วังหลวงใน่บ่ายช่างดูงดงามนัก
ดูทั้งกว้างขวาง และมีมนต์ขลัง ดูราวกับไม่ใช่โลกมนุษย์
แสงตะวันยามบ่ายคล้อยเคลื่อนทอแสงส่องไปทั่วอาณาบริเวณ
ตำหนักราชครูที่เคยเย็นเยียบ วันนี้กลับอบอุ่นกว่าครั้งใด
ท่านราชครูถูกฮ่องเต้เรียกตัวให้ไปสนทนา
ส่วนจ้งเยียนก็หมกมุ่นอยู่กับการจดบันทึกบนโต๊ะของตน
เฉินโย่วเพิ่งจะตื่นขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นทารกตัวกระจ้อยร่อยนอนอยู่ข้างกาย
ทารกน้อยเบิกตามองตน ร่างน้อยยังคงนอนหงาย มีเพียงศีรษะที่หันมาทางนาง
เฉินโย่วยื่นมือไปพลิกคราหนึ่ง ทารกน้อยก็เปลี่ยนเป็นอนคว่ำเสียแล้ว ทว่าศีรษะนั้นยังคงหันกลับมามองนาง (เฉินโย่วยามยังเล็กก็เป็เช่นนี้)
เฉินโย่วเห็นท่าทีของทารกน้อยก็หัวเราะร่า
ช่างโง่งมนัก ท่าทีเซ่อซ่าเสียยิ่งกว่าเด็กๆ บนูเาเสียอีก ตอบสนองเชื่องช้านัก
จ้งเยียนที่กำลังคัดลอกตำราอยู่เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้น จึงเห็นว่าเฉินโย่วตื่นแล้ว ร่างบางนอนคว่ำพร้อมทั้งยื่นมือไปแกล้งองค์ชายน้อยอยู่ มองจากมุมนี้ก็เห็นเรือนผมสยายเต็มเตียง
ผมของศิษย์น้องไม่ยาวมากนักเมื่อเทียบกับเรือนผมสีหมึกขององค์หญิง
ทว่าเมื่อจ้งเยียนเห็นเรือนผมของศิษย์น้องแล้วก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้
เมื่อเห็นท่าทางเกียจคร้านของศิษย์น้องที่เพิ่งจะตื่นนอน แล้วคิดถึงเื่ที่เขาเพิ่งจะโดนท่านอาจารย์บีบคั้นให้สาบาน ในใจก็บังเกิดความรู้สึกร้อนรุ่ม
“เ้าตื่นแล้วหรือ” จ้งเยียนไม่ได้สังเกตว่าเสียงที่ตนเปล่งออกมาช่างแห้งผากเหลือเกิน
เฉินโย่วลุกขึ้นนั่ง
เมื่อเห็นแสงยามสายัณห์ที่ส่องเข้ามาในตำหนักก็ตกตะลึงไป
“ข้าหลับไปนานถึงเพียงนั้นเลยหรือ แล้วท่านอาจารย์เล่า”
“ท่านอาจารย์ถูกฝ่าาเรียกให้ไปเข้าเฝ้าแล้ว ท่านอาจารย์บอกว่ารอให้เ้าตื่นก่อน จึงค่อยส่งเ้ากลับไป” จ้งเยียนเอ่ยปาก
“ข้าจำเป็ต้องออกจากวังให้เร็วหน่อย หากยามค่ำยังให้ข้ากินผักอีกมื้อ ข้าจะต้องหิวตายแน่นอน ศิษย์พี่คราวหน้าหากข้าได้มาอีก ให้ข้าเอาของอร่อยๆ มาให้ท่านดีหรือไม่” เมื่อเฉินโย่วลุกขึ้นจากเตียงแล้ว เตี้ยวกูก็เดินเข้ามาอย่างรู้งาน ในมือยังถืออ่างใส่น้ำสะอาดมาด้วย
เฉินโย่วยามอยู่จวนก็คุ้นชินกับการที่มีพี่ชายคอยปรนนิบัติ บัดนี้จึงเงยหน้าให้เตี้ยวกูตั้งใจเช็ดคราหนึ่ง
จ้งเยียนมองศิษย์น้องที่นั่งเงยหน้าอยู่บนเตียง ในใจก็คิดขึ้นมา ศิษย์น้องช่างมีกลิ่นอายแห่งชนชั้นสูง ท่าทางก็เป็ธรรมชาตินัก ยามนั้นที่เขาเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในวังหลวง ก็ปรับตัวให้คุ้นชินกับการปรนนิบัติได้ จวบจนทุกวันนี้เขาก็ยังล้างหน้าเอง ทว่าศิษย์น้องกลับดูสุขสบายนักที่มีคนคอยดูแล ท่าทางเช่นนั้นจะว่าไปก็ดูแล้วหยิ่งผยองกว่าองค์หญิงน้อยเสียอีก
นางยังหันมายิ้มให้เขาอย่างสบายอกสบายใจ
จ้งเยียนถูกรอยยิ้มของศิษย์น้องพิฆาตหัวใจเสียแล้ว
แสงตะวันตกกระทบลงมาบนใบหน้างามพอดี
องคาพยพที่วางจัดอย่างพอดิบพอดีดูหล่อเหลาทั้งยังเ้าชู้ไม่เบา
“โชคดีนักที่เ้าไม่ต้องสืบทอดตำแหน่งของท่านอาจารย์ ไม่เช่นนั้นหากเ้าไม่อาจแต่งงานได้ชั่วชีวิต ไม่รู้ว่าจะมีแม่นางน้อยต้องปวดใจเพราะเ้าอีกเท่าใด” จ้งเยียนเอ่ยเย้า
“นั่นน่ะสิ ท่านน้าของข้าก็พูดเช่นนี้เหมือนกันว่าข้าหน้าตาดีนัก ต่อไปไม่รู้จะไปต้องตาดึงดูดแม่นางน้อยมาอีกเท่าไร น่าเสียดายนัก ยามที่ยังอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ข้ายังเล็กเกินไป ยามอยู่ในอำเภอิเหอเหล่าพี่ชายของข้าช่างร้ายกาจนัก ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดตลอดทางก็จะมีแม่นางมาคอยโยนดอกไม้ให้อยู่ไม่ขาด มีคราหนึ่งที่บิดาของท่านข้าหลวงก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย มึนงงอยู่เสียนานสองนาน” เฉินโย่วคิดถึงเหตุการณ์น่าขันในครานั้นแล้ว มุมปากน้อยๆ ก็พลอยโค้งขึ้นเช่นกัน
เมื่อล้างหน้าเสร็จแล้ว นางก็จัดการผ้าแถบรัดเอวให้เรียบร้อย จากนั้นจึงหมุนกายมาหาจ้งเยียน แล้วถามขึ้น “ศิษย์พี่ เช่นนี้เรียบร้อยหรือยัง”
จ้งเยียนมองศิษย์น้องที่สวมชุดขาวตลอดร่าง ผ้าแถบรัดเอวผืนใหญ่ถูกรัดจนแน่น ทั้งคิ้วและหางตาของเด็กชายล้วนแต่เรียวยาว ดูแล้วมีแววกรุ้มกริ่มเจือบางๆ มีเพียงทรงผมเท่านั้นที่ออกจะยุ่งเหยิงไปสักหน่อย
จ้งเยียนยกมือชี้ไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย พร้อมทั้งกล่าวขึ้น “ผมยังยุ่งไปสักหน่อย ประเดี๋ยวศิษย์พี่จะหวีให้เ้าเอง”
เฉินโย่วเหลือบตาขึ้นมองก็ดูเหมือนจะเห็นได้รางๆ ว่าผมตรงหน้าผากของนางดูเหมือนจะยุ่งแล้ว นางจึงได้ลองเผยอปากเป่าลม ก็เห็นผมหน้าม้าตนเองพลิ้วไปพลิ้วมา
“ว่าแต่นั่งหวีที่ใดกันดี”
ในตำหนักราชครูนอกจากจะมีเตียงหลังใหญ่แล้ว ยังมีกระจกบานใหญ่อีกด้วย
กระจกบานนี้ก็ได้องค์หญิงน้อยเป็คนส่งมา
มีอยู่่หนึ่งที่องค์หญิงน้อยชอบเสด็จมาเล่นที่นี่ จึงได้ให้คนส่งกระจกมาให้เป็พิเศษ
จ้งเยียนเองก็ระมัดระวังจัดหาที่วางกระจกไว้ที่มุมหนึ่ง
เขาไม่ชอบส่องกระจกเท่าไรนัก นานๆ ทีจะมาส่องดูสักครา ด้วยเพราะเขาค่อนข้างจะรู้สึกกลัว ราวกับว่าในกระจกมีตนเองอีกคนยืนอยู่ กระจกบานนั้นชัดเจนยิ่งนัก ชัดเจนเสียจนทำให้เขารู้สึกหวาดผวา
นานเหลือเกินที่องค์หญิงไม่ได้เสด็จมาที่นี่ วันปกติเขาจึงได้หาผ้ามาคลุมกระจกบานนี้เอาไว้
ทว่าบัดนี้เมื่อเห็นศิษย์น้องอยู่ด้วยเช่นนี้ เขาก็คิดอยากจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นเสียหน่อย
เขายกกระจกบานนั้นมาวางลงตรงหน้าศิษย์น้อง แล้วให้เขานั่งลงให้ดี
จากนั้นก็มาหยุดยืนตรงหน้าเฉินโย่ว แล้วดึงผ้าที่คลุมกระจกไว้ออก
เสียง “พรึ่บ…” ดังขึ้น
เมื่อผ้าถูกดึงออกก็เผยให้เห็นกระจกบานใหม่เอี่ยม เฉินโย่วที่ยังนั่งเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าผ้าถูกดึงออกก็เห็นว่าในกระจกพลันปรากฏภาพประตูบานหนึ่ง หลังประตูเห็นเป็แผ่นหลังของสตรีนางหนึ่ง สตรีนางนั้นสวมชุดั และหงส์ที่ปักอย่างประณีต สตรีนางนั้นค่อยๆ เดินเข้าไปในทะเลเพลิง เมื่อถึงก้าวสุดท้ายที่จะเข้าไปสู่ทะเลเพลิง นางก็หันกลับมายิ้มคราหนึ่ง ทว่าเฉินโย่วกลับพบว่าสตรีนางนั้นก็คือตัวนางเอง
แม้ว่าการแต่งกายจะดูเคร่งครัด ทว่าสตรีนางนั้นจะต้องใช่แน่ๆ นางราวกับว่าได้เห็นตัวนางในกระจกกำลังส่งยิ้มให้นาง ทว่าตัวนางนั้นไม่ได้กำลังยิ้มอยู่
“อ๊าก!” เฉินโย่วร้องเสียงหลงขึ้นมา พร้อมถอยกรูดออกมา
จ้งเยียนคิดว่าตนเองได้ทำให้ศิษย์น้องใสำเร็จแล้ว จึงได้รู้สึกมีความสุขกับความชั่วร้ายของตนขึ้นมา
เด็กหนุ่มหัวเราะขึ้น “ไม่ต้องกลัว มันเป็แค่กระจกบานหนึ่งเท่านั้น ก็เหมือนกับกระจกธรรมดานั่นแหละ เพียงแค่กระจกบานนี้ขององค์หญิงบานใหญ่และชัดเจนกว่าปกติสักหน่อย แต่คนด้านในก็คือตัวเ้าเอง”
เฉินโย่วหลังจากร้องเสียงหลงแล้ว เมื่อมองไปที่กระจกอีกคราก็เห็นเพียงตัวนางเองที่นั่งอยู่บนพื้น
แต่เมื่อครู่ไม่ใช่ตัวนางแน่ๆ ตอนนี้สิจึงจะใช่
นางสูดหายใจเฮือกใหญ่
จ้งเยียนยืนมองศิษย์น้องที่ปกติแล้วแสนจะซุกซนเพิ่งจะถูกกระจกทำให้ใเสียจนร้องเสียงหลง ทว่ามาบัดนี้กลับทำทีราวกับลูกสุนัขขี้สงสัยตัวหนึ่ง ปีนป่ายกระจกตรงหน้าไปมา ภาพตรงหน้าทำให้รอยยิ้มของเด็กหนุ่มค่อยๆ ลุ่มลึกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เฉินโย่วถูกกดให้นั่งลงหน้ากระจก ส่วนจ้งเยียนคุกเข่าคอยหวีผมให้นางอยู่ด้านหลัง
วันธรรมดาก็ล้วนแต่ได้พี่ชายคอยหวีผมให้นาง เฉินโย่วจึงไม่ได้รู้สึกว่าประหลาดอะไร ทว่าในยามนี้เพราะมีจ้งเยียนคุกเข่าหวีผมให้นางอยู่หน้ากระจก กระจกบานใหญ่จึงสะท้อนภาพคนสองคนที่มองแล้วชวนให้รู้สึกประหลาดใจ
โดยเฉพาะภาพสะท้อนเป็ภาพของศิษย์พี่จ้งเยียนที่วันนี้แต่งกายอย่างเต็มยศด้วยเครื่องแบบราชครูสีทะมึนที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ทรงพลังนัก
รูปลักษณ์ของศิษย์พี่จ้งเยียนน่ามองเหลือเกิน นับได้ว่างดงามกว่าใคร ดูเหมือนไม่ใช่คนในครอบครัวของเหล่ากัว
นอกจากท่านอาจารย์กัวแล้ว ยังมีท่านข้าหลวงแห่งอำเภอิเหอ บิดาของท่านข้าหลวงและจ้งหรู พวกเขาเ่าั้ล้วนแต่มีใบหน้าเหลี่ยมเป็สัน แต่จ้งเยียนกลับมีคางแหลมเรียว ดวงตาเรียวยาวยังเชิดขึ้น ทำให้ดูเอาแต่ใจไม่เบา
อยู่ดีๆ เฉินโย่วก็คิดถึงสตรีที่สวมชุดัและหงส์ขึ้นมา สตรีนางนั้นดูแล้วผึ่งผายไม่เบา ทว่ากลับงดงามจนไม่รู้จะบรรยายเช่นไร เหมือนกับว่าสตรีนางนั้นเป็องค์ชายพระองค์หนึ่ง เพราะมีเพียงองค์ชายเท่านั้นที่จะสวมชุดที่มีลายปักเช่นนี้ได้
หากว่าตรงนี้เป็สตรีนางนั้นนั่งอยู่ ศิษย์พี่จ้งเยียนคงจะดูเหมือนคนรักของนาง
เฉินโย่วเมื่อคิดเช่นนั้นก็ขนลุกขนชัน รู้สึกใจนต้องส่ายหน้าไล่ความคิดนั้น
จ้งเยียนที่กำลังหวีผมให้เฉินโย่วอยู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา ก็ได้แต่เอามือจับศีรษะเด็กชายให้อยู่นิ่งๆ
มือขาวเรียวเป็ลำเทียนของจ้งเยียน บัดนี้จึงปิดตาทั้งคู่ของเฉินโย่วเอาไว้
เมื่อมือเย็นเยียบััลงบนใบหน้าของเฉินโย่ว ก็รู้สึกว่าดวงหน้าน้อยออกจะร้อนสักหน่อย
เมื่อมองเข้าไปในกระจก ก็เห็นว่าภาพในกระจกเหมือนกับว่าเขากำลังโอบกอดศิษย์น้องเอาไว้ เมื่อมือทั้งคู่ปิดตาอีกฝ่ายอยู่เช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็โผล่ให้เห็นแค่ริมฝีปาก และจมูก
ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นระรัวเสียยิ่งกว่ากลอง พลันลนลานไม่ทันระวังเผลอก้มหน้าจนใบหน้าไปชนกับเรือนผมของศิษย์น้อง
ภาพที่ปรากฏในกระจกจึงเห็นเป็เด็กหนุ่มชุดสีทะมึนกำลังใช้มือทั้งสองข้างปิดตาทั้งคู่ของเด็กชายชุดขาวเอาไว้ ทั้งยังก้มลงจูบเรือนผมของอีกฝ่าย พร้อมทั้งโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย ภาพของเด็กทั้งสองที่พันผูกกันเช่นนี้ ดูแล้วมีกลิ่นอายเย็นเยียบที่ตลบอบอวลไปทั่วสารทิศ