รอยยิ้มของเว่ยซูหานยังคงเป็ประกายไม่ลดละ ที่เขาปากมันลิ้นลื่นก็ทำกับคนผู้เดียวเท่านั้น แล้วมันจะสำคัญอะไร เหยียนชิงที่เป็คนจริงจัง และเ็าแบบนี้ ชีวิตคนจืดชืดไร้อารมณ์ขัน เมื่อคิดเช่นนี้จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มตาหยี
“ชิงเอ๋อ เ้าอยากดื่มเหล้าหรือไม่? ช่วยให้ร่างกายกับจิตใจผ่อนคลาย”
ั้แ่วันที่พวกเขาแต่งงาน เหยียนชิงก็ไม่เคยแตะต้องเหล้าเลย คนที่ดื่มเหล้าเล็กน้อยนั้นน่ารักมาก
เหยียนชิงกวาดตามองเขา “ไม่เอา”
“ฮ่า…” เว่ยซูหานหัวเราะเพราะสายตาระแวงของเขา “เ้ากับข้าเป็สามีภรรยากัน ท่าทางระแวงของเ้าทำร้ายคนเกินไปแล้ว ถ้าคนอื่นที่ไม่เข้าใจเห็นเข้าอาจเข้าใจผิดคิดว่าข้ารังแกสามี”
เหยียนชิงยิ้มประชดประชัน “ตอนนี้เ้าไม่ได้ทำเช่นนั้นอยู่หรือ? หน้าตาร่าเริงเชียว”
ขนาดสติยังพอมีอยู่บ้างยังกล้ารังแกเขาแบบนั้น ถ้าเมาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรังแกเขาอย่างไร แม้ว่าจะตัดสินใจอยู่ด้วยกันแล้ว แต่เื่บางอย่างเขาก็ยังไม่พร้อมจริงๆ
“ฮ่าๆ…” เว่ยซูหานเงยหน้าจิบสุราในจอก เก็บสีหน้าหยอกล้อไว้ “เอาเถอะ ข้าไม่แกล้งเ้าแล้ว พวกเรามาพูดเื่สำคัญกันเถอะ”
เหยียนชิงเงยหน้าขึ้น “เื่สำคัญอะไร?”
เว่ยซูหานจ้องมองเขาครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ชิงเอ๋อ เ้าเลี้ยงใครไว้ในจวนหรือไม่?”
“หืม?” มือของเหยียนชิงที่จับตะเกียบคีบผักชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางตะเกียบลงแล้วจิบน้ำแกงไปหนึ่งอึก “เหตุใดเ้าถามเช่นนี้”
เว่ยซูหานยิ้มบาง “เ้าตอบข้ามาว่าใช่หรือไม่?”
เหยียนชิงสบสายตาลึกล้ำของอีกฝ่ายครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ใช่ เ้าเห็นแล้วหรือ?”
หลังจากได้ยินคำตอบ แววตาของเว่ยซูหานก็มืดครึ้มลง “ข้าแค่รู้สึก แต่ยังไม่เคยเห็น…”
เหยียนชิงเห็นว่าสีหน้าของเขาดูไม่ปกติ กังวลว่าเขาจะเข้าใจผิดจึงอธิบายตาม
“ข้ารับองครักษ์เงามาเจ็ดคน ข้าเพิ่งรับมาได้ไม่นานเลยไม่ได้บอกเ้า คิดเอาไว้ว่าเดินทางกลับครั้งนี้จะพูดกับท่านแม่… ไม่มีเจตนาจะปิดบังเ้า อย่าคิดมาก พี่ชายไม่อยู่ พวกเรายังต้องสืบหาอีกหลายเื่ เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด หรือเอาไว้เฝ้ารักษาจวนล้วนแต่จำเป็
นี่คือสิ่งที่เหยียนชิงคิดในใจตั้งใจเอาไว้ั้แ่แรก แต่คิดไม่ถึงว่าเว่ยซูหานจะค้นพบการมีอยู่ขององครักษ์เงาได้เร็วขนาดนี้ เขาประเมินเว่ยซูหานต่ำไป
“อ่อ”
เว่ยซูหานจิบเหล้าฟังคำอธิบายของเขาแล้วก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย เขาบังเอิญไปเจอ และคิดว่าเหยียนชิงใช้เพื่อมาสอดแนมเขาเสียอีก ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ใกล้ถึงจุดสูงสุดในชาติก่อนแล้ว แม้ว่าองครักษ์เงาจะแวบผ่านไป แต่เขาแค่พบเจอทว่าจับใครไม่ได้ นั่นก็เพียงพอจะยืนยันแล้วว่าองครักษ์เงาที่เหยียนชิงจ้างมานั้นแข็งแกร่ง
แต่เหยียนชิงเป็เพียงบัณฑิตคนหนึ่ง จะไปหาคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน? ใช้อำนาจของตระกูลเหยียนอย่างนั้นหรือ?
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขายังผิดปกติ เหยียนชิงจึงคีบอาหารให้เขาก่อนแล้วอธิบายต่อ
“อย่าคิดฟุ้งซ่านไปเลย ที่ข้าเอาคนเหล่านี้เข้ามาไม่ได้เอามาสอดแนมเ้า… ต่อไปคนพวกนี้จะต้องส่งเ้าไปสั่งสอน…”
นี่เป็ความคิดที่แท้จริงของเขา เพียงแต่จิงโม่ เขาต้องเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้
เว่ยซูหานยิ้ม “ข้าเชื่อสิ่งที่เ้าพูดมา ไม่ได้คิดฟุ้งซ่าน”
ชาติที่แล้วเหยียนชิงมีองครักษ์เงาอยู่ด้วยหรือ? ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือว่าอีกฝ่ายแตกต่างจากที่เขาคิด เขารู้สึกว่าเหยียนชิงในตอนนี้ต่างจากชาติที่แล้วมาก ฉลาดกว่ามาก… ฉลาดพอที่จะเรียกได้ว่าเ้าเล่ห์
เหยียนชิงรู้ว่าเขาต้องคิดอะไรอยู่แน่ๆ จึงได้แต่พูดรับประกันอีกครั้ง “ข้าอยากจะบอกเ้าว่า ข้าจะช่วยเ้า และจะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
เว่ยซูหานพยักหน้า “เช่นนั้นต่อจากนี้ไป หากเ้ามีเื่อะไรก็ต้องปรึกษาข้าก่อน”
“ได้”
เหยียนชิงรับปาก หากวันหน้ามีตัวแปรเพิ่มขึ้นจะต้องปรึกษาให้ดี
สามวันต่อมา เหยียนชิง และคณะเดินทางกลับถึงเรือนอย่างปลอดภัย ฮูหยินเหยียนจัดงานเลี้ยงต้อนรับคนที่กลับมา เห็นของรางวัลที่ตี้จวินมอบให้ก็ดีใจจนปากอ้าตาค้าง ของรางวัลเหล่านี้ดีกว่าปีก่อนๆ มาก แม้แต่เว่ยซูหานยังใ หลังจากใก็เกิดความระแวงขึ้นมา
ตี้จวินทำเช่นนี้ หรือว่าจะสนใจความงดงามของเหยียนชิงเข้าแล้ว
คิดจะให้เกียรติตระกูลเหยียน หรือทำเพื่อความ้าส่วนตัว?
หลังจากกินข้าวกับฮูหยินเหยียนเสร็จ เหยียนชิงกับเว่ยซูหานก็ออกจากเรือนหลานถิงไป แต่เหยียนชิงพบว่าหลังจากออกจากเรือนหลานถิง อารมณ์ของเว่ยซูหานก็เปลี่ยนไป แม้แต่สีหน้าของเขาก็แปลกประหลาด หลังจากออกมาก็จับมือเขาไม่ยอมปล่อย พวกบ่าวไพร่ก็พากันถอยออกไป
เหยียนชิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามเขากลับไปที่เรือน หลังจากกลับถึงเรือนก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วถามว่า
“เอาล่ะ เ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่? สีหน้าดูแปลกๆ”
เว่ยซูหานพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านแม่บอกว่าของที่ตี้จวินมอบให้ในครั้งนี้ เทียบได้กับของกำนัลระดับอ๋อง ชิงเอ๋อ มีความเห็นอย่างไรกับการกระทำของตี้จวิน”
ชาติก่อนตี้จวินไม่แยแสต่อตระกูลเหยียน กระทั่งยอมให้คนอื่นเบียดเบียนต่อตระกูลเหยียน แม้ว่าเหยียนชิงเข้าราชสำนัก ท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อตระกูลเหยียนก็ดีขึ้น สถานการณ์ตอนนี้เหยียนชิงทำผิดกฎหรือไม่
อีกทั้งตี้จวินยังให้เหยียนชิงไปพบที่ห้องทรงพระอักษรตามลำพัง การต้อนรับพิเศษเช่นนี้แม้แต่ท่านอ๋องที่ถูกแต่งตั้งก็ยังไม่ได้รับโอกาส ไม่ว่าจะบังเอิญยุ่งเื่งานราชการหรือจงใจทำ อย่างน้อยในสายตาของคนนอกก็แสดงถึงความโปรดปรานที่สูงส่ง แม้นี่จะดีสำหรับพวกเขา แต่ในใจของเว่ยซูหานก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ มีศัตรูหัวใจอย่างฮ่องเต้เพิ่มขึ้นมามันช่างเหนื่อยจริงๆ
คำถามของเขา เหยียนชิงครุ่นคิดก่อนจะตอบ
“คงเป็เพราะอยากจะแต่งตั้งชื่อเสียงให้ตระกูลเหยียนอย่างเป็ทางการกระมัง เพราะตระกูลเหยียนจงรักภักดีมาตลอด ทุกคนรู้ดี แม้ว่าตี้จวินจะเ็าและจริงจัง แต่ก็ฉลาดแล้วก็มีคุณธรรม”
ั้แ่สมัยโบราณผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็ล้ำเลิศ ตี้จวินก็มิอาจหลีกเลี่ยงคำกล่าวนี้ได้ สำหรับผู้ที่จงรักภักดี ในฐานะผู้ปกครองประเทศก็ต้องรู้จักมารยาทในการเข้าหา ใบสั่งยานั่นใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นถึงจะเห็นผล ตี้จวินย่อมเข้าใจจุดประสงค์อันดีของตระกูลเหยียน
“อ้อ…” เว่ยซูหานใช้สองนิ้วกดลงบนขมับแล้วเอียงคอมองเขา รู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น
เหยียนชิงรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำนี้เล็กน้อย “น้ำเสียงแบบนี้ของเ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เว่ยซูหานยื่นมือไปหยิกใบหน้าขาวผ่องของเขา “ข้ารู้สึกว่าตี้จวินขอให้เ้าไปพบที่ห้องทรงพระอักษรเพียงลำพังไม่ใช่เื่ธรรมดา”
ในวังหลวงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เขากังวลว่าเหยียนชิงผู้ไม่ช่ำชองในโลกจะถูกเล่นงาน
“เพี้ย!”
“สุภาพบุรุษขยับแค่ปากมือไม่ต้อง”
เหยียนชิงปัดมือของเขาออกแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“พวกเราไปถึงช้าไปหน่อย คาดกับคณะทูตที่ไปส่งเครื่องบรรณาการคนอื่นๆ พอดี บวกกับเื่งานราชการตี้จวินก็ยุ่งมาก เชิญข้าไปพบที่ห้องทรงพระอักษรก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
การต้อนรับเหยียนชิงในครั้งนี้รู้สึกว่าเป็เื่บังเอิญ ชาติก่อนฮ่องเต้ก็เคยให้พวกขุนนางไปประชุมเช้าที่ห้องบรรทม แม้ว่าครั้งนั้นจะเป็เพราะอาการป่วยของเขาทำให้ลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าตี้จวินเป็คนไม่ยึดติดกับเื่เล็กๆ ในสถานการณ์ที่พอจะผ่อนปรนได้
เว่ยซูหานทำอะไรไม่ถูก คิดจะหยุดแต่ในใจก็ยังดึงดัน คิดอยู่ครู่หนึ่งก็กัดฟันพูดตรงๆ ว่า
“ก็ได้ ข้าพูดความจริงแล้วกัน ข้ากังวลว่าตี้จวินจะคิดไม่ซื่อกับเ้า ที่ข้าทำแบบนี้ข้ากำลังหึงอยู่นะ ชิงเอ๋อร์เ้าฉลาดขนาดนี้ดูไม่ออกรึ?”