เขาเดินตามหยางเหิงเข้าไปในวังจากประตูด้านข้าง พร้อมกับช่วยเขาขนของให้กรมคลังหลวง ก่อนถูกพาไปพักที่ตำหนักด้านข้างเพื่อรอเรียกตัว
“คุณชายเหยียนรออยู่ที่ตำหนักปีกข้างนี้สักครู่ นี่ก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว เดี๋ยวจะมีคนนำอาหารมาให้ ข้าจะไปรายงานผลปฏิบัติงานต่อท่านตี้จวิน คุณชายรอคำสั่งจากตี้จวินอย่างสบายใจก็พอแล้ว”
ก่อนจะหันจากไป หยางเหิงก็พูดพลางยิ้มตาหยีปลอบใจอีกครั้ง
เหยียนชิงประสานมือคำนับ “เช่นนั้นคงต้องรบกวนกงกงแล้ว”
หยางเหิงสะบัดแส้ในมือแล้วหมุนตัวจากไป
หลังจากจัดการเื่ต่างๆ จนเรียบร้อย ในที่สุดเหยียนชิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กินข้าวเที่ยงกับเฉินเซียง และอิ้งหลีที่ตามมาด้วยอย่างสบายใจ
ใกล้บ่าย หยางเหิงก็กลับมาอีกครั้ง บอกเขาให้ไปพบท่านตี้จวินที่ห้องทรงพระอักษร
“ห้องทรงพระอักษร?”
เหยียนชิงประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อสบตากับเฉินเซียง และอิ้งหลี ก็เห็นความสงสัยในแววตาของเฉินเซียงกับอิ้งหลี หากเขาจำไม่ผิด ห้องทรงพระอักษรนี้เป็ห้องที่ตี้จวินใช้ปรึกษาหารือกับขุนนางฝ่ายเป็การส่วนตัวเท่านั้น แต่อย่างเขาควรจะไปพบที่ท้องพระโรงถึงจะถูก
หยางเหิงพยักหน้าอธิบาย
“ท่านตี้จวินมีงานมากมาย โดยเฉพาะ่นี้จะยุ่งมาก หากจบจากว่าราชการก็จะทรงอ่านฎีกาในห้องทรงพระอักษร พระองค์กลัวว่าจะคลาดกับท่านจึงให้ท่านไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรเลย คุณชายตามข้ามาเถอะ”
เหยียนชิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ได้ เช่นนั้นก็รบกวนกงกงนำทางแล้ว”
ให้เฉินเซียง และอิ้งหลีรออยู่ในตำหนัก เหยียนชิงเดินตามหยางเหิงไปยังห้องทรงพระอักษร
นอกห้องหนังสือ หยางเหิงกล่าวกับขันทีที่เฝ้าอยู่นอกประตู หลังจากขันทีออกมาแจ้งพวกเขา หยางเหิงก็จากไป เหยียนชิงได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องทรงพระอักษร หลังจากกล่าวขอบคุณก็ส่งกล่องเล็กๆ ที่เตรียมไว้เป็ของกำนัลให้กับอีกฝ่าย
ขันทีน้อยเก็บกล่องไว้ในแขนเสื้อ สีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น เขากวาดสายตามองเหยียนชิง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน
“ท่านตี้จวินทรงรอนานแล้ว คุณชายเชิญเข้าไปเถอะขอรับ”
เหยียนชิงประสานมือคารวะ “ขอบคุณกงกง”
พูดจบก็ผลักประตูห้องทรงพระอักษรเข้าไป
เมื่อเข้าไปข้างในผ่านฉากกั้น เห็นตี้จวินก้มหน้าอ่านฎีกาอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เฟิงจิ้งอี้ อายุยี่สิบห้าปี เป็องค์ชายลำดับที่เจ็ดของเซียนตี้ องค์รัชทายาทพระองค์ก่อนเป็โอรสของฮองเฮา ต่อมาองค์รัชทายาทก็ทรงสิ้นพระชนม์จากโรคร้าย จากนั้นก็ผลัดเปลี่ยนองค์รัชทายาทถึงสองครั้ง สุดท้ายเซียนตี้ยังคงฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อให้เขาได้สืบบัลลังก์
ดังนั้นเฟิงจิ้งผู้ซึ่งผ่านความยากลำบากมาหลายพันครั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ เขาฉลาดสุขุมในเวลาเดียวกัน ภายใต้รูปลักษณ์ที่สง่างามของเขาก็โเี้ และเ็า
เหยียนชิงคุกเข่าลง พร้อมกับแสดงความเคารพ “กระหม่อมเหยียนชิง ถวายบังคมฝ่าา ขอให้ฝ่าาทรงมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ตลอดไป”
เมื่ออยู่ต่อหน้าตี้จวิน ตระกูลเหยียนถือว่าเป็ขุนนางได้ เป็สิทธิพิเศษที่ตี้จวินมอบให้ตระกูลเหยียน แม้ว่าตอนนี้ตระกูลเหยียนจะไม่มีป้ายละเว้นโทษตาย แต่ตำแหน่งขุนนางก็ยังพอมีอยู่บ้าง
ฮ่องเต้ที่สวมเครื่องแบบขุนนางสง่างามนั่งอยู่หน้าโต๊ะเงยหน้าเอ่ยเสียงเรียบ “ตามสบาย เชิญนั่ง ดื่มชาสักหน่อย”
เหยียนชิง “ขอบพระทัยฝ่าา”
เขาลุกขึ้นไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง หยิบถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ สิ่งที่ทำให้ใจคนสบายก็คือน้ำชา ที่จริงแล้วเป็ใบสมุนไพรที่เรียกว่าเหลียงเฉ่า เพิ่มสะระแหน่ลงไปเพื่อแก้ไอ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่ต้องส่งให้ทางราชวังทุกปี ล้วนเป็หน้าที่ของตระกูลเหยียนไปเลือกที่สถานที่ผลิต
ชาติที่แล้วเหยียนชิงไม่รู้ว่าเหตุใดราชสำนักถึง้าสมุนไพรชนิดนี้มาก จนกระทั่งเข้ารับราชการในวังจึงเข้าใจว่าตี้จวินใช้ชงน้ำดื่มตลอด ถึงได้รู้ว่าตอนนั้นตี้จวินยังเป็รัชทายาท เพราะความขัดแย้งของสายเื จึงเคยกินยาพิษที่ไร้ยารักษาจนล้มป่วยไอมาหลายปี เหล่าหมอหลวงทำอะไรไม่ถูก ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงใช้วิธีนี้ร่วมกับยาอื่นเพื่อบรรเทา
ต่อมา เว่ยซูหานที่กลายเป็แม่ทัพได้จับหมอพิษจากแคว้นเล็กๆ แถบชายแดนขณะที่ด่านชายแดนกำลังสงบ บังเอิญได้ยารักษาอาการป่วยของตี้จวินมาหนึ่งชุด
ตอนนั้นตี้จวินดีใจมากจึงรีบมาที่ตำหนักเหวินหัวเพื่อบอกเื่นี้กับเขา ถือใบสั่งยาพลางทอดถอนใจ ระดมกำลังคนมาตั้งหลายปีเพื่อยานี้ แต่ก็ได้ยามาเพราะหมอพิษจากแคว้นเล็กๆ
หลังจากหายจากอาการป่วยแล้ว ตี้จวินยังเสด็จออกไปกอบกู้อำนาจของแคว้นอีกครั้ง และเว่ยซูหานผู้ทำคุณงามความดีก็ได้รับแต่งตั้งเป็แม่ทัพผู้พิทักษ์แคว้น
เหยียนชิงก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่หลายรอบ และััได้ถึงสายตาคมกริบที่กวาดมองมายังตน
เฟิงจิ้งอี้มองคนตรงหน้าโต๊ะอย่างละเอียดแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เหยียนชิง”
เหยียนชิงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้ “ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้ เงยหน้าพูดเถอะ หลายปีมานี้เหยียนลั่วเข้าวังมา ก็จะนั่งจิบชากับเจิ้น[1]”
เหยียนชิงได้ยินเช่นนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ เงยหน้าขึ้นพูด “ขอบพระทัยฝ่าาที่ไม่ทรงตำหนิกระหม่อม”
เมื่อนึกถึงนิสัยที่สำมะเลเทเมาของพี่ใหญ่ เกรงว่าการรับมือกับตี้จวินก็คงไม่เข้มงวดมากนัก อันที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกประหม่าอะไรมาก เพียงแต่ว่าชาตินี้เป็ครั้งแรกที่เขาได้พบกับฮ่องเต้ มารยาทย่อมต้องรอบคอบ
เฟิงจิ้งอี้เหมือนจะหัวเราะเบาๆ เขาลุกขึ้นจากโต๊ะหนังสือ รูปร่างสูงใหญ่ท่วงท่าที่สง่างาม และปลดปล่อยแรงกดดันของจักรพรรดิที่แข็งแกร่งออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะเหยียนชิงมีประสบการณ์ในชาติที่แล้ว เกรงว่าคงรู้สึกประหม่าจนเหงื่อแตกพลั่กไปแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฟิงจิ้งอี้ ก็เดินเข้ามาหาเหยียนชิง แล้วนั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและหยิบชาขึ้นมาจิบก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ผ่อนคลาย
“สองพี่น้องมีนิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน อีกคนสง่างาม อีกคนสุภาพเรียบร้อย อีกชอบทำตามใจชอบ ส่วนอีกคนก็รู้จักมองภาพรวม”
เหยียนชิงไม่พูดไม่จา นั่งฟังเขาอย่างเงียบๆ เื่ที่พี่ใหญ่หนีการแต่งงานแล้วเป็เขาที่แต่งงานแทน ตี้จวินย่อมต้องรู้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าคิดเห็นอย่างไร
เมื่อเห็นเขาหลุบตาลง เฟิงจิ้งอี้ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “เจิ้นได้ยินว่าเ้าแต่งกับเว่ยซูหานแทนเหยียนลั่วหรือ”
เหยียนชิง “พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้ “รู้สึกคับข้องใจหรือไม่?”
เหยียนชิงส่ายหน้า พูดเสียงเบาด้วยความลำบากใจ
“ไม่รู้สึกคับข้องใจเลยพ่ะย่ะค่ะ เหยียนชิงชื่นชมเว่ยซูหานมาั้แ่เด็ก พี่ชายเองก็รู้ดี จึงใช้ข้ออ้างทำอะไรตามใจชอบออกไปเที่ยวเตร่ และหนีออกจากบ้านเพื่อให้ข้าได้สมปรารถนา”
ไม่สนใจแล้ว เพื่อไม่ให้ตี้จวินเกิดความระแวงจึงพูดได้เพียงเท่านี้ พี่ชายหนีการแต่งงาน พูดง่ายๆ ก็คือไม่พอใจในตัวเว่ยซูหาน พูดลึกๆ ก็คือไม่พอใจเซียนตี้ที่รับปากเื่งานแต่งงานนี้ ไม่ว่าจะเื่ใหญ่หรือเื่เล็ก ก็ต้องพยายามทำให้เื่ไม่บานปลายมากที่สุด
แม้ในใจจะแอบบอกตัวเองว่าต้องใจเย็น แต่พอพูดประโยคนี้ออกมาใบหน้าก็ร้อนผ่าวทันที หากเว่ยซูหานได้ยินคำพูดเช่นนี้ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะภูมิใจขนาดไหน
เฟิงจิ้งอี้เลิกคิ้วมองเขาอยู่หลายครั้ง “แล้วหยินหยางไม่ผิดเพี้ยนรึ?”
เหยียนชิงพยักหน้ายอมรับ เื่มาถึงจุดนี้แล้ว ต่อให้ผิดเพี้ยนแค่ไหนเขาก็ทำได้เพียงใช้ให้ถูกต้อง ชะตากรรมที่โชคร้ายก็ควรเปลี่ยนให้เป็ดีได้
“เ้ามีความคิดที่ละเอียดจริงๆ”
เฟิงจิ้งอี้พูดด้วยเสียงที่คาดเดาไม่ได้ เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาลึกล้ำก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ
เหยียนชิงฟังออกว่าคำพูดของเขามีความหมายบางอย่าง มือที่วางอยู่ด้านข้างกำแน่นเงียบๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
“แค่กๆๆ...”
เมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียด เฟิงจิ้งอี้ก็วางถ้วยชาลง จู่ๆ ก็ไออย่างรุนแรง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปาก เหยียนชิงพบว่าใบหน้าของเขาซีดเผือดไปหลายส่วน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นราวกับพยายามอดทนต่อความเ็ปที่ไม่อาจอธิบายได้
[1]เจิ้น คือคำเรียกแทนตัวเองของฮ่องเต้