“ตี้จวิน…”
“ไม่เป็ไร แค่กๆ…” เฟิงจิ้งอี้โบกมือให้เขา “อย่าได้ร้อนใจไปเลย”
ตอนนี้เป็่เปลี่ยนฤดูกาล อากาศในฤดูใบไม้ร่วงแห้งชื้นทำให้อาการไอนี้กำเริบบ่อยๆ
ผ่านไปสักพัก เฟิงจิ้งอี้ก็ค่อยผ่อนคลายลง เก็บผ้าเช็ดหน้าสีแดงเข้มลงเงียบๆ เหยียนชิงหลุบตาลงทำเป็มองไม่เห็น จากนั้นก็เป็ฝ่ายรินชาให้เขาก่อนจะเอ่ยถาม
“ฝ่าาไอสะสมมายาวนานเช่นนี้ต้องระวังให้มาก ห้ามฝืนจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้ายืดเยื้อไปนานเข้าคงไม่หายขาด”
“หืม?” เฟิงจิ้งอี้ขมวดคิ้ว และเหลือบมอง ดวงตาของเขามืดครึ้มพลางจงใจพูดว่า
“เจิ้นแค่ไอเพราะอากาศแห้งเท่านั้น จะเป็โรคเรื้อรังได้อย่างไร?”
เหยียนชิงเงยหน้าสบตากับเขา “เอ่อ อาการของฮ่องเต้เป็เช่นนี้มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หวังว่าฝ่าาจะยอมรักษาโรคนี้ให้หายขาด”
เฟิงจิ้งอี้หรี่ตาลง “เ้ารู้วิชาแพทย์หรือ?”
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนชิงส่ายหน้า “ขออภัยที่กระหม่อมบังอาจ แต่อาการของฝ่าาคล้ายคลึงกับอาการป่วยของนักเก็บสมุนไพรที่กระหม่อมเคยเห็นมามากพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?” เฟิงจิ้งอี้คล้ายจะสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว “เ้าว่าคล้ายกันที่ใดหรือ?”
เหยียนชิงยกถ้วยชาขึ้น
“เหลียงเฉ่าเป็ยา โดยทั่วไปใช้กับอาการไอแห้ง แต่หากไอนานๆ ใช้ชงแทนดื่มน้ำเปล่าก็ช่วยบรรเทาได้ ตอนนี้สีหน้าของฝ่าาซีดเซียว คาดว่าคงเกิดจากอาการป่วยเรื้อรัง นอนหลับไม่สนิท หรือ…”
เฟิงอิ้งจิ้งเอ่ยถาม “หรืออะไร?”
เหยียนชิงพยักหน้าและพูดต่อ
“อาจจะมีพิษอยู่สามส่วน สมุนไพรเหลียงเฉ่านี้เป็ยา ดื่มไปนานๆ ร่างกายก็ยังมีพิษสะสมอยู่ ตอนนี้ฝ่าาหน้าซีด คงเกี่ยวข้องกับการที่มีพิษสะสม ผู้ป่วยที่กระหม่อมพูดถึงได้ใช้สมุนไพรที่เป็พิษอยู่นาน สารพิษในร่างกายก็สะสมไปเรื่อยๆ จนเป็โรคเรื้อรัง”
เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิชาแพทย์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่เหล่าหมอหลวงในวังพูดในชาติที่แล้ว เพียงแต่ใช้โอกาสนี้นำมาอ้างอิงเท่านั้น
“พิษสะสม…” แววตาของเฟิงจิ้งอี้ฉายแววเ็า แล้วกล่าวต่อว่า “เ้าพูดถูกแล้ว…”
เหยียนชิงแสร้งทำเป็มองเขาด้วยความประหลาดใจก่อนจะก้มหน้า
เฟิงจิ้งอี้เอ่ยถามว่า “แล้วคนที่ป่วยเช่นนี้เป็อย่างไรบ้าง ตายหรือไม่?”
หากโรคนี้ยังเรื้อรังต่อไปก็ต้องตายสถานเดียว เขารู้ตัวเองดี คงมีผู้คนมากมายรอให้เขาตายอยู่
เหยียนชิงก้มหน้าลง
“ฝ่าากล่าวหนักเกินไปแล้ว อาการไอนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง จะเอาชีวิตคนไปง่ายๆ ได้อย่างไร คนไข้ผู้นั้นหายดีแล้ว ตอนนี้ก็ออกไปทำธุรกิจอยู่นอกด่านแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ…” เฟิงจิ้งอี้ดื่มชาอีกอึก “เ้ารู้หรือไม่ว่าเขารักษาตัวเองอย่างไร?”
“รู้พ่ะย่ะค่ะ” เหยียนชิงตอบ “กระหม่อมได้ยินว่าเขาขอใบสั่งยามาจาก…”
เหยียนชิงหัวใจเต้นแรง เข้าวังครั้งนี้ อาการป่วยของตี้จวินคือเื่ที่เขาตัดสินใจจะจัดการ
เฟิงจิ้งอี้มองเขาอยู่เงียบๆ ไม่กี่วินาทีก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่หน้าโต๊ะ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หยิบปากกา หมึก และกระดาษมาวางไว้ตรงหน้าเขา
“เขียนสูตรยาลงไป”
เหยียนชิงขมวดคิ้ว “กระหม่อม ไม่เคยลองกับตัว…”
เฟิงจิ้งอี้ยกมุมปากขึ้น “ไม่เป็ไร เจิ้นบอกให้เ้าเขียนเ้าก็เขียน ส่วนเื่อื่นเจิ้นจะตัดสินใจเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนชิงไม่ถามอะไรอีก เขายกปากกาขึ้นเขียน
ใบสั่งยานี้นอกจากจะจดจำได้ด้วยตัวเองแล้ว เพื่อไม่ให้ผิดพลาดยังให้จิงโม่ไปสืบเื่ในที่ที่หมอพิษชอบอยู่ที่นอกด่านอีกด้วย
“เจิ้นเป็โรคเรื้อรังจริงๆ หมอหลวงทำอะไรไม่ได้ หากสูตรนี้ทำให้เจิ้นหายดีได้ เจิ้นจะตกรางวัลให้เ้าอย่างงาม”
เฟิงจิ้งอี้มองดูเขาเขียนใบสั่งยาทีละคำอย่างใจเย็น ในใจเกิดความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก หากไม่แน่ใจแปดเก้าส่วน เหยียนชิงคงไม่แนะนำเขามั่วซั่วแน่นอน ในฐานะซื่อจื่อผู้มีชื่อเสียง คำคำนี้ เหยียนชิงจะต้องเข้าใจแน่
เหยียนชิงเขียนใบสั่งยาเสร็จจึงลุกขึ้นคุกเข่าแล้วส่งให้
“เหยียนชิงขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าา ร่างกายัของฝ่าาแข็งแรงนั่นย่อมเป็ความโชคดีของแคว้น กระหม่อมมิกล้ารับรางวัล”
อาการป่วยของตี้จวินจะต้องหายดีแน่ สิ่งที่เขาทำตอนนี้ก็เพื่อให้เื่ในชาติที่แล้วจบลงโดยเร็ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเว่ยซูหานยังไม่มั่นคง อ่อนไหวต่อฐานะ ไหนเลยจะกล้ารับความเมตตาจากฮ่องเต้ตามอำเภอใจ ความฉลาดของตี้จวินล้ำลึกเพียงใดเขาได้รับรู้ในชาติก่อน คำพูดที่สัญญาไว้นี้เป็เพียงการทดสอบเท่านั้น
เฟิงจิ้งอี้พยักหน้า ดวงตามีประกาย
“ลุกขึ้นเถอะ เอาอย่างนี้แล้วกัน กล้าไม่กล้าค่อยว่ากันทีหลัง เจิ้นได้ยินมาว่าเ้ามีความสามารถล้ำเลิศ ไม่ว่าเ้ามีเื่อยากจะขอหรือไม่ มิสู้เ้าเข้าพิธีสวมกวานก่อน หากเรียบร้อยแล้ว ก็มาบอกเจิ้นที่ตำหนักกิเลนเป็อย่างไร?”
เขายิ้มอย่างที่คาดเดาได้ยาก
เหยียนชิงลุกขึ้นก่อนจะเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย ประสานมือคารวะอยู่ครู่ใหญ่ “กระหม่อม รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
หากบัณฑิตอย่างเขาคิดจะเข้าตำหนักกิเลน ก็มีเพียงเส้นทางสอบขุนนางเท่านั้น ในเมื่อเป็เช่นนี้ เขาก็ควรทำตามคำสัญญาของตี้จวินผู้นี้กระมัง
รอจนวันหน้าตำแหน่งขุนนางของเขาเพิ่มขึ้น ค่อยไปเจรจาเงื่อนไขกับตี้จวินถึงจะดี
เฟิงจิ้งอี้ “ถ้าอย่างนั้น ก็ถือว่าเ้ากับข้าตกลงกันแล้ว เหยียนชิง อย่าทำให้เจิ้นผิดหวัง”
เหยียนชิง “เหยียนชิงจะพยายามให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” เฟิงจิ้งอี้พยักหน้าอย่างพอใจ “เอาล่ะ ไปเถอะ บรรณาการปีนี้เจิ้นพอใจมาก กลับไปที่ศาลาพักม้าเพื่อรอรางวัล”
เหยียนชิงทำความเคารพ “กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ประตูห้องทรงพระอักษรเปิดออก และถูกปิดลงอีกครั้ง เฟิงจิ้งอี้เหลือบมองใบสั่งยาที่หมึกแห้งอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบขึ้นมาดูอย่างตั้งใจแล้วเก็บเอาไว้ จิบชาคำสุดท้ายแล้วกลับไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ อ่านรายการเครื่องบรรณาการที่กรมคลังส่งมาให้แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนรางวัล
ไม่ว่าอย่างไร การจะคุมคนที่แต่งงานบุตรของขุนนางต้องโทษแต่มีความสามารถมากกว่าคนอื่นล้วนแต่ไม่มีอันตรายใดๆ เสด็จพ่อเคยตรัสว่า
การเป็กษัตริย์ ความใจดีต้องใช้ทั้งไม้นวน และไม้แข็ง ไม่มองว่าถูกหรือผิด เพียงชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย หากหมากในมือสูญเสียการควบคุม การทำลายเป็วิธีที่ดีที่สุด ทั้งยังเตือนเขาว่า หากลูกหลานตระกูลเหยียนก้าวเข้ามาในราชสำนักก็ต้องรู้จักชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียเช่นกัน
เหยียนชิงก้าวเข้าห้องทรงพระอักษร ให้เกียรติ และคารวะเขาอยู่หลายครั้ง แต่พอเผชิญหน้ากับข้อสงสัย และการซักไซ้ของเขา กลับสามารถตอบได้ด้วยความสุขุม นี่ไม่ใช่ความรู้ที่ลูกหลานของชนชั้นมั่งคั่งทั่วไปจะมีได้ เป็คนที่ดูไม่ต้อยต่ำไม่สูงส่ง ไม่ชักช้าหรือรีบร้อนเกินไป แม้แต่คำชมก็ยังนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
คนเช่นนี้หากได้เข้ามาในราชสำนักทุกวัน หากเป็ขุนนางที่ดี เพียงยกพู่กันเขียนตัวอักษรก็สามารถนำความสงบสุขมาสู่ใต้หล้าได้ แต่หากไม่ดี ย่อมก่อเื่วุ่นวายได้ เหยียนชิงจะเป็ประเภทไหน? หวังว่าจะไม่ทำให้ความรักของเขาผิดหวัง การที่ตระกูลเหยียนซึ่งไม่มีป้ายละเว้นโทษตายจะตกต่ำนั้นก็เป็เื่ง่ายดาย
เหยียนชิงเดินตามนางกำนัลที่นําทางออกไป ขันทีที่เฝ้าอยู่นอกประตูเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร “ฝ่าา อดีตองครักษ์ของเซียนตี้ ใต้เท้าเซียวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ ”
เฟิงจิ้งอี้เงยหน้า “ให้เขาเข้ามา”
ขันที “พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงฝีเท้าหนักแน่นเดินก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมสีดำเดินเข้ามา ผมยาวสลวย ใบหน้าหล่อเหลาแลดูเด็ดเดี่ยว ยามนี้สีหน้าเคร่งขรึม เดินไปข้างหน้าก่อนคุกเข่าคำนับ
“เซียวอวิ๋นมู่คารวะตี้จวิน”
เฟิงจิ้งอี้วางพู่กันลง ก่อนจะมองไป “ลุกขึ้นเถอะ”
เซียวอวิ๋นมู่ “ขอบพระทัยฝ่าา”
เฟิงจิ้งอี้มองเขาด้วยใบหน้าจริงจังและขมวดคิ้ว “เ้าเจอเบาะแสเกี่ยวกับการลอบสังหารเมื่อคืนนี้หรือไม่?”
เซียวอวิ๋นมู่ก้มศีรษะลง “กระหม่อมไร้ความสามารถ กระหม่อมไม่พบเบาะแสที่เป็ประโยชน์ใดๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ”
การที่นักฆ่าเข้ามาในวังเพื่อลอบสังหารก็เหมือนกับการตบหน้าเขาที่เป็หัวหน้าองครักษ์
ดวงตาของเฟิงจิ้งอี้มืดครึ้ม และเขาถามอย่างเ็าว่า “องครักษอิ่งอี้อยู่ที่ไหน?”
เซียวอวิ๋นมู่ “หวังกงกงถูกลอบสังหาร และตายที่ด้านนอกข้างตำหนักเย็น ตอนที่อิ่งอี้ไปถึงที่นั่นวังกงกงก็ตายแล้ว เขาต่อสู้กับมือสังหารจนาเ็สาหัส และหัวขโมยก็หนีไปได้”
เฟิงจิ้งอี้กำมือที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือเอาไว้แน่น “เดี๋ยวนี้องครักษ์ในวังลาดตระเวนที่ตำหนักครั้งหนึ่งห่างกันนานเท่าไหร่?”
เซี่ยวอวิ๋นมู่ “ที่ตำหนักสองเค่อต่อหนึ่งครั้ง ไม่มีทหารเฝ้าประจำพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้นวดหว่างคิ้วของเขา “พูดสิ่งที่เ้าคิดออกมา”
เซี่ยวอวิ๋นมู่พยักหน้า “ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดที่วังกงกงซึ่งต้องเฝ้าอยู่ที่ตำหนักบรรทมของฝ่าาไปที่ตำหนักเย็นกลางดึก แต่เห็นได้ชัดว่ามือสังหารรู้สถานการณ์ในวังเป็อย่างดี กะเวลาได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าองครักษ์เงาของวังหลวงจะปรากฏตัวออกมา แต่หลังจากได้รับาเ็ก็ยังอดทนไล่ตามไป ทว่ากลับไร้ร่องรอย”
นิ้วเรียวยาวของเฟิงอิ้งจี้เคาะโต๊ะเบาๆ “จุดประสงค์ชัดเจนรึ? เ้าหมายความว่าที่เขามาที่นี่ก็เพื่อสังหารวังไห่เฉียว?”
“มีลางสังหรณ์ว่าจะเป็เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวอวิ๋นมู่ตอบอย่างจริงจัง พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติม
“อิ่งอี้บอกว่าฝีมือของมือสังหารนั้นยอดเยี่ยมมาก เชี่ยวชาญด้านการลอบสังหารเป็พิเศษ เกรงว่าจะเป็คนในยุทธภพ แต่สามารถหลบการลอบสังหารที่หนักหน่วงนั้นได้ อีกทั้งรู้สถานการณ์ในวังเป็อย่างดี… น่าจะมีคนที่คุ้นเคยกับวังหลวงจ้างนักล่าในยุทธภพมาพ่ะย่ะค่ะ”
“นักล่าในยุทธภพ” เสียงของเฟิงจิ้งอี้เ็าลง แววตาฉายแววอำมหิต เขาโกรธจนกัดฟันเอ่ยเยาะเย้ย
“กล้าบุกเข้ามาในวังหลวงเพื่อเอาชีวิตคน ช่างเป็นักฆ่าที่กล้าหาญจริงๆ!”
เซี่ยวอวิ๋นมู่ไม่พูดไม่จา มันไม่ใช่แค่ตบหน้าเขาเท่านั้น แต่ยังเป็การยั่วยุฮ่องเต้อีกด้วย
เฟิงจิ้งอี้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะมองไปที่เซี่ยวอวิ๋นมู่ ก่อนออกคำสั่งอีกครั้ง
“เื่นี้ไม่ควรพูดออกไป เมื่อคืนไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกมากนัก บอกไปว่าการตายของหวังไห่เฉียวเกิดจากโรคที่บอกใครไม่ได้ ตรวจสอบว่าเขายังมีญาติอยู่นอกวังหรือไม่ ให้ของปลอบใจพวกเขาให้ดี ส่วนที่เหลือเ้าก็ไปสืบให้แน่ชัด หากไม่ชัดเจนก็จงไปรับโทษด้วยตัวเอง”
เซี่ยวอวิ๋นมู่คุกเข่าลง “กระหม่อมรับบัญชา”
เฟิงจิ้งอี้พยักหน้า และโบกมือ “ไปเถอะ”
เซี่ยวอวิ๋นมู่ถอยออกไป และเฟิงจิ้งอี้ก็ชกหมักไปที่โต๊ะหนังสือ ด้วยความโกรธ ทำให้เขาไออย่างรุนแรง ใช้มืออังเืที่พุ่งออกมาจากปาก ใบหน้าที่ดูดุดันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพร่างกายของเขาเป็เช่นนี้ เขาคงจะโกรธต่อหน้าเซี่ยวอวิ๋นมู่ไปแล้ว
เขาขึ้นครองราชย์มาสามปี มองผิวเผินแล้ว แคว้นเทียนซูดูรุ่งเรืองสงบสุข แต่แท้จริงแล้วมีแต่ภัยอันตรายทั้งภายใน และภายนอก ราชสำนักมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากตลอดเวลา ยามที่เขาทุ่มเทจะรับมือกับปัญหาภายนอก มันก็ยังมีบางคนที่ไม่ยอมอยู่อย่างสงบ
วังไห่เฉียวเป็ชายชราที่ปรนนิบัติเสด็จพ่อ หลังจากเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ วังไห่เฉียวก็คอยปรนนิบัติเขา ตลอดหลายปีมานี้เขาทำหน้าที่ของตนได้ดี แต่ตอนนี้…แม้แต่การเฝ้าดูแลเขาก็เป็เพียงฉากบังหน้าเท่านั้น เื่ของตระกูลเว่ยก็เกิดขึ้นให้เห็นเป็ตัวอย่าง ใครกันที่ไม่ยอมอยู่อย่างสงบ
วังไห่เฉียวไปทำอะไรที่ตำหนักเย็นกลางดึก? ทำไมมือสังหารถึงรู้ว่าเขาไปที่นั่น? ใครกันที่ยอมจ้างมือสังหารเข้าวังเพื่อเอาชีวิตเขา? มีอะไรที่ข้อมูลอะไรที่เขายังไม่รู้อีกหรือไม่?