เมื่อเหยียนชิงกลับมาถึงห้องโถงด้านข้าง หยางเหิงก็รออยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้บ่ายแล้วควรจะออกจากวังได้แล้ว
“วันนี้รบกวนหยางกงกงจริงๆ”
นอกพระราชวัง เหยียนชิงกล่าวขอบคุณหยางเหิงอีกครั้ง
“คุณชายเหยียนเกรงใจเกินไปแล้ว ตี้จวินให้ความสำคัญกับตระกูลเหยียนมาก ส่วนเครื่องบรรณาการปีนี้ถือว่ายอดเยี่ยม คุณชายก็กลับไปรอรับรางวัลที่โรงเตี๊ยมอย่างสบายใจเถิด วันนี้โชคดีที่ได้นำทางให้คุณชาย ช่างเป็เกียรติยิ่งนัก”
หยางเหิงคลุกคลีอยู่ในวังมาหลายปี เป็คนที่ฉลาด จับสังเกตคำพูด และเห็นทิศทางลมในราชสำนักได้ อีกทั้งยังบังคับหางเสือให้ไปในทิศทางลมด้านนั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่รอดในสถานที่ที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเช่นนี้ได้อย่างไร
ดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลเหยียนจะมีจุดจบเป็เช่นไร เมื่อเลือกปกป้องเด็กกำพร้าคนหนึ่งมากกว่าจนละทิ้งราชโองการไว้เื้ั ดังนั้นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนในปัจจุบันทุกคนล้วนรู้ดี แม้ตระกูลเหยียนจะยังสง่างามไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีใครกล้าเหยียบย่ำหรือเยาะเย้ย แต่ในความเป็จริงแล้วเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างก็พากันหลีกเลี่ยงอย่างเงียบๆ หากมองจากการค้าขายของตระกูลเหยียนในเมืองหลวงแล้ว มันไม่เหมือนสมัยที่เซียนตี้ทรงครองราชย์
ทุกคนเห็นพ้องต้องกันมากว่าต้องรักษาระยะห่างกับตระกูลเหยียน เพราะกลัวว่าตี้จวินจะตามเก็บหนี้บัญชีเก่าๆ และตนก็จะโดนลูกหลงไปด้วย
และวันนี้ ซื่อจื่อแห่งจวนตระกูลเหยียนที่ยังไม่เข้าพิธีสวมกวาน กลับได้ก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษร นี่เป็สถานการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตี้จวินมีราชกิจมากมายยุ่งวุ่นวายทั้งวัน แต่การพูดคุยกันยาวนานก็เพียงพอจะยืนยันได้แล้วว่าตี้จวินให้ความสำคัญกับเหยียนชิงมากเพียงใด ในใจของจักรพรรดินั้นยากจะคาดเดา รับประกันไม่ได้ว่าตี้จวินจะฉวยโอกาสแก้ไขชื่อเสียงให้ตระกูลเหยียนหรือไม่ อย่างไรเสีย เหยียนชิงก็เป็คุณชายใหญ่ของตระกูลเหยียน ตัวตนของเขาย่อมแตกต่างจากคุณชายใหญ่เหยียนลั่ว
ไม่ว่าอย่างไร ไม่นานข่าวที่ฮ่องเต้ทรงพบปะกับเหยียนชิงและได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานในห้องทรงพระอักษรก็แพร่สะพัดออกไป ก่อนจะเป็ข่าวครึกโครมขึ้น ในเมื่อเขาได้โอกาสก่อน เหตุใดไม่ฉวยโอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเหยียนชิงเล่า
เมื่อเดินทางออกจากวังหลวง รถม้าวิ่งไปบนถนนเส้นหลักมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยม พระอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก เหยียนชิงเลิกม่านรถม้าขึ้นมองทิวทัศน์ด้านนอก เขาผ่อนคลายลงมาก เมื่อพระวรกายของตี้จวินแข็งแรงก็เป็เื่ดีสำหรับบ้านเมืองกับประชาชน ยิ่งจักรพรรดิอยู่ใต้การควบคุมน้อยเท่าไรก็จะยิ่งดูแลราชกิจบ้านเมืองได้มากขึ้น
จากข้อมูลที่สืบมาตอนนี้ ั้แ่ที่ตระกูลเว่ยถูกใส่ร้ายและถูกตัดสินโทษปะาชีวิต ก็เริ่มมีาทางชายแดน ส่งผลกระทบต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ ตามอารมณ์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ ท่านคงอยากได้กำลังทหารแล้วออกสำรวจด้วยตัวเอง
ชาติที่แล้วเว่ยซูหานบังเอิญรักษาอาการป่วยของตี้จวินได้ ระหว่างนั้นเพราะอาการป่วยของตี้จวินราชสำนักจึงสั่นคลอนจนเกิดความวุ่นวายขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้ปัญหาที่ไม่จำเป็เ่าั้สามารถหลีกเลี่ยงได้ คนที่มีเจตนาเป็อื่นก็มีโอกาสทำชั่วน้อยลง เื่ได้ทีขี่แพะไล่ตามเหยียบย่ำตระกูลเหยียนนับวันก็ยิ่งน้อยลงไปด้วยเช่นกัน
ตระกูลเหยียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะง่ายกว่าหากค้นหาผู้บงการที่อยู่เื้ัการถูกสังหารของตระกูลเว่ยในตอนนั้น
เหยียนชิงกำลังคิดแผนการในรถม้าอยู่ ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นกลุ่มหลวงจีนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเดินผ่านรถม้าอย่างรีบร้อน ชิงเหยียนรู้จักหลวงจีนเหล่านี้ พวกเขารับใช้วัดหลวงของแคว้นเทียนซู ชาติที่แล้วเหยียนชิงเองก็ไม่ค่อยได้ติดต่อหรือสานสัมพันธ์ด้วย ปกติหลวงจีนไม่มีอะไรทำก็จะสวดภาวนาให้หลวงพ่อในวัด มีเพียงราชโองการเรียกตัวเข้าเฝ้าเท่านั้นถึงจะออกมา...
หลวงจีนที่รับใช้ราชสำนักจะถูกเรียกตัวเข้าวังเมื่อมีสถานการณ์พิเศษ เื่ดีๆ เช่น การประสูติของคนในราชวงศ์ ให้ศีลให้พรแก่เหล่าราชนิกุล แต่สิ่งที่ไม่ดีก็คือเมื่อในวังมีคนป่วย และเสียชีวิตจึงจะถูกเชิญมาเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายเช่นกัน
เื่ดีมักจะเข้าวังั้แ่เช้าตรู่ ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว เข้าวังตอนนี้ย่อมไม่ใช่เื่ดีแน่นอน บวกกับสีหน้าเคร่งเครียดของพวกเขา ในวังน่าจะเกิดเื่ไม่ดีขึ้นเป็แน่
เหยียนชิงขมวดคิ้วแน่น ยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างแล้วกวักมือเรียก “อิ้งหลี”
อิ้งหลีควบขี่ม้ามาทันที “คุณชายมีสิ่งใดหรือขอรับ?”
เหยียนชิงลดเสียงลง
“หลวงจีนที่ผ่านไปเมื่อครู่ล้วนปฏิบัติตนอยู่ในอารามหลวง ตอนนี้กำลังเดินทางมุ่งหน้าเข้าราชวัง วันนี้พวกเ้าได้ยินข่าวอะไรตอนที่รออยู่ห้องโถงด้านข้างบ้างหรือไม่?”
อิ้งหลีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ พวกบริวารในวังปิดปากแน่น พวกข้าถามอะไรไม่ได้มาก”
เหยียนชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “อืม ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียวังหลวงก็ไม่เหมือนที่อื่น”
วันนี้พวกเขาเข้าวังมาก็ไม่รู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ แม้แต่หยางเหิงก็ไม่ได้แสดงท่าทีพิลึกอะไรออกมา ดูท่าจะเป็เื่ใหญ่ถึงได้ถูกตี้จวินสั่งห้ามไม่ให้พูด หรือไม่ก็แค่เื่เล็กน้อยจนคนไม่สนใจ เื่ในวังหลวงก็เป็เช่นนี้
อิ้งหลีหันกลับไปมองเหล่าหลวงจีนทั้งหลายแล้วถามเสียงเบาว่า “ให้ข้าไปถามหรือไม่?”
เหยียนชิงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ความสงสัยนั้นฆ่าแมวตายมานักต่อนัก พวกเราอยู่นิ่งๆ ก่อน ออกจากเมืองหลวงได้ค่อยว่ากัน”
เื่ในวังหลวงใช่ว่าจะสืบกันได้ง่ายๆ หากไม่ระวังอาจถูกคนจับได้ ความพยายามในวันนี้ก็สูญเปล่าแล้ว ตี้จวินผ่านประสบการณ์มามากมาย ย่อมเกิดความสงสัย
อิ้งหลีพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ขอรับ”
เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยมเฟิงไหลก็มืดค่ำ ผู้ดูแลจัดห้องให้เรียบร้อยแล้ว เหยียนชิงที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันเข้านอนเร็วกว่าปกติ ตอนบ่ายในวันรุ่งขึ้น หยางเหิง และข้าราชบริพารนำของรางวัลจากฮ่องเต้มามอบให้ ท่าทางนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวันก่อนหลายส่วน
“เหยียนชิงขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าา ขอให้พระบารมีของฮ่องเต้สืบไปทุกยุคทุกสมัย”
เหยียนชิงคุกเข่ารับราชโองการอย่างนอบน้อม หยางเหิงก้าวเข้าไป พร้อมกับพยุงเขาขึ้นมา ก่อนจะยกยิ้มกล่าว
“ยินดีกับคุณชายเหยียน ตี้จวินมีน้ำใจต่อคุณชายและตระกูลเหยียน รางวัลนี้ดีกว่าท่านอ๋องทั้งสองเมื่อหลายวันก่อนเสียอีก”
ส่วนคำเชื่อมสัมพันธไมตรี เหยียนชิงยอมรับด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของกงกง”
หยางเหิงตบหลังมือเขาเบาๆ
“พูดได้ดีๆ ตอนที่ตี้จวินมอบรางวัลให้ พระองค์จะทรงตรัสชมคุณชายที่มีพร์ และมีเหตุผล คุณชายอย่าได้ทำให้ตี้จวินผิดหวัง”
ตี้จวินเป็ใคร เื่การชมเชยคน อย่างมากก็ตรัสแค่คำว่าพอได้ ดี ดีมาก ทว่าคนที่ได้รับคำชมเชยนี้จะกลายเป็คนใหญ่คนโตในอนาคตแน่นอน
เหยียนชิงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจขึ้นมาหลายส่วน เลิกคิ้วขึ้น และจงใจพูดว่า
“แน่นอน วันหน้าหากเข้าราชสำนัก ข้าจะพยายามช่วยตี้จวินให้ดีที่สุด”
เมื่อพูดจบก็เห็นหยางเหิงตะลึงงัน จากนั้นก็เอ่ยต่อทันที
“ข้าน้อยเพิ่งให้คนชงชาดีๆ ไว้พอดี ถ้ากงกงไม่รังเกียจก็นั่งดื่มด้วยกันสักถ้วยเถิด”
หยางเหิงพยักหน้า กำชับคนด้านหลังอีกครู่หนึ่งแล้วเดินตามเหยียนชิงเข้าไปในเรือน แต่พอเข้าห้องไป นอกจากชาหอมกรุ่นบนโต๊ะแล้ว ยังมีผ้าไหมชั้นดีอีกหลายพับ และเครื่องประดับเงินทองหลายกล่องที่มีมูลค่ามหาศาลวางอยู่กลางห้อง ดูสะดุดตายิ่งนัก
หยางเหิงอดไม่ได้ที่จะกวาดมองอีกหลายรอบ เขามีความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้พอตัว วัตถุเหล่านี้ล้วนเป็ของดีทั้งนั้น พอเห็นแล้วระลอกคลื่นความร้อนพลันผุดขึ้นในใจ เขาเห็นเหยียนชิงหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็ชี้ไปที่ของบางอย่างพร้อมกล่าวว่า
“ของพวกนี้เป็เครื่องบรรณาการในปีนี้ ข้าน้อยอยากจะมอบให้หยางกงกงเป็พิเศษ”
“นี่…”
แม้ว่าหยางเหิงจะตื่นตระหนก แต่เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็อดตะลึงงันไม่ได้ สิ่งของที่อยู่ตรงหน้ามันมีค่ามาก ตอนนี้เขาเป็เพียงข้าราชบริพารรับใช้ใกล้ตัว แม้จะปรนนิบัติอยู่หน้าฮ่องเต้มาเสมอ แต่หน้าที่จริงๆ ก็แค่ถ่ายทอดคำพูดเท่านั้นมิใช่ผู้ดูแลโดยตรง อย่างไรคำพูดของเขาก็ไม่สำคัญ แต่เขาไม่คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเหยียนจะมอบของมีค่าเช่นนี้ให้กับเขา
เกรงว่าแม้แต่วังกงกง อดีตหัวหน้าฮ่องเต้ก็ไม่เคยได้รับของขวัญที่มีค่าเช่นนี้จากตระกูลเหยียนมาก่อน
เหยียนชิงเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“กงกงไม่ต้องแปลกใจ นี่เป็ของขวัญส่วนตัวที่ข้าน้อยอยากจะมอบให้กงกงเอง ไม่เกี่ยวกับเื่อื่น วันหน้าหากข้าน้อยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อีกหวังว่าจะได้รับการชี้แนะจากท่านกงกงให้มากขึ้น”
“นี่ ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร…”
หยางเหิงจิบชาอึกใหญ่เพราะรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่เครื่องประดับที่เปล่งประกายแวววาวเ่าั้ มีเสียงแอบกระซิบในใจว่าของพวกนี้แม้ยังไม่ได้ใช้ตอนนี้ แต่เอากลับไปเก็บไว้ในคลังก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร...
อีกทั้งเหยียนชิงก็แสดงน้ำจิตน้ำใจอยากจะสานสัมพันธ์อันดีด้วย ถึงขั้นกล้าพูดจาคำโตว่าวันหน้าจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อีกครา เกรงว่าคงได้รับคำสัญญาบางอย่างจากตี้จวิน แต่หากเขาเติบใหญ่ได้เป็เ้าเป็นาย ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็มีแต่ข้อดีไม่มีโทษ
เหยียนชิงเติมชาให้เขา ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“ในเื่นี้ไม่อาจเปิดเผยในวังหลวงได้ เช่นนั้นก็เก็บไว้นอกวัง หากกงกงกังวลว่าจะเป็การทำผิด ก็ให้ข้าน้อยส่งคนไปให้ที่จวนนอกวังด้วยตัวเองก็พอ รับรองว่าจะไม่ให้ใครรู้เื่นี้”
เมื่อทำดีย่อมได้รับผลตอบแทน มารยาทเหล่านี้เขาเข้าใจดี
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ถ้ายังมัวแต่ชักช้าอีกก็คงจะเสียเื่ หยางเหิงจัดระเบียบหมวกให้ตรง ลูบผมที่ย้อยลงมา และยิ้มตาหยี
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ต้องยอมรับความหวังดีของคุณชายแล้ว วันหน้าหากคุณชายเข้าวังหรือมาที่เมืองเทียนซูและมีเื่อยากให้ช่วยเหลือก็บอกข้ามาได้เลย ข้าจะพยายามช่วยเหลือให้ดีที่สุด”
“ขอบคุณกงกง”
เหยียนชิงโล่งอกทันที เห็นสายตาของอีกฝ่ายเหลือบมองหีบสมบัติเป็ครั้งคราว จึงเปิดประเด็นสนทนาแนะนำของพวกนี้ให้เขาฟัง หยางเหิงฟังแล้วก็เพลิดเพลินยิ่งนัก ได้เห็นบรรณาการที่นำมาถวายให้ฮ่องเต้นักต่อนักแล้ว แต่ตอนนี้ของพวกนี้กลับเป็ของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แตกต่างจากของบรรณาการที่คนอื่นมอบให้ฮ่องเต้
หลังจากแนะนำสิ่งของ หยางเหิงก็ถามอ้อมๆ จึงแน่ใจแล้วว่าเมื่อวานที่เหยียนชิงเข้าเฝ้าตี้จวินในห้องทรงพระอักษร พวกเขาทั้งสองได้พูดคุยกันสนุกสนาน ในใจก็ยิ่งรู้สึกชื่นชอบผู้ที่จะได้เป็ใหญ่เป็โตในอนาคตคนนี้ ด้วยเหตุนี้เมื่อเหยียนชิงพูดถึงหลวงจีนที่เขาพบระหว่างทางกลับเมื่อวานนี้อย่างใจเย็น เขาจึงไม่ได้ระมัดระวังอะไรมาก
สุดท้ายก็เผลอบอกความจริงว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในวังโดยไม่ปิดบัง ส่วนเื่ใหญ่หรือเื่เล็กน้อยเขาไม่อยากจะพูดมากไปกว่านี้
เหยียนชิงเองก็ไม่เก่งเื่ฝืนใจคน หลังจากจิบชาแล้วจึงกล่าว
“เมื่อวานข้าเห็นว่าตี้จวินป่วยหนัก จึงกังวลใจยิ่งนัก เป็การดีที่หลวงจีนเข้าวังไปเพื่อขับไล่ิญญาชั่วร้าย และสวดมนต์ขอให้ตี้จวินโชคดี”
“ไม่ใช่ตี้จวินหรอก”
หยางเหิงส่ายหน้ากล่าวสองสามประโยค เมื่อเห็นเหยียนชิงมองตนด้วยความประหลาดใจ จึงเก็บรอยยิ้มแล้วมองออกไปที่ด้านนอกก่อนจะใช้นิ้วชี้จุ่มลงถ้วยชา จากนั้นยกมือเขียนตัวอักษรหนึ่งตัวบนโต๊ะ เมื่อเขียนเสร็จก็รีบพัดมันให้แห้ง ตัวอักษรนั้นเลือนหายไปทันที
เหยียนชิงขมวดคิ้ว หยางเหิงยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะลุกขึ้น
“ธุระเรียบร้อยดีแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปทูลรายงานต่อตี้จวินแล้ว คุณชายกลับเมืองฝูซังครานี้ ขอให้เดินทางปลอดภัย ไว้เจอกันในวันหน้า”
เหยียนชิงลุกขึ้น “ข้าน้อยน้อมส่งกงกง”
หยางเหิงมองดูหีบสมบัติ และผ้าไหมบนพื้นเป็ครั้งสุดท้าย บอกที่ตั้งของจวนนอกวัง พร้อมกับเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม เหยียนชิงเดินตามหลัง จนกระทั่งส่งแขกออกจากโรงเตี๊ยมแล้วจึงหันหลังกลับมา จากนั้นก็เรียกอิ้งหลีมารับคำสั่งให้นำของเ่าั้ไปส่งตามที่เขาแจ้งไว้ในตอนกลางคืน
เมื่อเฉินเซียงยกของว่างเดินเข้ามา ก็เห็นว่าเหยียนชิงกำลังยกพู่กันเขียนอักษร เมื่อวางลงแล้วกลับไม่ไปไหน ยังยืนดูอยู่ด้านข้าง
เหยียนชิงเหลือบมองนางและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฉินเซียง คำนี้เ้าอ่านอย่างไร? แล้วเข้าใจว่าอย่างไร?”
เฉินเซียงตอบไปโดยไม่คิดมาก “ข้าไม่รู้จัก และไม่เข้าใจความหมายด้วยเ้าค่ะ”
เหยียนชิงไม่ได้พูดอะไรมาก เขียนอีกคำหนึ่งที่ด้านข้าง แล้วถามว่า “แล้วนี่เล่า?”
เฉินเซียงขมวดคิ้ว “ม่อ เอ๊ะ ไม่ต้องเป็ สื่อ…ก็ไม่มีความหมายเช่นกันเ้าค่ะ”
หลังจากพูดไป ดูเหมือนว่านางจะคิดอะไรบางอย่างได้ “ไม่ คำนี้ไม่ใช่สื่อ (ตาย)…”