๆ อู๋เหนิงเตือนเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเพลงใหม่ที่เป็เพลงช้านั้นไปไม่รอดแน่ แต่สุดท้ายเธอก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่โดยการเล่นเพลงช้าใหม่เกาะกล่องในรายการ ‘The Voice of China’
ในห้องควบคุมเวที ชายหนุ่มเพลิดเพลินไปกับเสียงกระแทกประตูจากด้านนอก เสิ่นินั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยกอย่างสบายใจ มองดูเมิ่งฉีผ่านจอั์ในขณะที่ขึ้นรับมงกุฎเถลิงถวัลย์กลายเป็ราชินีของเวที
เขาเห็นแค่ไคว่จุ่ยหวาเดินจูงมือเมิ่งฉีไปยังด้านหน้าเวที เธอน้ำตาคลอเบ้า เป็ครั้งแรกที่ไคว่จุ่ยหวาพูดถึงความรักด้วยความเร็วปกติ “ห่างหายไปนานสี่ปี ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ เสียงเพลงของผู้หญิงคนนี้ผ่านห้วงเวลาและอวกาศ นี่เป็ครั้งที่สองที่เธอได้ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของการแข่งขัน ทำให้โลกได้รู้ว่าดนตรีอันงดงามที่แท้เป็เช่นใด
ผมเชื่อว่า ทุกคนรวมทั้งผม ต่างก็ประทับใจในตัวผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน ไม่เพียงเพราะเสียงอันเป็ธรรมชาติของเธอ แต่เพราะความแข็งแกร่ง ความจริงใจ ความกล้าหาญ และความรักของเธอ
ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าผู้ชายคนไหนที่ได้บุกรุกเข้าไปในหัวใจของเธออีกครั้ง แต่ผมก็อยากจะขอบคุณผู้ชายคนนั้น ขอบคุณที่ช่วยเปลี่ยนเมิ่งฉีให้กลายร่างเป็ผีเสื้อ และได้กลายมาเป็ ‘The Voice of China’คนที่สามในประวัติศาสตร์...”
ไคว่จุ่ยหวายังไม่ทันได้พูดคำว่า “แชมป์เปี้ยน” ปัง!ปัง! ปัง! เสียงะเิดังขึ้นติดต่อกัน 3 ครั้งจากโซน VIP แก๊สน้ำตาจำนวนมากฟุ้งกระจายไปยังผู้คน เสียงเชียร์กลายเป็เสียงกรีดร้อง แฟนๆ เริ่มวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก แม้แต่เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่จับมือต่อกันเพื่อเป็กำแพงที่มนุษย์ทางด้านหน้าก็ยังถูกผู้คนชนจนล้มไม่เป็ท่า
ทีมเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่มีแผนจัดการเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ผู้ชมที่อยู่ห่างออกไปรีบพากันเผ่นหนี
แขกผู้มีเกียรติรอบตัวเซี่ยวอี๋พากันวิ่งแตกตื่นอย่างกับกระต่าย และที่ทางออกฉุกเฉินนั่น ผู้คนต่างพากันอพยพออกไปก่อนที่ควันจะฟุ้งมา ขณะที่เธอมะงุมมะงาหราอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“เฮ้!นายตกส้วมตายไปแล้วหรือยัง! เกิดะเิขึ้นในฮอลล์!” เซี่ยวอี๋กร่นด่า
“ไม่ต้องแตกตื่น แค่ะเิควันธรรมดาที่ทหารเขาใช้กัน ดูเมิ่งฉีไว้ ปกป้องเธอผมจะรีบไป!” เสิ่นิว่าจบ ก็เริ่มเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางตรงหน้า
“รีบหน่อย!” เซี่ยวอี๋พูดจบก็วิ่งฝ่าฝูงชน และะโขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว แต่ยายชาเขียว เมิ่งฉี และไคว่จุ่ยหวา คือกลุ่มแรกที่อพยพลงไปทางด้านหลังเวที เซี่ยวอี๋ก้าวขายาวทะยานไปยังเบื้องหน้าอีกครั้ง พอหวนคิดว่าหลายวันที่ตามเสิ่นิมา เธอต้องวิ่งแบบไม่คิดชีวิตถึง 3 ครั้ง หรือเธอจะถูกกำหนดมาให้วิ่งจนเป็หน้าที่หรือเปล่า
เมิ่งฉีตื่นตระหนกไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้น เธอตามไคว่จุ่ยหวาไปตลอดทาง ระหว่างทาง พวกเขาก็พบกับอู๋เหนิง
“มากับอาสิ” อู๋เหนิงยื่นมือไปทางเมิ่งฉี เมิ่งฉีดูเหมือนจะลังเล แต่ในที่สุดก็คว้ามืออันคุ้นเคยไว้ด้วยสัญชาตญาณ
อู๋เหนิงพาเมิ่งฉีไปทางประตูทางออกและวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งฉีถามด้วยความตื่นเต้น “คุณอา เสิ่นิกับพี่เซี่ยวอี๋ยังไม่ออกมาเลย รอพวกเขาก่อนดีไหม!”
“รอไม่ได้แล้ว เราต้องรีบไปกันแล้ว!” อู๋เหนิงดันแว่นกรอบทองบนดั้งจมูกขึ้น
“รีบหรอ ไปทำอะไรคะ” เมิ่งฉีงงไปหมดแล้ว
“ก็ ‘งานฉลอง’ ที่เตรียมไว้ให้เธอยังไงล่ะ” อู๋เหนิงยิ้มเ้าเล่ห์ที่มุมปาก
เกิดความโกลาหลขึ้นในสถานที่จัดงาน แต่อู๋เหนิงกลับใจเย็นและมุ่งหน้าไปอย่างคุ้นทาง เขาลากพาเมิ่งฉีไปยังลานจอดรถที่อยู่นอกประตูหลัง พวกเขาเดินไปจนถึงรถแท็กซี่ของจ้าวเฉียน
เมื่อเห็นเมิ่งฉีกับผู้มีพระคุณจ้าวเฉียนก็รีบปลดป้าย “งดให้บริการชั่วคราว” ออก มือที่กำพวงมาลัยอยู่นั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ ภายในไม่กี่วันใน่เวลาสั้นๆ นี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่เมิ่งฉีขึ้นมานั่งในรถเขา จะมีอะไรสุขใจไปมากกว่านี้อีก
“คุณอา หนูอยากรอเสิ่นิก่อน! ไม่มีเขา หนูก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น!” พอมาถึงรถ เมิ่งฉีก็จับกำที่เปิดประตูแน่น เป็ครั้งแรกที่เธอเถียงเสียงแข็ง
“อาถึงเคยบอกไง ว่าที่ร้ายที่สุดก็คือบอดี้การ์ด” อู๋เหนิงถอนหายใจพลันถอนแว่นกรอบทองออกจากกรอบหน้า และทันใดนั้นเขาก็ตบเมิ่งฉีไปหนึ่งฉาด
เมิ่งฉีถูกตบจนมึน อู๋เหนิงอยู่กับเธอมา 3 ปี ถึงจะดุแต่ก็ไม่เคยลงมือกับเธอ ไม่ว่าเธอจะทำเื่โง่เง่ามากแค่ไหนก็ตาม เขาก็ไม่เคยกล่าวโทษเธอเลย
“ผู้มีพระคุณ! อย่าทำร้ายเมิ่งฉีนะ!” จ้าวเฉียนรุดออกมาจากที่นั่งคนขับด้วยความใ
“เข้าไป! ใครบอกให้แกออกมา!” อู๋เหนิงคำรามราวกับสัตว์ร้าย
“เมิ่งฉี!” ในที่สุดเซี่ยวอี๋ก็ตามมาถึง เธอวิ่งมาถึงที่หน้ารถก่อนจะหยุดลง ฉากเบื้องหน้านั้นยากที่จะทำความเข้าใจ แก้มของเมิ่งฉีแดงก่ำเหมือนกับลูกตำลึง คนขับตัวอ้วนที่ยืนอยู่ตรงนั้นใช่จ้าวเฉียนหรือเปล่า
“ว้า ดูซิใครมาแล้ว นี่ไม่ใช่บอดี้การ์ดตำรวจสาวเซี่ยวอี๋ของเราหรอกหรือ” อู๋เหนิงกลับสู่รอยยิ้มสุภาพบุรุษก่อนจะเดินเข้าไปหาเซี่ยวอี๋
“หยุดอยู่กับที่ อย่า...” เซียวอี๋พูดตามสัญชาตญาณ พลางจะคว้าปืนจากทางด้านหลัง แต่เธอยังไม่ทันได้เอื้อมแขนไป อู๋เหนิงก็เร่งฝีเท้าตรงเข้ามาหาเธอ เขาคว้ามือข้างที่จับปืนของเธอไว้และพยายามดันมันให้กลับเข้าไปในซอง
“คิดว่าตำรวจเก่งกล้าสามารถมากใช่ไหม พูดถึงทักษะการต่อสู้ สำหรับผมตำรวจก็แค่เด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา” เซี่ยวอี๋ยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่าง ร่างเธอก็ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ อู๋เหนิงคว้าเข็มขัดหนังของเธอด้วยมือข้างเดียว เบาราวกับโยนผลไม้กระทั่งเธอลอยขึ้นจากพื้นและสูญเสียการทรงตัว
เซี่ยวอี๋พยายามทรงตัวด้วยท่าหกสูง แต่อู๋เหนิงซึ่งเหมือนกับตะขอทองคำได้ใช้เท้าเตะไปที่ลำคอเซียวอี๋แต่แขนกลับถูกเซี่ยวอี๋ยกสกัดไว้
“ตอบสนองได้ดีนี่ แต่ก็ยังดีไม่พอ!” อู๋เหนิงแสยะยิ้มก่อนจะเตะไปที่ท้องน้อยของเซี่ยวอี๋ พอเห็นเซี่ยวอี๋บินถลาไปไกลราวสองเมตร และกระแทกเข้ากับประตูฝั่งผู้โดยสาร ก่อนจะตกลงไปกองกับพื้น ประตูรถยุบบุบเข้าไป
“อ๊ะ!!!” เมิ่งฉีใจนกรี๊ดลั่น
อีกทางหนึ่งก็ใช้ลูกเตะเช่นกัน พอประตูห้องควบคุมถูกเปิดออก รปภ.สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ถูกเตะเสียจนกระเด็น
“ไอ้บ้าเอ๊ย! เอ็งทำให้พวกข้าต้องโดนหักค่าแรงนะ!” เ้าหน้าที่หลายสิบคนชักกระบอกออกมา และเดินเข้าไปหาเสิ่นิที่เพิ่งออกมาจากด้านในเหมือนกับนักเลง
“ผมติดต่อนายจ้างไม่ได้ ตอนนี้ผมรีบ เพราะฉะนั้น...หลีกไป ถ้าผมลงมือแล้วอาจจะทำพวกพี่เจ็บตัวได้” เสิ่นิเตือนด้วยความสงบ
5 นาทีหลังจากนั้น เสิ่นิก็ตามออกมาถึงลานจอดรถที่ด้านประตูหลัง ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร แค่เืของคนอื่นเปื้อนอยู่ที่ชายเสื้อเขา ตรงนี้ไร้ผู้คน บนพื้นมีเพียงรอยยางรถเท่านั้น
เสิ่นิเปิดโทรศัพท์เพื่อใช้พิกัดหาตำแหน่งของเซี่ยวอี๋ เขาขับรถจี๊ปตามไปยังพิกัดนั้น ระหว่างทางเขาก็สูดลมหายใจก่อนเข้ารหัส
“เมาส์ ทำอะไรอยู่” เสิ่นิถามอย่างคุ้นเคย
“มีอะไรก็รีบพูด ผมกำลังเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของวอลสตรีตเล่นอยู่” เสียงจากปลายสายนั้นเป็เสียงวัยรุ่นชัดๆ
“จำได้ไหม คราวก่อนที่ผมให้คุณช่วยหาเบาะแสของผู้จัดการของเมิ่งฉี ช่วยเจาะให้ลึกหน่อย ผม้าข้อมูลที่ผ่านมาของเขาทั้งหมด สาวไปั้แ่เกิดที่โรงพยาบาลไหนก็เอามาให้หมด”
“จะว่าไปคราวที่แล้วคุณก็ยังไม่ได้จ่ายให้ผมเลย โตแล้วนะ อย่ามาเอารัดเอาเปรียบผมได้ไหม” ถึงเมาส์จะพูดอย่างนั้น แต่มือของเขาก็เริ่มทำงานแล้ว ในฐานะแฮ็กเกอร์ที่เด็ดที่สุดในโลก อินเทอร์เน็ตทำให้เขามีความสามารถในการรวบรวมข่าวกรองเหมือนกับเทพพระเ้า
“ผมไม่มีเวลามารำลึกความหลัง จะช่วยผมหรือเปล่า หรือจะให้พกปืนไปคุยด้วย เบื้องบนสั่งมาให้จัดการแต่คุณเป็ภารกิจเดียวที่ผมทำไม่สำเร็จ ถือเป็ความตกต่ำเดียวในชีวิตผม” เสิ่นิขู่เสียงเ็า
“ให้ตายเถอะ รู้อยู่แล้วว่าผมเป็หัวใจพิการแต่กำเนิด แต่ก็ยังจะทำผมใได้ทุกครั้ง เสร็จแล้ว ส่งเข้าอีเมลคุณไปแล้ว ลองดูเองแล้วกัน คราวหน้าต้องจ่ายเงินผมด้วย! ไอ้โรคจิต!” เมาส์พูดจบก็รีบวางสายไป
เสิ่นิตามสัญญาณไปตลอดทางจนกระทั่งถึงซอยคฤหาสน์ของเมิ่งฉี จ้าวเฉียนหยุดแท็กซี่ประตูบุบคันนั้นตรงหน้าประตูทางเข้า ประตูเลื่อนเปิดออก รอยบุบเผยให้เห็นแสงอาทิตย์
เสิ่นิถอดสูทบนกายออก และเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาบิดข้อมือปิดประตู เสียงดังแกรกล็อกไฟฟ้าก็ทำการล็อกโดยอัตโนมัติ
เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่น เซี่ยวอี๋ซึ่งหมดสติถูกมัดอยู่ จ้าวเฉียนลากเธอผ่านห้องครัว กระทั่งถึงโซฟาในห้องนั่งเล่น อู๋เหนิงกำรีโมทคฤหาสน์ไว้ในมือพร้อมกับดื่มไวน์แดง เมิ่งฉีนั่งบื้ออยู่ข้างๆ
“เสิ่นิเหรอ!” ในที่สุดก็เห็นบอดี้การ์ดของตัวเอง เมิ่งฉีคิดจะเข้าไปหาเขาด้วยความตื่นเต้น แต่กลับถูกอู๋เหนิงดึงข้อมือไว้จนหมุนไปหนึ่งรอบ ครู่หนึ่งก็หมุนกลับมาอยู่ตรงหน้า เหมือนท่าที่เสิ่นิเคยทำกับเธอที่ชายหาด
“คุณมาเร็วกว่าที่ผมคาดไว้นะ” อู๋เหนิงจับเมิ่งฉีไว้ด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างหนึ่งก็ยังคงถือแก้วไวน์แดงอยู่
“ผมบอกคุณแล้ว ว่าผมเป็บอดี้การ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด” เสิ่นิสืบเท้าไปยังห้องนั่งเล่นโดยไม่ได้รีบร้อน เขาหยุดลงที่ระยะเท่าโต๊ะกาแฟ
“ขอบคุณสำหรับเื่ไร้สาระของคุณ แผนการอันยิ่งใหญ่ของผม มันเกือบจะพังเพราะคุณแล้ว!” อู๋เหนิงซดไวน์แดงจนหมดแก้ว ก่อนจะเหวี่ยงแก้วลงกับพื้น
“ปล่อยเมิ่งฉีกับเซี่ยวอี๋ซะ จากนั้นก็หายตัวไปจากที่นี่ผมจะไม่สืบสาวราวเื่ ผมเคยบอกว่าติดหนี้คุณอยู่ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ถือว่าใช้คืนให้คุณ” เสิ่นิสงบลงอย่างอธิบายไม่ได้
“คืนผมเหรอ จ่ายไหวใช่ไหม ผมรับเงินใต้โต๊ะจากบอสของยายชาเขียวมาห้าล้านหยวน เพื่อแลกกับตำแหน่งแชมป์ เงินทั้งหมดก็เอาไปพนันข้างยายชาเขียว คุณมันบ้าเปลี่ยนเพลงก็เลยทำให้เมิ่งฉีได้แชมป์ คุณจะชดใช้ให้ผมได้ยังไง! 10 ล้านนะ!ต่อให้คุณตายไปสิบรอบก็ใช้คืนไม่หมดหรอก!”
“บอสทางนั้นออกคำสั่งมาแล้ว ถ้าไม่คืนก็ตาย!คุณตายแทนผมสักครั้งได้หรือเปล่าล่ะ” อู๋เหนิงยิ้มเยาะ
“ตอนนี้เมิ่งฉีฮอตมาก ถ้าคุณเป็ผู้จัดการดีๆ ให้กับเธอ รายได้ก็ไม่เลวเลยนะ” เสิ่นิกล่าวด้วยความเสียดาย
“น้อยเกินไป ค่าคอมแค่ 10% ชาติไหนผมถึงจะหาเงินได้ถึงล้าน ชีวิตสั้นนัก ยุ่งจนหัวหมุน สุดท้ายใครกันที่รวย” อู๋เหนิงหัวเราะได้อย่างอัปลักษณ์อย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
“เพราะอย่างนี้คุณก็เลยจงใจทำจดหมายขู่ เพื่อเปิดเผยร่องรอยของเมิ่งฉีให้กับจ้าวเฉียน สร้างบทฆาตกร อาศัยตอนที่เขาไม่อยู่บ้านเขียนประกาศว่า ‘ตายด้วยกัน’ ไว้บนกำแพง เผื่อหากเกิดอะไรขึ้น จะได้มีแพะรับบาปรับผิดชอบการตายของเมิ่งฉีแทนคุณ...” เสิ่นิปะติดปะต่อเื่ราวทุกอย่างเข้าด้วยกัน เขาไม่ใช่นักสืบ แต่เขาก็หัวไวต่อความผิดปกติมาก
“ผู้มีพระคุณ...ที่เขาพูดนั่นจริงเหรอ คุณคิดจะฆ่าเมิ่งฉีจริงๆ เหรอ” มาถึงข้างกายอู๋เหนิง จ้าวเฉียนตัวสั่นจนไม่อยากจะเชื่อว่าผู้มีพระคุณตรงหน้าจะกล้าทำเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะขนน้ำมันเบนซินเข้ามาด้านในแล้วสองลิตรตามที่เขาขอแล้วก็ตาม
“หุบปาก! เ้าหมูอัปลักษณ์!” หมัดของอู๋เหนิงพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของจ้าวเฉียนทันควัน ชายร่างอ้วนล้มคว่ำหมดสติไป
“รู้แล้วยังไง คุณหยุดผมได้หรือเปล่า ให้ผมบอกคุณไหมว่าพาดหัวข่าววันพรุ่งนี้จะเขียนว่ายังไง ‘เมิ่งฉีสมองเลอะเลือน จู่ๆ ก็จุดไฟเผาตัวเอง ตำแหน่งแชมป์ The Voice of China จึงตกเป็ของชาเขียว’ ใช่แล้ว ยังมีบอดี้การ์ดอีกสองคนที่ดวงซวยไปด้วย ถูกไฟคลอกตายไปด้วยกัน” ในแววตาของอู๋เหนิงปรากฏแววตาเพชฌฆาต