เหยียนชิงพยักหน้า “จริงๆ แล้วมันคือเสียงเดียวกัน”
เฉินเซียงสงสัย “คุณชาย ท่านกำลังหมายถึงอะไร?”
เหยียนชิงวางพู่กันลง ยกมือขึ้นจับคางพลางมองไปที่หมึกยังซึมอยู่แล้วพลางเอ่ยขึ้น
“เมื่อวานนี้ข้าถามเื่ที่หลวงจีนเข้าวังไปเมื่อวานกับหยางเหิง เขาเขียนคำว่า ‘เหมย’ แต่ข้านึกถึงคำว่า ‘ม่อ’ (ตาย)”
เฉินเซียง “คุณชาย ท่านหมายความว่าเมื่อวานนี้มีคนตายในวังอย่างนั้นหรือเ้าคะ”
เหยียนชิงขยำกระดาษจนเป็ก้อนก่อนจะโยนมันลงถังขยะพลางถอนหายใจเบาๆ
“ใครจะไปรู้เล่า เขาอาจจะอยากบอกข้าว่าไม่มีอะไร หรืออาจจะอยากบอกข้าว่าในวังมีคนตาย ไม่ว่าอย่างไหนก็เป็ไปได้ทั้งนั้น”
เฉินเซียง “คุณชายคิดจะทำอย่างไรต่อไปเ้าคะ?”
เหยียนชิงเกาคางเบาๆ
“ปล่อยไว้เช่นนั้นก่อนเถอะ เ้าเตรียมตัวไปดูร้านค้ากับข้า แวะซื้อของกลับไปให้ท่านแม่ตอนกลับด้วย ยังต้องกลับไปจัดเทศกาลไหว้พระจันทร์อีก”
เฉินเซียงโน้มตัว “เ้าค่ะ บ่าวจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้”
หลังจากธุระในวังหลวง และหยางเหิงเสร็จสิ้นลง เหยียนชิงจึงไปตรวจตราร้านค้าของตระกูลเหยียนในเมืองหลวงอีกสักรอบ เช้าวันที่หกจึงออกเดินทางกลับจวน
และก่อนจากไป อิ้งหลีก็ไปตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าเ้าของหอเยียนจือถูกเปลี่ยนแล้ว
เมื่อเยว่ฉานตายไป หญิงสาวที่ชื่อซือซือซึ่งเป็คนที่มาใหม่ก็กลายเป็เ้าของหอเยียนจือแทน ด้วยโลกโลกีย์ที่เต็มด้วยความมึนเมาไม่ได้เสียดายกับเยว่ฉานที่จากไปนานนัก เมื่อมีผู้มาเยือนใหม่หอเยียนจือก็ยิ่งคึกคัก ว่ากันว่าแม่นางซือซือผู้นั้นงดงาม และมีความสามารถมากกว่าเยว่ฉานเสียอีก แค่ยิ้มก็แทบทำให้ผู้คนบ้าคลั่ง…
เป็อีกเื่ที่เหยียนชิงได้ตระหนัก ความแตกต่างระหว่างชาตินี้กับชาติที่แล้วก็คือ ชาติที่แล้วเยว่ฉานไม่ได้ถูกลอบสังหาร แต่ชาตินี้นางถูกลอบสังหาร
หรือเป็เพราะการเกิดใหม่ของเขาจึงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป
รถม้าเคลื่อนออกจากเมืองเทียนซู หลังจากออกจากถนนสายหลักของเมืองหลวงที่คึกคักแล้ว ก็วิ่งไปตามถนนที่มีต้นไม้เปลี่ยนสีเรียงราย ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองฝูซัง เสียงอึกทึกครึกโครมในหูค่อยๆ ลดน้อยลง เหยียนชิงจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดของตน
เพราะการได้เกิดใหม่ ทำให้เขามีโอกาสก่อน จึงคิดจะวางแผนล่วงหน้าเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตระกูลเหยียน แต่เพราะเหตุนี้สิ่งต่างๆ จึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย หลายสิ่งหลายอย่างต่างจากชาติก่อน ตัวแปรมีมากขึ้น จะดีหรือร้ายก็ตอบไม่ได้...
เอี๊ยด
ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดลง เหยียนชิงที่ไม่ทันตั้งตัวเอนตัวไปข้างหน้า ดึงความคิดกลับมา และเปิดม่านขึ้นก่อนจะเอ่ยถามว่า “เป็อะไรไป”
อิ้งหลีเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มอยู่ด้านนอก “คุณชาย ฮูหยินน้อยมารับท่านขอรับ”
เหยียนชิงตะลึงงัน เขาเปิดม่านที่ด้านหน้ารถม้าออก เห็นคนขี่ม้าอยู่ไม่ไกลนัก คนผู้นั้นสวมชุดสีฟ้าแกรมขาว กำลังมองมาที่พวกเขาด้วยรอยยิ้ม จริงๆ เลย บอกเขาแล้วว่าไม่ต้องมา
เว่ยซูหานควบม้าตรงเข้ามา เหยียนชิงปล่อยม่านลง และได้ยินอิ้งหลีกับเฉินเซียงทักทายเว่ยซูหาน จากนั้นคนผู้นั้นก็ขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว
“ชิงเอ๋อร์”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเหยียนชิงได้ยินเสียงของเขาหัวใจก็เต้นเร็วขึ้น คล้ายว่าเขารู้สึกยินดีที่ได้พบอีกฝ่าย เขาไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย ทำได้เพียงจงใจเอ่ยตำหนิ
“บอกว่าไม่ให้มาไม่ใช่หรือ? ข้ากลับเองได้ ไกลขนาดนี้ยังวิ่งมานี่อีก”
“ข้าบอกเ้าแล้วว่าจะมา” เว่ยซูหานยื่นมือไปสวมกอดคนผู้นั้นไว้ “ข้าคิดถึงเ้า”
รถม้ายังคงเดินหน้าต่อไป เหยียนชิงไม่ได้ปฏิเสธการกระทำของเขา แต่ใบหูกลับแดงระเรื่อ สองมือจับแขนอีกฝ่ายไว้ ก่อนกระซิบว่า
“แค่ไม่กี่วันเอง มีอะไรให้คิดถึง...”
เว่ยซูหานออกแรงกอดคนตรงหน้า ก้มหน้าจุมพิตที่หน้าผากของเขา “ไม่ได้เจอกันแค่วันเดียว ก็เหมือนห่างกันสามฤดูใบไม้ร่วง เ้าไม่้าข้าหรือ”
“…” เหยียนชิงเงียบลง ไม่อยากจะพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจจนทำให้อีกฝ่ายมีใจห่างเหิน จึงทำได้เพียงเงียบเท่านั้น บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเว่ยซูหานซึ่งเป็ผู้ฝึกยุทธ์เป็หลักถึงได้ปากหวานเช่นนี้
“ชิงเอ๋อก็คิดถึงข้าเหมือนกันใช่หรือไม่?” เว่ยซูหานพูดตามใจตัวเอง ประคองหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา นิ้วโป้งกดคางของคนตรงหน้าเอาไว้ก่อนจะจุมพิตลงไป
เมื่อกลิ่นอายอันอบอุ่นพุ่งเข้ามา เหยียนชิงก็เปิดปาก และฝืนจูบกลับ เขากลั้นหายใจ และเสียงของตนเอาไว้ คนผู้นี้ถึงกับกล้าทำเช่นนี้กลางวันแสกๆ ไม่สนใจว่าจะอยู่ที่ไหนสถานที่เป็อย่างไรเลยหรือ
เว่ยซูหานเห็นอีกฝ่ายเกร็งจนร่างกายแข็งทื่อ จึงได้แต่ชะลอการเคลื่อนไหว และปลอบใจ
“ชิงเอ๋อ ใจเย็นๆ ไม่เป็ไร…”
เหยียนชิงออกแรงหยิกเขาก่อนจะเบนหน้าหนีไป “เ้า อื้อ…หยุดได้แล้ว มองดูรอบๆ สิว่านี่ที่ไหน ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเลย!”
“อย่าโกรธไปเลยนะ...”
เว่ยซูหานหายใจเข้าอย่างหนักหน่วง กอดคนที่หน้าแดงหูแดงตรงหน้าเอาไว้แน่น ก็เพราะเขาอดใจไม่ไหว หลายวันมานี้ก็เอาแต่เป็ห่วงคนผู้นี้อยู่ตลอดเวลา...
“เ้า...ข้าไม่ได้ห้ามให้เ้าทำเช่นนี้ แต่เ้าต้องดูสถานการณ์ด้วย เดี๋ยวบ่าวไพร่จะหาว่าเราเสียมารยาท”
จูบกันในสถานที่แบบนี้จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไรกัน? ไม่ว่าอย่างไรก็เป็คนมีฐานะ จะทำตัวเหมือนพวกอันธพาลเสเพลในหอนางโลมได้เช่นไร
เว่ยซูหานจับประเด็นสำคัญในคำพูดของอีกฝ่ายได้ทันที ก่อนถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เช่นนั้นเมื่ออยู่ในห้องเ้าก็ตามใจข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เหยียนชิงกัดริมฝีปาก “กลับบ้าน”
เว่ยซูหานเลียริมฝีปาก “พวกเรายังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงบ้าน แต่อีกไม่นานก็ถึงโรงเตี๊ยมแล้ว”
เหยียนชิงไม่อยากจะสนใจเขาแล้ว ช่างมันเถอะ คนผู้นี้ขอไม่ยอมเลิกเสียที พอกลับไปถึงจวนเขาต้องหาทางแก้ปัญหาส่วนตัวเหล่านี้ให้ได้
หลังจากบรรยากาศที่คลุมเครือจบลง เว่ยซูหานก็กลับมาจริงจังอีกครั้ง เริ่มถามถึงการเดินทางไปเมืองหลวงของเหยียนชิง น้ำเสียงที่ใช้ถามคำถามดูปกติ เหยียนชิงก็ตอบตามความจริง ขณะเดียวกันเขาก็ถามถึงสถานการณ์ของจวนตระกูลเหยียนในระหว่างที่เขาไม่อยู่จวนไปด้วย
เมื่อบทสนทนาเริ่มต้นขึ้น สามีภรรยาก็ดูเหมือนจะมีเื่ให้พูดคุยไม่รู้จบ เหยียนชิงเอนกายพิงอกของเว่ยซูหานเพื่อพูดคุยกับเขา ทั้งตัวรู้สึกผ่อนคลาย เพราะหลายวันมานี้คิดเื่ราวมากมายเกินไปจึงไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ดังนั้นจึงผล็อยหลับไป
พอมาถึงโรงเตี๊ยมฟ้าก็มืดแล้ว เว่ยซูหานอุ้มคนลงจากรถ จากนั้นเดินเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจการคัดค้านของเหยียนชิง เฉินเซียง และอิ้งหลีที่อยู่ด้านหลังหัวเราะคิกคัก แม้แต่เฉินเซียงผู้สง่างามในยามปกติก็ยังอดกล่าวหยอกล้อออกมาไม่ได้
“คุณชายของพวกเราดูอ่อนแอมากเมื่ออยู่ต่อหน้านายหญิงน้อย”
อิ้งหลีพยักหน้าเห็นด้วย “อย่างไรเสียเมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินน้อย คุณชายก็คงทำตัวดื้อรั้นไม่ได้”
คุณชายของพวกเขาฉลาด และมีไหวพริบ แต่ในบางมุมพวกเขาต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าคุณชายน้อยอ่อนแอมาก ด้วยความสามารถในการต่อสู้ของฮูหยินน้อย เพียงแค่ขยับนิ้วก็กลืนกินเขาได้ทั้งตัว
“เว่ยซูหาน!” เมื่อมาถึง เหยียนชิงก็ขบฟันแน่น ทั้งอายทั้งโมโห “เ้าทำเกินไปแล้ว!”
คิ้วของเว่ยซูหานขยับเล็กน้อย วางคนลงบนเตียงแล้วพุ่งตัวเข้าไป “ข้าทำไมรึ?”
“อย่าแกล้งทำเป็โง่! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็หัวหน้าครอบครัว เ้าอยู่ข้างนอกก็ไว้หน้าข้าบ้างไม่ได้หรือ? ในฐานะภรรยาของข้า เ้ากลับอุ้มข้าขึ้นมาต่อหน้าคนรับใช้ จะให้พวกเขามองข้าอย่างไร?”
ใบหน้าของเหยียนชิงแดงก่ำ เค้นความน่าเกรงขามออกมา ไม่เห็นแววตาคลุมเครือของเฉินเซียงกับอิ้งหลีหรือ? แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาสองคนใครอยู่ตำแหน่งไหน แล้วศักดิ์ศรีของเขาจะเอาไปวางไว้ที่ไหนกัน?
มีคุณชายผู้มั่งคั่งคนไหนแต่งภรรยาเพื่อมากดดันตน ถ้ามารดารู้ต้องไม่พอใจแน่!
เว่ยซูหานไม่พูดไม่จา มุมปากยกยิ้มด้วยความเอ็นดู จับจ้องคนที่กำลังจะโมโห ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเขินอายจนต้องโกรธกลบเกลื่อน
เหยียนชิงเห็นความเอ็นดูในแววตาของเขา แต่เพราะโกรธจนไม่สามารถระบายเป็คำพูดออกมาได้ ทำได้เพียงจ้องเขม็งอยู่เช่นนั้น
“ข้าคือผู้นำตระกูลเหยียนในอนาคต เ้าทำเช่นนี้...”
“ข้าขอโทษ”
เว่ยซูหานขอโทษ ในแววตาประกายเป็รอยยิ้มสดใส
เหยียนชิงกลับไม่ยอมรับคำขอโทษ “ขอโทษจะมีประโยชน์อะไร เ้าสัญญากับข้ามาว่าต่อไปจะไม่เป็แบบนี้อีก!”
“แล้วข้าปฏิเสธอะไรได้?” เว่ยซูหานแสร้งถามกลับด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็กอดคนในอ้อมแขนเอาไว้แน่น ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ ปลดเข็มขัด และคลายเสื้อของอีกฝ่ายออก ตอนที่เหยียนชิงขัดขืน เว่ยซูหานก็เอ่ยกระซิบเบาๆ
“ข้ารักเ้ามากขนาดนี้ เห็นเ้าเหนื่อยย่อมปวดใจมิใช่น้อย จะไปกังวลกับสิ่งที่คนอื่นคิดให้ปวดหัวทำไม คิดถึงข้าคนเดียวก็พอแล้ว คนที่ไม่ชอบก็ปล่อยให้เป็เื่ของพวกเขาไป ไม่มีอะไรต้องปิดบัง หรือว่าเื่ใต้ผ้าห่มยังต้องให้คนอื่นมาชี้แนะอีกหรือ”
“แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เ้า อื้อ...”
เว่ยซูหานปิดปากของอีกฝ่ายด้วยปากของตนไว้ทันที หลังจากนัวเนียกันพักใหญ่ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ชิงเอ๋อร์ คนอื่นไม่ได้ตาบอด เ้าน่ะคิดมากเกินไปแล้ว…”
เหยียนชิงอารมณ์เสียเพราะคำพูดที่ดื้อรั้นนี้ การขัดขืนมากเกินไปจะสร้างโอกาสให้คนขี้โกงได้ประโยชน์มากขึ้น โทษฐานที่เขาคิดว่าฮูหยินของตนแสนดี และไร้เดียงสา
ครั้งนี้การกระทำให้เว่ยซูหานรุนแรงยิ่งนัก ถึงอย่างไรเหยียนชิงก็ชอบเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องเกรงใจในการแสดงออกทางความรู้สึกของตัวเอง
หลังจากความวุ่นวายจบลง เว่ยซูหานปรนนิบัติคนตรงหน้าอย่างดีพลางปลอบโยนเสียงเบา ดังนั้นเหยียนชิงที่กำลังโกรธจึงไม่ได้ไล่เขาออกไป
“ชิงเอ๋อร์ เ้าหิวหรือไม่ ข้าจะออกไปเอาอาหารมาให้?”
เหยียนชิงถูกอีกฝ่ายทำตัวหยาบคายใส่ จึงหันไปอีกข้าง ก่อนจะตอบอย่างโกรธเคือง “ไม่กิน”
เว่ยซูหานลูบสันจมูกแล้วขยับเข้าไปใกล้ “เมื่อครู่กินอิ่มแล้วหรือ?”
“เพี้ยะ!”
คนขี้อายหันไปตบหน้าอกของเขา
“หุบปากหยาบคายของเ้าไปซะ!”
เว่ยซูหานรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าอก เขานวดอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะคว้าเข้ามากอด และลูบผมยาวที่เปียกชื้นของอีกฝ่าย
“เอาละๆๆ อย่าโกรธไปเลย เดี๋ยวข้าออกไปเอาของกินก่อน กินแล้วก็ค่อยพักผ่อน”
เหยียนชิงแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ เขาอยากจะจัดการกับฮูหยินที่หยิ่งยโสของตนสักที แต่กระนั้นร่างกายของเขาก็ไม่อาจเอาชนะความแข็งแกร่งของร่างกายเว่ยซูหานได้
เว่ยซูหานรู้ว่าตนเองล้อเล่นอีกฝ่ายหนักเกินไป คุณชายน้อยอย่างเหยียนชิงที่อ่านหนังสือมาั้แ่เล็ก การกระทำหยาบคายเมื่อครู่นี้เป็เื่ที่รับไม่ได้ แต่เหยียนชิงที่ถูกหยอกล้อจนหน้าแดงหูแดงนั้นน่ารักมากจริงๆ
แม้เหยียนชิงจะโกรธ แต่เมื่อเว่ยซูหานยกอาหารเข้ามาเขาก็ลุกขึ้นมากินด้วย ทนไม่ได้กับท่าทีไร้ยางอายของคนบางคน จนความโกรธที่อัดอั้นในใจของเขาสลายหายไป แต่ยังคงเตือนคนที่เสพติดการกลั่นแกล้งตน
“เื่ในวันนี้ข้าจะไม่ถือสาเอาความ หากยังกล้าทำเช่นนี้อีก ก็ไสหัวไปซะ”
ในฐานะภรรยาชายเขาควรจะวางตัวให้เหมาะสม มิเช่นนั้นหากปล่อยเลยตามเลยต่อไป ด้วยพลังของเว่ยซูหานเขาคงรับไม่ไหว
เว่ยซูหานตักน้ำแกงกับผักให้เขาพลางพยักหน้าราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าว “จ้าๆ ข้ารู้แล้ว จะไม่ทำแล้ว ต่อไปข้าจะทำตามกฎระเบียบแน่นอน”
เหยียนชิง “ฮึ ปากมันลิ้นลื่นจริงๆ”
เท่าที่เขารู้มาบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพเว่ยเป็คนซื่อตรง เข้มงวด และมีคุณธรรม แต่การกระทำอุกอาจเช่นนี้ราวกับอันธพาล เอาใบหน้าทั้งสองชาติของเหยียนชิงมารวมกันยังไม่เท่าใบหน้าหนาๆ ของเว่ยซูหานในชาตินี้เลยแม้แต่น้อย