กินมันเผาร้อนๆ ไปหนึ่งหัว หลินหวั่นชิวรู้สึกมีแรงขึ้นมาหน่อย
เจียงหงหย่วนไม่อยู่บ้าน หากไม่ใช่เพราะหมดทางเลือกจริง นางก็ไม่อยากให้เด็กหกเจ็ดขวบมารับใช้ตัวเอง
ทั้งที่เมื่อครู่เจียงหงหนิงจ้องมันเผาตาเป็มัน ทั้งยังแอบกลืนน้ำลาย แต่พอนางจะแบ่งให้ เขากลับวิ่งหนี
เห็นชัดว่าเขาไม่กล้ากิน ยอมยกให้นาง
ดังนั้น ไม่ว่าเด็กชายผู้น่ารักคนนี้จะปากร้ายกับนางเพียงใด นางก็ขอรับน้ำใจด้วยความขอบคุณ
กินโอสถชำระไขกระดูกแล้วไม่วิงเวียนอีก มีแรงลุกขึ้นเดิน ต่อให้ขึ้นตึกห้าชั้นก็ไม่หอบหายใจจนหน้าแดง…
แค่กแค่ก…
แต่นางไม่ได้จะขึ้นตึกห้าชั้น แค่จะใส่รองเท้าออกไปหาอะไรทำ
หลินหวั่นชิวมาที่ห้องครัว เห็นเจียงหงหนิงกำลังย่อตัวนับมันเทศ เขารีบเก็บมันเทศที่เหลือไม่มากลงในตะกร้าผุๆ เมื่อเห็นนางมา
“เ้ามาทำไม? หิวน้ำหรือ? เรียกจากในห้องก็ได้ รีบกลับไปนอนพักเถอะ” เด็กน้อยยังจำได้ เื่ที่เจียงหงป๋อบอกทำให้เขาไม่ยอมเรียกนางว่าพี่สะใภ้อีก กลัวนางหนีแล้วน้ำใจที่เขามีให้จะเสียเปล่า
“ข้าไม่เป็ไรแล้ว นี่ก็ใกล้เที่ยง ข้าเลยมาทำอาหาร เ้าไปพักเถอะ” หลินหวั่นชิวพูดจบก็เดินเข้ามาในครัว ห้องครัวค่อนข้างซอมซ่อ พื้นเป็หลุมเป็บ่อไม่เสมอกัน มุมกำแพงมีตู้ที่ประตูหายไปหนึ่งบาน ด้านในมีชามสองใบกับโถแตกๆ
“ไม่ต้อง” เจียงหงหนิงดันหลินหวั่นชิวออกไปด้านนอก แต่หลินหวั่นชิวไม่ยอมขยับ นางวางมือบนไหล่เขาพร้อมกับโน้มตัวลง “เ้าดูสิ ตอนนี้ข้าสบายดีแล้ว ช่วยทำงานได้ อีกอย่าง เ้าไม่ต้องดูแลพี่รองหรือไม่มีงานอื่นต้องทำหรือ? หากเ้าไม่วางใจ จะเอางานมานั่งทำหน้าห้องครัวก็ได้ แบบนี้จะได้เห็นข้าในสายตาตลอดเวลา”
เจียงหงหนิงได้ยินดังนี้ก็เงียบ เขาก้มหน้าคิดสักพัก รู้สึกว่าที่หลินหวั่นชิวพูดก็ถูกต้องจึงพยักหน้าตอบตกลง
“ได้ ข้าวอยู่ตรงนี้” เจียงหงหนิงชี้กระสอบสามใบในตู้พร้อมกับพูดกับหลินหวั่นชิว
นอกจากข้าวสารแล้ว กระปุกเกลือกับกระปุกน้ำมันก็วางอยู่บนเตา
“มีผักไหม?” หลินหวั่นชิวกวาดตามองรอบๆ แล้วถามต่อ
เจียงหงหนิงพยักหน้า “มี เ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปเอามาให้”
พูดจบก็ออกไปหยิบตะกร้าสานในลานบ้านใบหนึ่งเข้ามา “นี่คือผักปลาที่ข้าไปขุดมาตอนเช้า เ้าต้มในน้ำร้อนใส่เกลือก็ได้แล้ว”
“ตกลง ข้ารู้แล้ว เ้าไปทำงานของเ้าเถิด” หลินหวั่นชิวอยากยกมือขยี้หัวเขาแต่ถูกเจียงหงหนิงเบี่ยงตัวหลบด้วยความรังเกียจ
“เด็กคนนี้นี่…” หลินหวั่นชิวหัวเราะ ไม่ได้เก็บเอากริยาเสียมารยาทของเจียงหงหนิงมาใส่ใจ
ครอบครัวนี้ยากจนมากจริงๆ กระสอบสามใบในตู้มีอาหารไม่เท่าไร
ข้าวในกระสอบใบหนึ่งมีแค่ครึ่งชั่ง [1] ใบที่สองมีข้าวกล้องประมาณสามชั่ง ส่วนแป้งหมี่ในกระสอบอีกใบก็มีแค่สองสามชั่ง
มื้อเที่ยงทำอะไรดี?
หลังจากที่คิดไปมา หลินหวั่นชิวหยิบหม้อดินเผา หยิบข้าวขาวหนึ่งกำมือกับข้าวกล้องสองกำมือมาใส่ลงไป ใช้น้ำซาวให้สะอาดเสร็จก็ใส่น้ำลงไปครึ่งหม้อ แขวนไว้เหนือท้องเตา
จากนั้นจึงหันไปหยิบหินจุดไฟข้างเตามาจุด ยัดฟางแห้งที่ติดไฟแล้วเข้าไปในท้องเตา ใส่ฟืนสองท่อนเข้าไป
โชคดีที่มีความทรงจำของเ้าของร่าง อีกทั้งร่างกายนี้ก็ทำงานพวกนี้จนเคยชิน หลินหวั่นชิวแทบจะจุดไฟเป็เอง มิเช่นนั้น ต่อให้บีบคอนางให้ตายก็ไม่มีปัญญาจุดหินจุดไฟให้ติด
นางตักน้ำมาต้มครึ่งกระทะ เปลวไฟจากเตาแตะโดนก้นหม้อดินเผาพอดี เช่นนี้เมื่อน้ำในกระทะเดือด น้ำในหม้อก็จะเดือดเกือบจะพร้อมกัน
เมื่อทำพวกนี้เสร็จ นางหันไปเด็ดผักป่าและล้างให้สะอาด หั่นบนเขียงแล้ววางเตรียมไว้ด้านข้าง
จากนั้นจึงหันไปตักแป้งหมี่ใส่ในกะละมังปากบิ่น ใส่น้ำลงไปนวด เมื่อแป้งเริ่มเข้ากันก็ใส่ผักที่หันละเอียดลงไป ใส่เกลือเล็กน้อย หยิบกระปุกน้ำมันที่เหลือเสี้ยวสุดท้ายมาใส่น้ำมันหมูขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือลงไปนวด เริ่มทำวอวอโถวผักป่า [2]
นางปั้นวอวอโถวอย่างคล่องแคล่วว่องไว วอวอโถวขนาดเท่าๆ กันถูกนางวางลงบนแผ่นไม้ไผ่สานในหม้อแล้วปิดฝา
เจียงหงหนิงนำเสื้อผ้าสองตัวมานั่งปะในลาน คอยมองมาทางห้องครัวเป็ครั้งคราว เห็นหลินหวั่นชิวทำงานอย่างกระฉับกระเฉงก็คิดในใจว่า พี่สะใภ้ใหญ่คนนี้จะหนีจริงหรือ?
พี่สะใภ้ใหญ่สองคนที่หนีไปก่อนหน้านี้เอาแต่ร้องไห้ เรียกให้เขาทำงานทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็งานที่สกปรกขนาดไหนก็ให้เขาทำคนเดียว
แต่พี่สะใภ้ใหญ่คนนี้…
เจียงหงหนิงคิด หากนางไม่หนีก็คงดี หากนางไม่หนี เขาจะดีกับนางอย่างแน่นอน มีอะไรอร่อยก็เก็บไว้ให้นางกิน
หลินหวั่นชิวไม่รู้ว่าเด็กน้อยกำลังคิดอะไร นางเก็บห้องครัวให้สะอาดเสร็จก็ออกมาถามเจียงหงหนิง “มีเสื้อผ้าจะซักไหม ไปเอาออกมา ข้าจะใช้เวลา่ที่กับข้าวยังทำไม่เสร็จมาซักผ้าให้หมด”
“ไม่มีๆ” เจียงหงหนิงส่ายหน้าระรัว เขาจะกล้าให้พี่สะใภ้ซักเสื้อผ้าให้ได้อย่างไร
หลินหวั่นชิวได้ยินว่าไม่มีก็กลับเข้าไปในห้องครัวใหม่ ตอนนี้เป็ฤดูใบไม้ร่วง นางสวมเสื้อผ้าค่อนข้างบาง อยู่ใกล้เตาไฟไว้จะได้อุ่น
ไม่นาน กลิ่นหอมก็ลอยออกมาจากเตา ทำเอาเจียงหงหนิงที่อยู่ด้านนอกต้องกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่น
เขาไม่อยากให้หลินหวั่นชิวเห็นว่าตัวเองอยากกินจึงถือตะกร้าเข็มกับด้ายเข้าห้องไป
“พี่รอง พี่สะใภ้ใหญ่ทำวอวอโถว ข้าได้กลิ่นหอมด้วยล่ะ แปลกจัง เหตุใดวอวอโถวที่ข้าเคยทำไม่หอมแบบนี้บ้าง”
เด็กอายุไม่กี่ขวบจะทำอะไรได้ขนาดไหนกัน?
หุงอาหารให้สุกได้ก็ไม่เลวแล้ว
เจียงหงป๋อรู้สึกผิดมาก เป็เพราะเขา เขาทำให้ทุกคนในครอบครัวเดือดร้อน ทำให้พี่ใหญ่หาเมียไม่ได้ งานทุกอย่างในบ้านต้องให้น้องชายทำ
บางทีหากเขาตาย บ้านนี้จะได้เป็อิสระ เจียงหงป๋อคิด
เมื่อเขาตาย บ้านนี้จะไม่มีภาระ พี่สะใภ้จะได้ไม่หนี มีพี่สะใภ้ช่วยดูแลบ้าน น้องชายจะได้ไม่ต้องทนหิวทำงานทั้งวันทั้งที่อายุแค่นี้
เชิงอรรถ
[1] ชั่ง(斤) มาตราชั่งน้ำหนักของจีน 1 ชั่งเท่ากับ 500 กรัม
[2] วอวอโถว(窝窝头) เป็อาหารที่ทำจากแป้งที่ใช้เป็อาหารหลักพบได้ทั่วไปในภาคเหนือของจีน ทำจากแป้งข้าวโพดชนิดหยาบ มีลักษณะเป็โคน ตรงก้นเป็หลุม สีเหลืองนวลสวย